18 เม.ย. 2021 เวลา 20:20 • หุ้น & เศรษฐกิจ
ประวัติการลงทุนจนถึงพอร์ตปัจจุบัน ตอนที่ 2
1
สวัสดีครับ ตอนนี้จะเป็นตอนสุดท้ายของประวัติการลงทุนจนถึงพอร์ตปัจจุบันครับ
ตอนนี้ผมจะลงอย่างละเอียดพอสมควรครับ มาเริ่มกันเลยครับ
* โพสต์นี้ทำขึ้นเพื่อแชร์ประสบการณ์การลงทุนเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาชี้แนะหรือแนะนำการลงทุนในหุ้นบริษัทดังกล่าวใดๆทั้งสิ้น และไม่ได้ชี้นำว่าหุ้นบริษัทเหล่านี้ดีหรือไม่ดีแต่อย่างใด ท่านผู้อ่านควรใช้วิจารณญาณในการอ่าน และผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุนครับ *
อีกพอร์ตทีผมบอกไว้ในตอนที่แล้วครับ ซื้อไว้ตั้งแต่ก่อน Covid ครับ
หุ้น BIZ บริษัท บิสซิเนสอะไลเม้นท์ จำกัด (มหาชน)
บริษัทดำเนินธุรกิจ
2
1. เป็นผู้จำหน่ายติดตั้งชุดเครื่องมือทางการแพทย์สำหรับรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็ง
2. ให้บริการซ่อมบำรุงรักษาชุดเครื่องมือทางการแพทย์ (บริการหลังการขาย)
3. กิจการโรงพยาบาล บริษัท แคนเซอร์อลิอันซ์ จำกัด (บริษัทย่อย) ถือหุ้นร้อยละ 65
เหตุผลที่ซื้อหุ้นบริษัทดังกล่าวในเวลานั้น
1. บริษัทมีงานในมือรอรับรู้รายได้ (Backlog) ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับปีที่บริษัทมี Backlog ต่ำ
2. ราคาหุ้นตกลงมามากพอสมควรจนค่า PE เหลือประมาณ 10 กว่าเท่าและคาดว่าถ้าบริษัทส่งมอบงานในมือทั้งหมดแล้วราคาหุ้นปัจจุบัน*ตอนที่ผมซื้อ*ถือว่าค่อนข้างถูกและ PE จะลดต่ำลงอีกในกรณีที่หุ้นไม่ขึ้นแต่บริษัทมีกำไรมากขึ้น ผมจึงถือไว้และติดตามสถานการณ์งานที่บริษัทเข้าประมูล รวมถึงงานที่ทยอยส่งมอบแล้วเสร็จและเทียบกับราคาหุ้นและ PE ว่าแพงเกินไปหรือยัง
3. หนี้สินน้อย เหตุผลที่บอกว่าน้อยเพราะเวลานั้นตอนที่ผมซื้อบริษัทยังไม่ได้ลงทุนครั้งใหญ่ไปกับกิจการโรงพยาบาลครับซึ่งผมดูจำนวนเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด, กำไร(ขาดทุน)สะสม, รวมหนี้สินหมุนเวียน และอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นหรือ
D/E แล้ว ผมสบายใจที่จะถือหุ้นนอนหลับฝันดีอย่างเต็มอิ่มไม่ต้องระแวงว่าบริษัทจะมีปัญหาทางการเงินครับ
สถานการณ์ปัจจุบัน
เนื่องจากปัญหา Covid-19 ระบาด ทำให้บริษัทไม่สามารถส่งมอบงานที่ค้างอยู่หลาย
โครงการจากปีที่แล้วได้ Backlog ปัจจุบันทั้งหมด 2,394 ล้านบาท (ยังไม่รวมงานที่กำลัง
ประมูลซึ่งคาดว่าจะได้งานเพิ่มในอนาคตของปีนี้) ซึ่งตามข่าวคาดว่าจะทยอยส่งมอบงานได้
ทั้งหมดภายในปีนี้ โดยเฉพาะโครงการอนุภาคโปรตอนของโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์
963 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะส่งมอบงานได้ในไตรมาส 3/64
