Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
THE SCOOP
•
ติดตาม
21 เม.ย. 2021 เวลา 18:03 • ข่าว
ในฟีดข่าวต่างประเทศล่าสุดได้มีการลงข่าวนึงที่ค่อนข้างน่าสนใจไว้นั่นก็คือ องค์กรสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติได้เรียกร้องให้ “ราชวงศ์ดูไบโชว์หลักฐานที่น่าเชื่อถือว่าเจ้าหญิงลาติฟายังมีชีวิตอยู่จริง ๆ”
วินาทีแรกผู้เขียนเกิดอาการงุนงงเล็กน้อยกับพาดหัวข่าวที่ได้อ่าน เพราะมีอย่างที่ไหนที่คนในครอบครัวโดยเฉพาะผู้เป็นพ่อจะทำร้ายกันได้ลงคอ ยิ่งเป็นราชวงศ์ชั้นสูงแบบนี้ ยิ่งต้องเป็นคดีดังสิ
1
ตัวผู้เขียนไม่อาจสลัดความสงสัยนี้ไปได้จริง ๆ จึงลงมือถามกูเกิ้ล และบทสรุปที่ได้นั้นก็พบว่า ทั้งหมดเป็นเรื่องจริง ผู้เป็นพ่อลงมือกักขังหน่วงเหนี่ยวลูกสาวจริง ๆ มาเป็นเวลาเกือบ 3 ปี และจนถึงตอนนี้ยังไม่มีใครทราบชะตากรรมเจ้าหญิงลาติฟา หน้ำซ้ำเมื่อสืบลึกลงไป ผู้เขียนก็ต้องตกใจเมื่อพบว่า “คดีแบบนี้ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในราชวงศ์นี้!”
ก่อนจะพูดถึงเหตุการณ์ในปัจจุบัน เราไปย้อนดูเรื่องราวของราชวงศ์นี้คร่าว ๆ รวมถึง “คดีเจ้าหญิงชัมซา พี่สาวเจ้าหญิงลาติฟา ผู้ร่วมชะตากรรมในบ่วงมรณะที่ชื่อว่า สายใยครอบครัว”
ชีค โมฮัมเหม็ด บิน อัล มักตูม (Sheikh Mohammed bin Al Maktoum) เจ้าผู้ครองนครดูไบ หนึ่งในบุคคลผู้ทรงอิทธิพลและร่ำรวยที่สุดในโลก มีโอรสและธิดารวม 23 คนจากพระชายา 6 คน
ซึ่ง 1 ในนั้น “เจ้าหญิงชัมซา” ทรงหนีออกมาจากบ้านพักของราชวงศ์แห่งดูไบในเมืองเซอร์เรย์ ประเทศอังกฤษในปี 2000 แต่ต่อมาทรงถูกสายลับของชีค โมฮัมเหม็ด จับตัวได้และมีรายงานว่า ทรงถูกฉีดยาสลบและพากลับนครดูไบอย่างจำนน
พระองค์ทรงถูกควบคุมตัวที่นั่น และไม่เคยมีใครพบเห็นปรากฏตามสื่อหรือโลกภายนอกอีก มีเพียงแค่คำบอกเล่าว่าเจ้าหญิงชัมซาไม่เหลือความมีชีวิตชีวาในตัวอีกต่อไป จำนนและนิ่งเงียบ จากการได้รับยากล่อมประสาทตลอด 20 ปี
1
https://medium.com/@zenobya/bbc-newsnight-latifa-al-maktoum-missing-2018-d39a574e3f8
หากถามว่าเหตุการณ์ทุกอย่างมันชัดเจนว่าเป็นคดีลักพาตัวอย่างอุกอาจใจกลางมหานครลอนดอน แต่ทำไมเจ้าหน้าที่ของอังกฤษดูกระอักกระอ่วนที่จะรีบดำเนินการ
สาเหตุก็เพราะว่า ชีค โมฮัมเหม็ด บิน อัล มักตูมคือพระสหายคนสำคัญของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่สองแห่งสหราชอาณาจักร รวมถึงมีสายสัมพันธ์อันดีกับรัฐบาลทุกสมัยมาโดยตลอด เจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องจึงเกรงว่าหากทำอะไรบุ่มบ่ามไปอาจส่งผลร้ายแรงถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศได้เลย
