19 เม.ย. 2021 เวลา 13:00 • ธุรกิจ
สปีดหนีคู่แข่ง🚀 ด้วยไอเดียธุรกิจนอกกรอบ
ถอดความจาก Clubhouse Session วันที่ 7 เมษายน 2564 โดย Speaker ชื่อดังมาชี้วิธีปลดล็อกไอเดีย พร้อมเคล็ดลับฝึกตัวเองจากคนธรรมดาให้มีความคิดคมๆ
💬คุณเก่ง - สิทธิพงศ์ ศิริมาศเกษม Founder and CEO at RGB72 & Creative Talk Conference
💬คุณเอ็ม - ขจร เจียรนัยพานิชย์ ผู้ก่อตั้งและกรรมการผู้จัดการบริษัท The Zero Publishing หรือที่ใครๆ รู้จักในนาม @Khajochi
💬คุณโธมัส - พิชเยนทร์ หงษ์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ก่อตั้ง บริษัท สมาร์ท ไอดี กรุ๊ป จำกัด เจ้าของแบรนด์ Anitech
🎙ดำเนินรายการโดย คุณหนึ่ง - ธัญญ์นิธิ อภิชัยโชติรัตน์ Co-Founder บริษัท สมอลเวิลด์ฟอร์คิดส์ จำกัด
***ตามหาความคิดสร้างสรรค์***
คุณเก่ง
ความคิดสร้างสรรค์จำเป็นกับธุรกิจในยุคนี้ เพราะช่วยให้การต่อยอดธุรกิจเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว แต่คนส่วนใหญ่มักสับสนระหว่างความคิดสร้างสรรค์กับความฟุ้ง แล้วจะทำยังไงไม่ให้ฟุ้ง? อันนี้มีเคล็ดลับนิดนึงคือ ความคิดสร้างสรรค์ต้องเริ่มจากกลุ่มเป้าหมายก่อน เวลาคิดไอเดียจะได้ไม่ฟุ้งเกินไป โดยวิธีการหาความคิดสร้างสรรค์ต้องมี 3 อย่างคือ
1. ต้องมีจินตนาการ คิดนอกกรอบ ไม่เหมือนเดิม
2. ต้องมีความรู้ ในเรื่องนั้นๆ เป็นอย่างดี
3. ต้องมีความกล้า กล้าที่จะพูด และกล้าที่จะแสดงออก
คุณเอ็ม
นิสัย 2 ข้อที่จะสร้าง Creative Idea ให้เกิด คือ
1. ต้องเสพให้เยอะ ต้องมองหาไอเดียทางธุรกิจให้เยอะๆ เช่น ทำหนังก็ต้องดูหนัง เขียนหนังสือก็ต้องอ่านหนังสือ ทำคอนเทนต์ออนไลน์ก็ต้องเสพคอนเทนต์ออนไลน์ เราถนัดหรือทำงานด้านไหนก็เสพเรื่องนั้นๆ ให้เยอะ เอาไอเดียต่างๆ มาประกอบกัน การที่เราไปหาไอเดียมา ไม่จำเป็นต้องเอามาทั้งหมด แต่ให้เอามาปรับใช้
2. ไอเดียดีๆ ไม่ค่อยเกิดขึ้นในห้องประชุม เวลามีการประชุมจะคุยแค่เรื่องหัวข้อ แล้วให้ทีมไปมองหาไอเดียเอามาคุยกัน วิธีที่จะเจอไอเดีย เราอาจจะต้องมีสเปซให้ตัวเองเพื่อนั่งคิดบ้าง ให้มันผ่อนคลาย บางทีไอเดียดีๆ ก็มาตอนอยู่ในห้องน้ำ ตอนออกกำลังกาย ตอนเล่นสเก็ตบอร์ด หรือตอนนั่งสมาธิ คือให้มีเวลาอยู่กับตัวเองน่าจะเกิดไอเดียได้ง่ายกว่า