ส่วนกิจการโรงพยาบาลเฉพาะทางมะเร็ง ศรีราชา จังหวัดชลบุรี คาดว่าจะมีจำนวนผู้ป่วยเข้า
มาใช้บริการมากขึ้นจากที่เข้าร่วมโครงการภาครัฐ ผู้ถือบัตรทอง 30 บาท โดยเริ่มตั้งแต่
1 มกราคม 2564 ที่ผ่านมา จะทำให้ขาดทุนน้อยลง
ความคิดของผมในการถือหุ้น BIZ
พูดถึงราคาปัจจุบันขึ้นมาค่อนข้างสูงแต่สำหรับผมถ้าบริษัทสามารถส่งมอบงานได้ทั้งหมด
ราคาปัจจุบันสำหรับผมพอรับได้ที่จะถือต่อไป แต่ผมจะคอยติดตามราคาเรื่อยๆถ้าราคาขึ้น
มากเกินไปหรือสูงขึ้นไปถึงราคาที่นักวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ต่างๆคาดการณ์ไว้
ผมก็จะขายทันที แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับงานที่จะประมูลมาได้เพิ่มด้วยว่ามากน้อยเพียงใดและ
กิจการโรงพยาบาลจะทำกำไรได้เร็วกว่ากำหนดหรือไม่ครับ
หุ้น MGT บริษัท เมกาเคม (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)
บริษัทดำเนินธุรกิจ
จัดจำหน่ายและให้คำปรึกษาเกี่ยวกับเคมีภัณฑ์แบบครบวงจร
(Chemical Solution Provider) ในอุตสาหกรรมดังนี้
1. Perfomance Coating = สี (สีทาบ้าน, สีรถยนต์, หมึกพิมพ์ เป็นต้น)
1
2. Polymer and Advance polymer composite = พลาสติก (อุตสาหกรรมปิโตรเคมี), ยาง
3. Oil and Gas
4. Lifestyle Biotech = ยา, อาหาร, cosmetic
5. Surface technology = ทำความสะอาดผิวโลหะ
รายได้แยกตามหมวดธุรกิจปี 2020
1. Perfomance Coating = สัดส่วน 22%
2. Polymer and Advance polymer composite = สัดส่วน 20%
3. Oil and Gas = สัดส่วน 5 %
4. Lifestyle Biotech = สัดส่วน 40%
5. Surface technology สัดส่วน 10%
6. Other อื่นๆ = 2%
เหตุผลที่ซื้อหุ้นบริษัทดังกล่าวในเวลานั้น
1. ธุรกิจของบริษัทมี Barrier of entry เพราะการที่จะทำธุรกิจแบบนี้โดยเฉพาะเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษที่มีความหลากหลายสูงนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายคู่แข่งจะเข้ามาชิงส่วนแบ่งการตลาดยาก ต้องมีความพร้อมในการขออนุญาติหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องกับเคมีภัณฑ์แต่ละชนิด เช่น กรมธุรกิจพลังงาน กระทรวงพลังงาน กรมสรรพสามิต กระทรวงการคลัง กองควบคุมยุทธภัณฑ์และพัฒนาอุตสาหกรรมกรมการอุตสาหการทหาร สำนักควบคุมพืชและวัสดุการเกษตร กรมวิชาการเกษตร สำนักควบคุมวัตถุอันตราย กรมโรงงานอุตสาหกรรม เป็นต้น
2. หนี้สินน้อยมาก สามารถลงทุนเพิ่มได้โดยที่ไม่ต้องเพิ่มทุนเดือดร้อนผู้ถือหุ้นให้ได้ส่วนแบ่งกำไรที่เป็นเงินปันผลน้อยลง (หุ้นที่เราถือมีมูลค่าน้อยลง)
3. กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นติดต่อกันหลายปี
4. บริษัททำธุรกิจอยู่ที่ต่างประเทศด้วยคือ ประเทศพม่า Megachem (Myanmar) Limited บริษัทถือหุ้นอยู่ 51% และ Prime Index Co. Ltd. บริษัทถือหุ้นอยู่ 20%
5. บริษัทจ่ายปันผลสม่ำเสมอ
6. ราคาหุ้น ณ ช่วงเวลาที่ผมซื้อนั้นราคาถูกในความคิดผมและผมยอมรับได้กับราคานี้ครับ
สถานการณ์ปัจจุบัน
1. ร่วมทุนกับพาร์ทเนอร์ญี่ปุ่น จัดตั้งบริษัท Mega Fuji Graphite ซึ่ง MGT ถือหุ้น 49% และ Fuji Graphite Works ถือหุ้น 51% ทุนจดทะเบียน 35 ล้านบาท สร้างโรงงานเพื่อผลิต Expanded Graphite พัฒนาและจำหน่าย
2. สร้างคลังสินค้าพื้นที่ 3 ไร่ ใช้งบไม่เกิน 35 ล้านบาท เนื่องจากธุรกิจเติบโตขึ้นต้องเพิ่มพื้นที่เก็บสินค้า และเพื่อเก็บสินค้าอันตรายให้ถูกต้องตามมาตรฐานของกรมโรงงานอุตสาหกรรม
3. บริษัทมีกระแสเงินสดมากกว่า 100 ล้านบาท (ข้อมูลจาก Opportunity day งบสิ้นปี 2020)
4. บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาและเจรจาเพื่อเข้าซื้อกิจการธุรกิจเคมีอาหาร เครื่องดื่ม ยาและเครื่องสำอาง มูลค่าลงทุนราว 200 ล้านบาท คาดว่าเห็นความชัดเจนภายในปี 2021
ความคิดของผมในการถือหุ้น MGT
ผมจะติดตามพัฒนาการของบริษัทไปเรื่อยๆ ทั้งเรื่องการบริหารธุรกิจ, ผลประกอบการแต่ละ
ไตรมาส และการลงทุนเพิ่มเติมในโครงการต่างๆ ส่วนราคาหุ้นถ้าไม่ขึ้นสูงผิดปกติจนราคา
แพงจนเกินไปผมก็จะถือเพื่อรับเงินปันผลต่อไปครับ
จบไปแล้วนะครับ สำหรับการอัพเดทล่าสุดจนถึงปัจจุบันของพอร์ตการลงทุนทั้งหมด มูลค่าตอนนี้ทั้งหมดก็ประมาณ 9 แสนกว่าบาท รวมเงินสดในพอร์ตที่เตรียมไว้รอช้อนซื้อหุ้นที่ผมสนใจอยู่ ซึ่งแอบเสียดายบางตัวที่ตกรถครับ อิอิ
อ่อ เกือบลืม เหตุผลที่ผมบริหารพอร์ตนี้ได้ดีกว่าอีกพอร์ตคือ ผมนำความผิดพลาดทั้งหมดตั้งแต่ 2556 จนถึงปัจจุบันเพื่อเป็นบทเรียนในการลงทุนครั้งต่อไปครับ
ผมสังเกตุได้อย่างหนึ่งในตัวผมที่พัฒนาขึ้นมาคือ ความอดทน (เหมือนเสือที่รอจับเหยื่ออย่างใจเย็น ซึ่งก็คือรอจังหวะราคาที่เหมาะสมเพื่อซื้อหุ้นนั่นแหละครับ), การควบคุมจิตใจในการซื้อขายหุ้น ง่ายๆคือทำใจสบายๆแม้ว่าจะตกรถอ่าครับ 555+ พลาดซื้อหุ้นไม่ทันชาวบ้านราคาก็ไปไหนต่อไหนแล้ว ผมก็ต้องรอรถคันใหม่ครับ
ผมจะแยกประวัติการลงทุนของผมแยกหมวดหมู่ไว้ในเพจนะครับ และผมจะกลับมาในหมวดนี้อีกทีตอนที่ พอร์ตผมมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น ไว้จะมาอัพเดทให้ฟังครับ
ส่วนหลังจากนี้ผมจะหาข้อมูลดีๆน่าสนใจมาลงให้ผู้อ่านได้ติดตามกันครับ
สุดท้ายนี้ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านที่กด ติดตาม และให้การสนับสนุนเพจผมให้มีกำลังใจทำเพจต่อไปครับ ขอบคุณจากใจจริงครับ
1
โฆษณา