โอเคแหละว่าในแง่หนึ่ง เรื่องนี้คือปัญหาของคนสองคนในครอบครัว เป็นประเด็นละเอียดอ่อนที่คนภายนอกไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยว แต่การลักพาตัว, บังคับฝืนใจ, ทรมานกักขังหน่วงเหนี่ยว คือเรื่องร้ายแรงที่กระบวนการยุติธรรมไม่อาจเพิกเฉยไปได้
แม้ตัวชีค โมฮัมเหม็ด บิน อัล มักตูมจะมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วตะวันออกกลางจากการเปลี่ยนนครดูไบให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่โด่งดัง เป็นทั้งจุดหมายปลายทางในการทำธุรกิจและพักผ่อนหย่อนใจ จนผู้คนหลายฝ่ายให้การยอมรับ
แต่เรื่องภายในมุ้งครอบครัวของที่นี่ ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในสถานที่ที่มีความเป็น “อนุรักษ์นิยม” สูงมาก ๆ ของโลก พระธิดาของพระองค์ไม่สามารถขับรถตามลำพังได้ ห้ามเดินทางท่องเที่ยวหรือแม้แต่ออกจากประเทศ...
https://whatson.ae/2018/04/in-pictures-sheikh-mohammed-queen-elizabeth/
แต่ท้ายที่สุดกระบวนการพิจารณาคดีอย่างยุติธรรมของที่อังกฤษยังเบ่งบานออกผลได้เต็มที่ ภายหลังมีคำตัดสินจากศาลว่า “ข้อกล่าวหาทั้งหมดต่อตัวชีค โมฮัมเหม็ด แห่งดูไบ เป็นความจริง ทรงลักพาตัวพระธิดาจริง”
คำตัดสินเหล่านี้ สร้างความอับอายอย่างมากต่อชีค โมฮัมเหม็ด อัล-มักตูม จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่คณะทำงานด้านกฎหมายของพระองค์จะพยายามยับยั้งการเผยแพร่คำตัดสินและข้อกล่าวหาต่าง ๆ ต่อสาธารณชนโดยอ้างว่า “เป็นการเปิดเผยเรื่องราวเพียงด้านเดียว”
ซึ่งถ้าให้เรียนกันตามตรง ตัวชีคเองแม้จะมีท่าทีแสดงออกมาว่าอับอายกับคำตัดสินของศาลอังกฤษ แต่มันก็เป็นเรื่องยากที่ท่านชีคจะยอมเปลี่ยนขนบธรรมเนียม และค่านิยมดั้งเดิมของชนชาติตัวเองเพื่อเอาใจตาชั่งจากตะวันตก
ทั้งหมดทั้งมวลจึงนำมาสู่เหตุการณ์ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย “คดีลักพาตัวเจ้าหญิงลาติฟา” อีกหนึ่งพระธิดาที่พยายามหลบหนีจากวิถีชีวิตที่ไร้อิสรภาพ
https://www.aa.com.tr/en/europe/uk-people-want-to-see-princess-latifa-alive-and-well/2147879
เจ้าหญิงลาติฟา ทรงพยายามหนีจากพระบิดาถึง 2 ครั้ง 2 คราด้วยกัน แต่ไม่สำเร็จทั้ง 2 ครั้ง คือในปี 2002 และ 2018
โดยในครั้งแรกพระบิดาคุมขังพระองค์ไว้ที่ดูไบนานกว่า 3 ปี
ส่วนในครั้งที่ 2 พระองค์ทรงถูกตามจับตัวกลับมาได้ขณะหลบหนีอยู่ที่ชายฝั่งมหาสมุทรอินเดีย และถูกบังคับให้กลับดูไบตามระเบียบ