1
คุณโธมัส
- Anitech เริ่มต้นธุรกิจจากการผลิตเมาส์แค่ตัวเดียว ทุกวันนี้มีกว่า 1,000 SKU ปีๆ นึงขายสินค้าไม่ต่ำกว่า 2 ล้านชิ้น ซึ่งในการจะพัฒนาสินค้ามาได้ขนาดนี้ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์มากๆ
- Good artists copy, great artists steal ไอเดียที่ดีไม่จำเป็นต้องเริ่มจากศูนย์ เพราะความคิดสร้างสรรค์จะเกิดเมื่อเดินออกไปดูข้างนอก เราไม่จำเป็นต้องเริ่มจาก 0 เราเริ่มจาก 4 หรือ 5 แล้วต่อยอดไปเป็น 10 ก็ได้ อย่างสินค้าของ Anitech เราใส่ความครีเอทีฟเข้าไปในการขายปลั๊กไฟ ให้มันแต่งบ้านได้ด้วย คือ เพิ่มสีสันเข้าไป
- ความคิดสร้างสรรค์แบบ Anitech เกิดมาจาก Pain Point ไปดูว่าผู้บริโภคมีปัญหาอะไรบ้าง นั่นแหละคือโอกาสทางการตลาด เริ่มจากปัญหา มาสู่ความต้องการ เพื่อตอบปัญหา เวลาเราพัฒนาสินค้าและบริการ เราก็คิดแบบนี้
***จะรู้ได้ไงว่าไอเดียเราเวิร์ก?***
คุณโธมัส
- ที่บริษัทก่อนจะพัฒนาสินค้าออกมาแต่ละตัว เราไปดูสินค้าตัวอย่างของคนอื่นเยอะมาก แต่ก่อนจะเอาสินค้ามาวางขายจริง จะใช้วิธี
1. ใช้ Tools ที่ทำให้การพัฒนาสินค้ามีต้นทุนต่ำที่สุด
2. ทำ Market Validation คือต้องออกไป Test ไปถามผู้ใช้สินค้าในแต่ละกลุ่ม ให้ลูกค้าลอง อย่าคิดเอง และต้องมีขนาดกลุ่มทดลองที่ใหญ่พอสมควร เพื่อดูว่ามันมีโอกาสทางการตลาดหรือไม่
3. Good Enough ก็พอ ไม่ต้องรอเป็น The Best คำว่าดีที่สุดไม่มีอยู่จริง ถ้ามัวแต่รอ โอกาสมันอาจจะผ่านไปแล้ว
- การทดลองตลาด เราจะชอปสินค้าที่คล้ายๆ กัน แล้วทำโปรโมตออนไลน์ พอเห็น data มันจะบอกเราได้เลยว่าสินค้าเราจะขายได้รึป่าว
- ยอดขายจะเป็นตัวที่บอกได้ดีที่สุดว่าสิ่งที่คิดมันถูกหรือไม่
คุณเอ็ม
1. ต้องอินกันมัน ถ้าเราอยากจะทำอะไร การอินเข้าไปในสายเลือดมันสำคัญมากๆ กับความคิดสร้างสรรค์ ถ้าเราทำธุรกิจขายยางรถยนต์ เราต้องอินกับมันมากจนเรารู้ว่าลูกค้าอยากได้อะไร
2. ทำ AB Testing เพื่อดูว่ามันได้ผลมั้ย จับสถิติดูทุกวัน เราจะรู้ว่าอะไรที่เวิร์ก อะไรที่ใช่ ตอนผมจัดงานงานนึง ผมทดลองทำโพสต์แบบต่างๆ เพื่อดูว่า Ads ตัวไหนเวิร์ก แล้วเอามาพัฒนาต่อ จะเห็นเลยว่ายอดขายบัตรดีขึ้น ขายดีขึ้น
1
คุณเก่ง
- Creativity เกิดมาจากความหลากหลายและความแตกต่าง
- ผมเชื่อใน Small Win แบ่งเป็นเป้าหมายเล็กๆ ระหว่างทาง ให้ตัวเองรู้ว่าเราน่าจะมาถูกทางแล้ว
- ก่อนหน้านี้เคยคิดว่างานฟรีคนน่าจะชอบ แต่สิ่งที่ได้เรียนรู้คือ งานฟรี คนมักจะทิ้งบัตร ประมาณ 30% เลย นั่นแสดงว่าคน 30% ไม่เห็นคุณค่าของงาน โจทย์คือจะทำไงให้มันมี Value เลยลองหาวิธีเพิ่ม Value ให้งานของเรา ซึ่งสิ่งที่คิดได้ก็คือ “เวลา” เวลาคือสิ่งที่ทำให้ลูกค้าเห็น Value เลยลองใช้วิธี ให้คนมากดรับบัตรฟรีในเวลาที่กำหนด ผลที่ออกมาคนทิ้งบัตรเหลือแค่ 1% แสดงว่ามันเวิร์ก
- สิ่งที่ดีสำหรับคนนึง อาจไม่ใช่สิ่งที่ดีสำหรับทุกคน ดังนั้นเวลาที่เราคิดไอเดียคิดมา มันจึงไม่ได้แปลว่ามันจะเวิร์ก แต่มันต้องค่อยๆ ปรับกันไป มันไม่มีไอเดียที่เพอร์เฟกต์ มันไม่มีทางเป็นไปได้ ถ้ารอขนาดนั้น อาจถูกคู่แข่งแซงไปหมดแล้ว
***เคล็ดลับฝึกตัวเองให้เป็นคน Creative***
คุณเอ็ม
- ไอเดียดีๆ ไม่ได้มีทุกวัน ผมเลยทำ Stock idea ออกมาให้เยอะที่สุด และต้องเป็นไอเดียที่ตั้งใจคิดด้วย อันนี้ก็จะได้ไอเดียที่เวิร์กจริง สดจริง เพราะไอเดียแรกมันอาจจะไม่เวิร์ก แต่ไอเดียถัดๆไป มันจะคมขึ้น ซึ่งพบว่ามีประมาณ 20% ของไอเดียที่ใช้ได้
- เคยให้โจทย์น้องในทีมให้หาไอเดีย 300 ไอเดีย ภายใน 7 วัน แล้วเอาไอเดียน้องคิดมาเลือก มาปรับ และมาพัฒนาใช้ต่อ การที่เราสุมหัวช่วยกันคิดไอเดีย แล้วค่อยๆ คัดออกถือเป็นวิธีการหาไอเดียที่ดี
คุณเก่ง
- เราต้องหมกหมุ่นกับมัน ก่อนจะได้ไอเดียดีๆ ออกมา มันต้องผ่านการบ่มเพาะ ลองตั้งไทม์ไลน์ให้ตัวเอง แล้วระหว่างนั้นก็คิดและอยู่กับมันตลอดเวลา น่าแปลกที่คนที่มี Creativity มักจะเป็นคนผัดวันประกันพรุ่ง ไปทำงานให้เสร็จช่วงใกล้ๆ จะส่งงาน เพราะงานที่ทำเสร็จก่อนกำหนดเร็ว อาจยังไม่ได้ผ่านการบ่ม คิด วิเคราะห์ ตกตะกอน ทำให้งานนั้นอาจดีไม่มากพอ
- เลโอนาโด ดาวินชี ใช้เวลาวาดภาพโมนาลิซ่านานถึง 16 ปี ค่อยๆ เติมไปทีละนิดๆ ระหว่างนั้นก็ศึกษาว่ากายวิภาคของมนุษย์ไปด้วย เช่น เวลาคนเรายิ้ม กล้ามเนื้อบนใบหน้าจะขยับไปอย่างไร นั่นทำให้งานค่อยๆ พัฒนาและสมจริงมากยิ่งขึ้น
- ดังนั้นเคล็ดลับการฝึกตัวเองก็คือ กำหนดไทม์ไลน์ วางแผน ตั้งเป้าหมาย บ่มเพาะไอเดีย และตกตะกอน
คุณโธมัส
มี 2 คำ คือ
1. Teamwork เพราะมันเสียเวลามากถ้าใครคนนึงหมกหมุ่นและเสียเวลาอยู่กับงานชิ้นเดียว ดังนั้นต้องช่วยกันเป็นทีม ไม่งั้นจะไม่ทันไทม์ไลน์ เสียโอกาสทางธุรกิจ Time to Market สำคัญมากกับธุรกิจ
2. Deadline เพราะ Creativity ที่ดีมากๆ คือ Creativity ที่มี Deadline นั่นก็เพื่อให้สามารถ Work Backward กลับมาว่าใครต้องทำอะไรให้เสร็จเมื่อไหร่ เพื่อประหยัดเวลา บุคลากร และเงินลงทุน ยอมกดดันตัวเองนิดนึง เพื่องานที่ดีกว่า
***Mindset แบบไหนที่คน Creative ต้องมี***
คุณเก่ง
- ยุคนี้ข้อมูลมาเร็วและเยอะมาก การที่เราจะเป็นคนมีไอเดีย เราต้องเริ่มจากการเปิดรับ ลองสังเกตสิ่งรอบๆ ตัว แล้วหัดตั้งคำถาม และรับฟัง ซึ่งการฟังที่ดีคือการฟังที่ตั้งใจ เราต้องทำตัวให้เหมือนเด็กเล็กๆ ที่พร้อมจะเรียนรู้ และเปิดรับ แต่ต้องมีสติ ความมั่นคงทางความคิดและอารมณ์แบบผู้ใหญ่
- สังเกต สนใจ ใฝ่รู้ รับฟัง และทดลองทำ ว่ามันเวิร์กมั้ย
- ล้มได้ เฟลได้ คนทำผิดไม่แปลก แต่ทำผิดเรื่องเดิมๆ ท่าเดิมๆ นี่สิแปลก
คุณหนึ่ง
คนเรามี 2 หู แต่มีปากเดียว ดังนั้นต้องฟังเยอะๆ
คุณเอ็ม
- อย่าทำอะไรซ้ำๆ เดิมๆ เพราะเราจะรู้สึกเคยชิน จนไม่รู้ว่ามันเป็นปัญหา บางทีเราอยู่ในวังวนชีวิตแบบเดิม แล้วจะไปหาไอเดียใหม่ๆ ได้ยังไง ดังนั้นจึงต้องมีการปรับเปลี่ยนบ้าง เมื่อเราทำอะไรไม่ซ้ำเดิม เราจะเจอไอเดียใหม่ๆ เราจึงต้องลองทำอะไรใหม่ๆ ดูบ้าง
- อย่าติดกับความสำเร็จนั้นนานเกินไป ภูมิใจกับมันได้แป๊บนึง แต่ก็ต้องคิดว่าจะทำอะไรต่อ What's next? จะทำอะไรให้ดีกว่านี้
คุณโธมัส
- ไอเดียที่ดีคือไอเดียที่มีหางเสือ ดังนั้นการออกสินค้าใหม่มันต้องตอบโจทย์ Vision ขององค์กร
- Mindset ที่ดี คืออย่าเอากรอบมาตีให้ตัวเองเดิน ไปลองทำอะไรใหม่ๆ บ้าง แต่ละคนมีวิธีใช้ชีวิต มีวิธีคิดที่ไม่เหมือนกัน ลองพาตัวเองไปอยู่ในหลายๆ สังคม ลองทำกิจกรรมหลายๆ อย่าง เพราะการไม่มีกรอบ ทำให้เราได้ไปทดลองในที่ใหม่ๆ
- เราไม่ได้ต้องการชนะ แต่เราต้องการยกระดับตัวเอง
- ดังนั้นเรียนรู้จากนอกวงการที่เราอยู่ เราจะได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ ได้ไอเดียใหม่ๆ ท้าทายตัวเอง จะได้เห็นโลกกว้างขึ้น เปรียบเสมือนเส้นชัยที่ไม่ได้มีอยู่จริง มันมีแต่เนินเขาที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ที่เราสร้างขึ้นมาเอง แล้วเราก็ไต่เนินนั้นขึ้นไป ทุกๆ ก้าวที่เราก้าวสูงขึ้นไปเรื่อยๆ เราก็จะได้เห็นวิวอะไรแปลกใหม่ ได้เห็นกว้างขึ้น ว่าโลกไม่ได้มีด้านเดียว สิ่งที่เราเคยมองเห็น จริงๆ แล้วมันไม่ได้มีแค่นั้น มันยังมีมุมมองอื่นอีก
***ไอเดียดีจนโดน Copy ปัญหานี้จะแก้ยังไง***
คุณเก่ง
- การ Copy ไม่ได้แปลว่าคน Copy จะประสบความสำเร็จ หรือคนที่ทำคนแรกจะประสบความสำเร็จ ดังนั้นเวลาเราคิดอะไรได้ เราอย่าไปกลัว เพราะของเราดีจริง ถึงมีคน Copy และเราต้องพยายามท้าทายตัวเองให้เก่งขึ้นเรื่อยๆ คนลอก ก็จะเป็นคนลอกต่อไป ดังนั้นอย่าไปกลัว แต่ที่สำคัญคือ ก็ไม่ควรหยุดคิด หยุดครีเอต ถ้าเราเป็นคนที่พัฒนาอยู่ตลอดเวลา เราก็ไม่ต้องกลัว คน Copy ไม่มีทางแซงเราได้
คุณเอ็ม
- การลอกเลียน ผมขอยกตัวอย่าง Honey Toast ของ After You ครั้งหนึ่งมีร้านทำเลียนแบบเยอะเลย ตอนนี้หลายร้านก็เลิกไป แต่ After You ก็ยังมีเมนูนี้ และยังเป็นเมนูที่มีคุณภาพ และเป็นสัญลักษณ์ของ After You ต่อไป สำคัญคือ ถ้าถูกลอก เราก็ต่อยอด หรือทำให้เหนือขึ้นไป
- ถ้าไอเดียเราถูก Copy ได้ง่าย เราอาจจะต่อยอดไปได้อีก คมได้อีก เยี่ยมได้อีก Content หมื่นแชร์มันไม่มีประโยชน์เลยถ้าไม่มีใครจำว่าใครทำ ดังนั้นจึงต้องใส่ซิกเนเจอร์ให้เหนือกว่าคู่แข่ง เพื่อให้คนจดจำเรามากกว่าคู่แข่ง
คุณโธมัส
- ในธุรกิจของผม อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ คำว่า Unique มันไม่มีอยู่จริง มันแค่ Sooner or Later ดังนั้น Trademark หรือลิขสิทธิ์อะไรต้องทำให้เรียบร้อย อย่าออกไปขายโดยไม่มีอะไรปกป้องสิทธิ์
- ต้องหาให้ได้ว่า Market Size ใหญ่พอหรือไม่ การมีคู่แข่งเข้ามา Copy อาจทำให้ Market Size มันขยายใหญ่ขึ้นก็ได้ อันนี้เราก็ได้อานิสงส์ไปด้วย
- แต่ในการทำธุรกิจนี้ จำเป็นต้องมีสปีดที่เร็วมาก ไม่ต้องสนใจว่าจะมีคู่แข่งมาเลียนแบบหรือไม่ เพราะการเป็นแบรนด์แรกไม่มีประโยชน์อะไร เท่าการที่เราเป็นแบรนด์เดียว คู่แข่งอาจจะเลียนแบบสินค้าได้ แต่เลียนแบบตัวตนของเราไม่ได้
***ส่งต่อความ Creative ให้พนักงาน***
คุณเก่ง
- พรสวรรค์ก็แค่ 1% แต่พรแสวงมันตั้ง 99% ดังนั้นความคิดสร้างสรรค์มันก็สร้างขึ้นมาได้ อยู่ที่การฝึกฝน 3 เรื่องที่พูดไปแล้วในตอนต้น ก็คือ
1. ความรู้ ด้วยการส่งทีมงานไปเรียน ให้ไปเปิดประสบการณ์ เพราะมนุษย์เราแตกต่าง เป็นเพราะประสบการณ์ที่เจอมันต่างกัน
2. จิตนาการ รับฟังไอเดียของทีมงาน ลองเปิดกว้าง เปิดโอกาสรับฟังพวกเขา
3. ความกล้า ถ้าเรารับฟังพวกเขา เด็กจะกล้าพูด กล้าที่จะเสนอ เพราะคนมากกว่า 60% ไม่กล้าลองสิ่งใหม่ เพราะเคยทำมาแล้วไม่เวิร์ก เลยไม่กล้าลอง
- ในที่สุดแล้วถ้าเราทำการบ้านมาไม่ดีพอ เราก็จะตกหลุมของตัวเอง
คุณโธมัส
- ในบริษัทผม 97% เป็นเจน Y+Z ผมพบว่าความคิดสร้างสรรค์มันต่างกันออกไป แต่ละคนมีพื้นฐานไม่เหมือนกันตามประสบการณ์ ในการประชุม แต่ละคนจะมี Creativity ต่างกัน อย่างคนที่เก๋ากว่า ก็จะเสียงดังกว่า ซึ่ง CEO อย่างผมต้องเปิดโอกาสไม่ว่าจะเป็นใคร ถ้าไอเดียเขาดีก็ควรยอมรับเหมือนๆ กัน ให้บรรยากาศมันเปิดกว้าง แต่ถ้าคุณไม่มีไอเดียเลย ก็อาจจะต่ำกว่า Standard ในบริษัทผม แต่ก็ต้องสร้างพื้นที่ไม่ทำให้เขารู้สึกผิดที่ไอเดียไม่ดี สุดท้ายมันจะกลายเป็น Culture ขององค์กรได้
คุณเอ็ม
- เราเคยถามพนักงานไหมว่า เขาอยากเป็นอย่างที่เราบอกให้เป็นไหม? ผมว่ามันควรเกิดจากการที่เค้าอยากจะเป็นก่อน ก็ต้องค้นให้เจอว่าทำไมถึงอยากเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เราจะนั่งคุยกัน ให้น้องเขียนว่า คุณชอบ Content ไหนมากที่สุดในเดือนที่ผ่านมา หรือเราชอบ Content ของใครที่สุดในออฟฟิศ ก็ปรากฎว่าพอมีคนบอกชอบ Session นี้ที่สุด มันก็ภูมิใจ และเป็นแรงผลักดันให้น้องๆ เขาได้มีความ Creativity และสร้างสรรค์งานดีๆ ออกมา
***ในองค์กรที่มีคนหลากหลายเจน จะนำเสนออย่างไรให้ทุกคนสนใจฟัง***
คุณโธมัส
- จากประสบการณ์ ผมไม่เคยคิดว่าจะเป็น One size fit all ผมต้องรู้ว่าก่อนผมจะต้องทำงานกับใคร และเรียนรู้ว่าเค้าชอบอะไรแบบไหน คำพูดแบบไหนใช้ได้ใช้ไม่ได้ เจนที่ต่างกัน ประสบการณ์ก็ต่างกัน
คุณเก่ง
- ลองค้นหา Objective ที่มีร่วมกัน แล้วเล่าให้เขาฟังว่าสิ่งที่เรานำเสนอตอบโจทย์นั้นอย่างไร เพื่อที่จะได้ไปถึงเป้าหมายเดียวกัน
คุณเอ็ม
- พยายามตีซี้ ยิ่งเรารู้จักเขาน้อย โอกาสที่จะขายงานผ่านก็ยิ่งน้อย อย่างตัวผมเองทุกครั้งที่ได้รับบรีฟมาจากลูกค้า ก็พยายามชวนคุย ถามเรื่องอื่นๆ ด้วยก็จะได้ไอเดียเพิ่มเข้ามา
***ก่อนจะเอาไอเดียไปลงมือทำ ควรนึกถึงอะไร***
คุณเก่ง
คิดเป้าหมายก่อน ลูกค้าของเราคือใคร เพื่อตีกรอบให้ตัวเอง
คุณเอ็ม
ได้ไอเดียมาแล้ว ให้ลองถามตัวเองซ้ำๆ 5 ครั้งว่าเพราะอะไร เพื่อตกผลึกความคิด ความต้องการของตัวเอง
***ฝากทิ้งท้าย***
คุณโธมัส
เก้าอี้สามขา หมุนเป็นวงล้อกันไป
1. การทำงานเป็นทีม Teamwork is everything ไม่ว่าจะเป็นทีมงาน ลูกค้า พาร์ทเนอร์ ต้องก้าวสู่ความสำเร็จด้วยกัน ไม่มีใครที่จะทำงานสำเร็จได้ด้วยตัวคนเดียว
2. ปรับตัวให้ไวมากๆ สมัยนี้ข้อมูลข่าวสารมันเร็ว คู่แข่งก็ไม่หยุดนิ่ง เราจึงต้องปรับตัว ซึ่งเราต้องเกาะ Data เอาไว้กับตัว ขอให้มีเอาไว้วิเคราะห์ บริบทการแข่งขันเปลี่ยนไป เอาการทำธุรกิจแบบเก่ามาใช้ มันเท่ากับการขุดหลุมฝังตัวเองทางอ้อม
3. ไม่มีอะไรยากเกินความสามารถ วันนี้ไม่สำเร็จ พรุ่งนี้ต้องพยายามต่อไป
คุณเอ็ม
- องค์กรมันคือคนจำนวนมาก ไม่ใช่คน 1 คน ดังนั้นทุกคนต้องเห็นด้วย ต้องไปด้วยกัน เรามีไอเดีย Creative ได้ แต่เราต้องดูคนในองค์กรของเราด้วยว่าเชื่อไปด้วยกันรึป่าว
- เราอย่าไปติดกับความคิดสร้างสรรค์ เพราะมันจะไม่มีประโยชน์เลยถ้าเราสร้างสรรค์แต่ไม่มีความสุขกับมัน
คุณเก่ง
- การทำงานเป็นทีมเวิร์ก มันต้องมีเป้าหมายร่วมกัน เราต้องบอก Objective กับทุกคน การทำงานเป็นทีมก็เหมือนการเล่นเพลงแจ๊ส ที่ทุกคนเข้าใจเป้าหมายหรือองค์รวมแล้วเล่นในทางของตัวเอง
- ที่สำคัญสำหรับการสร้างความคิดสร้างสรรค์ก็คือเราต้องมีความรู้เยอะๆ สมองเราเหมือนตู้เย็น ในตู้เย็นมีอะไร ก็ทำกับข้าวได้ตามนั้น ก็เหมือนไอเดีย ถ้ามีวัตถุดิบเยอะ ก็ครีเอตไอเดียได้เยอะ
- อยากให้ Think Again เวลาที่คุณได้ยินหรือรู้อะไรมาก็แล้วแต่ ลอง Think Again ว่ามีอะไรที่เราปรับใช้ได้บ้าง ใช้ไม่ได้บ้าง ลอง Research หาคำตอบ คุณอาจจะเจอแนวทางสำหรับคุณ
🔔กดติดตามและร่วมพูดคุยกันได้ใน Clubhouse KBank Live >>> http://kbank.co/3vGO36A
👋กดเข้าร่วมคลับ K SME >>> http://kbank.co/3c1kXa
โฆษณา