ซึ่งขณะนี้พระองค์ยังทรงถูกควบคุมตัวไว้ในพระตำหนักตากอากาศแห่งหนึ่งที่ไม่มีคนภายนอกทราบ แต่ทรงมีไหวพริบที่ดีและแอบส่ง “วิดีโอลับ” ถึงพระสหายมีเนื้อความกล่าวหาว่าถูกพระบิดาจับเป็น "ตัวประกัน" และเกรงว่าจะเกิดอันตรายกับพระองค์เอง
ในเวลาต่อมา เจ้าหญิงทรงขาดการติดต่อไปดื้อ ๆ เรื่องนี้ทำให้พระสหายของพระองค์กังวลเป็นอย่างยิ่ง และออกมาเรียกร้องให้องค์การสหประชาชาติเข้าไปให้การช่วยเหลือ
หลายฝ่ายหวั่นเกรงว่าชะตาชีวิตของเจ้าหญิงลาติฟาจะซ้ำรอยเจ้าหญิงชัมซาที่มีชีวิตราวกับเป็นแค่ “ซอมบี้ที่ยังหายใจ” จึงเรียกร้องให้ราชวงศ์ดูไบพิสูจน์ว่า “เจ้าหญิงลาติฟายังมีพระชนม์ชีพอยู่จริง”
สถานเอกอัครราชทูตยูเออีประจำกรุงลอนดอนแถลงตอบโต้ว่า “เจ้าหญิงลาติฟาได้รับการดูแลอยู่ที่ตำหนัก ได้รับการสนับสนุนจากราชวงศ์และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และจะกลับมาปรากฏพระชนม์ชีพต่อสาธารณะในเวลาที่เหมาะสม”
แม้จะมีแถลงการณ์ออกมาแต่กลับไม่ปรากฏรูปถ่ายหรือวิดีโอที่ยืนยันว่า พระองค์ทรงมีพระชนม์ชีพอยู่จริงออกมา
https://www.bbc.com/news/world-middle-east-56085369
นี่คือเรื่องโอละพ่ออย่างแท้จริง เพราะฝ่ายนึงยืนยันว่า ไม่เคยเกิดเรื่องขึ้นอย่างที่สื่อประโคมข่าว ตัวเจ้าหญิงยังมีชีวิตปกติสุขดีในแบบฉบับราชวงศ์ดูไบ ในขณะที่ฝ่ายเจ้าหญิงอ้างว่า ทรงถูกทำร้ายพระวรกาย วางยาและกักขังท่ามกลางการคุ้มกันของตำรวจใต้อาณัติของชีค
มุมมองจากบุคคลที่ 3 และโลกภายนอกกลายเป็นเรื่องที่พูดได้ยากขึ้นเพราะเรื่องนี้เป็น “ประเด็นที่ละเอียดอ่อนมาก ๆ”ปัญหาไม่ได้ขึ้นอยู่แค่กับเรื่องสิทธิมนุษยชนในแบบฉบับตะวันตกเท่านั้น ยังมีเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเข้ามาเกี่ยวข้อง รวมถึงกรอบวิถีชีวิตแบบฉบับตะวันออกกลางที่คนนอกอาจไม่เข้าใจอีกด้วย
บทสรุปจำเลย(ลูก)รักเวอร์ชั่นดูไบ 2021 จะจบลงแบบไหนคำตอบสุดท้ายคงขึ้นอยู่กับตัวท่านชีค โมฮัมเหม็ด เพียงคนเดียว เพราะมิฉะนั้นแล้ว เหตุการณ์ทำนองนี้จะไม่เกิดเป็นครั้งสุดท้ายอย่างแน่นอน
https://www.bbc.com/news/world-middle-east-56820707
https://www.bbc.com/news/world-middle-east-56085369
https://www.aa.com.tr/en/europe/uk-people-want-to-see-princess-latifa-alive-and-well/2147879
3 บันทึก
2
1
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
Meanwhile in hot topics
3
2
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย