19 เม.ย. 2021 เวลา 15:01 • ประวัติศาสตร์
“มากกว่าความเชื่อคือศรัทธา มากกว่าศาสนาคือพันธสัญญาแห่งชีวิต”
นับตั้งแต่ที่มนุษย์เผ่าพันธุ์เซเปียนส์วิวัฒน์ตัวเองขึ้นจนกลายมาเป็นผู้ครอบครองโลก พวกเราได้ประดิษฐ์เป้าหมายของชีวิตขึ้นมาว่า “เราเกิดมาเพื่อทำอะไรสักอย่างที่มีความหมาย”
ความหมายต่อตัวเราเอง ต่อครอบครัว เพื่อนบ้าน สังคม ชาติ โลกใบนี้
แต่ไม่มีเป้าหมายไหนที่จะศักดิ์สิทธิ์ ทรงพลัง และเป็นที่ถูกพูดถึงไปมากกว่าเรื่อง “ศาสนาและโลกหลังความตาย”
ในร่มเงาของทุกศาสนามักจะมีลัทธิความเชื่อที่แตกกิ่งก้านสาขาออกไปมากมายที่มักพูดทำนองว่า “ฉันนี่แหละเวอร์ชั่นล่าสุด” ฉันนี่แหละดีที่สุด” “ฉันนี่แหละจะพาทุกคนไปพบทางออกที่แท้จริง”
เวลาเราเห็นเจ้าลัทธิคนไหน หรือผู้นำทางจิตวิญญาณคนไหนออกมากล่าวอ้างทำนองนี้ หลายคนอาจจะบอกว่า งมงายบ้าง พวกนอกรีตบ้าง
1
แต่เชื่อไหมครับว่า ยังมีอีกหลายคนเช่นกันที่พร้อมจะเปิดรับฟังการเทศน์ในแนวทางใหม่ ๆ ที่เหล่าผู้ศรัทธาคิดว่า “นี่แหละ ใช่เลย มาถูกทางแล้ว”
ซึ่งความเลื่อมใสที่ล้นเกินไปเมื่อผนวกกับวิถีธรรมและพิธีกรรมสุดเอกลักษณ์ของลัทธิเหล่านั้น มันก็ได้ก่อให้เกิดข้อถกเถียงตามมามากมาย และบางทีมันก็ยังนำไปสู่ “โศกนาฏกรรม” ได้เช่นกัน
1. ลัทธิโอโช (Osho) : ลัทธิที่ถูกเรียกตามชื่อผู้นำทางจิตวิญญาณ “โอโช” หรือที่ชื่อจริง ๆ คือ ภควัน ชรี ราชณีช
ลัทธินี้เคยตกเป็นคดีดังเมื่อช่วงยุค 80’s โดยเฉพาะที่สหรัฐอเมริกา จากการเล่นใหญ่ของผู้นำลัทธิ เหล่ากรรมการมูลนิธิ และผู้ติดตาม
ที่บอกว่าเล่นใหญ่นั้น ผู้เขียนไม่ได้กล่าวเกินจริงเลย เมื่อพิจารณาจากแรกเริ่มที่เป็นแค่กลุ่มผู้มีศรัทธาในตัวโอโชและคำสอนของเขาอย่างแรงกล้าในอินเดีย ระหกระเหินไปก่อตั้งชุมชนตัวเองที่อเมริกา จนเลยเถิดไปถึงการก่อสงครามขนาดย่อมกับผู้คนในพื้นที่ ส่งคนของตัวเองเข้าไปแทรกซึมในกระบวนการทางกฏหมาย หนักข้อสุดคือถึงขั้น “วางแผนลอบฆาตกรรม”
2
ลัทธินี้มีคำสอนและวิถีปฏิบัติที่ยืนหนึ่งเรื่องความผิดแผกแปลกแยกจากศาสดาของศาสนาหลักในโลกอย่างฮินดู เต๋า พุทธ และคริสต์ ไปพอสมควร ทำให้เขาถูกยกย่องว่าเป็น “นักคิดคนสำคัญที่กล้ารื้อถอนโครงสร้างของศาสนา”
2
โอโชแนะนำให้มนุษย์ปลดปล่อยอดีต ความเจ็บปวด และความรู้สึกต่างๆ ที่อยู่ในใจ ผ่านทาง “เซ็กส์และการทำสมาธิในรูปแบบต่างๆ” โดยเขาได้เสนอวิธีทำสมาธิไว้กว่าร้อยวิธีซึ่งทุกท่านก็สามารถเปิดชมได้ตาม Youtube ในปัจจุบัน
1
แค่แนวคิดก็ขัดกับหลักความเชื่อทางศาสนาคริสต์เป็นที่เรียบร้อยแล้วในเรื่อง “การมีเพศสัมพันธ์กับผู้อื่นที่ไม่ใช่คู่ครองอย่างเปิดเผย”
แต่เหล่าผู้ที่มีศรัทธาเปี่ยมล้นเชื่อว่า “ความเชื่อนี้กำลังนำพาพวกเขาไปจากการหลุดพ้นจากความว่างเปล่า และความเจ็บปวดทางกาย ทางใจ ในชีวิต”
แรกเริ่มที่อินเดีย มูลนิธิราชณีชหากินกับหลักความเชื่อของตัวเองโดยดึงดูดสมาชิกเข้าร่วมชุมชนได้มากขึ้นเรื่อย ๆ มีเงินไหลเข้ามายังชุมชน “จนในที่สุดชุมชนก็เติบโตทั้งด้านความเชื่อและการเงิน”
ถึงตอนนี้อินเดียก็ดูเหมือนจะเล็กเกินไปแล้วสำหรับครอบครัวขยายนามสกุลราชณีช (แหล่งข่าวหลายที่ระบุว่าสาเหตุจริง ๆ คือ มูลนิธิต้องการหลบหลีกกระบวนการตรวจสอบการเงินของเจ้าหน้าที่รัฐในอินเดีย)
1
http://brstahachal.blogspot.com/2010/07/osho-bhagwan-shree-rajneesh.html?m=1
เมื่อย้ายมาอเมริกา แน่นอนว่าพวกเขาคือคนแปลกหน้า (Imposter) แต่ผู้นำและเหล่ากรรมการลัทธิหาได้ถอดใจไม่ พวกเขาสามารถสร้างชุมชนของตัวเอง ก่อสร้างตึกนับสิบ ลานปฏิบัติกามกิจทางธรรม ทะเลสาบ และแปลงเพาะปลูกขนาดใหญ่ รวมทั้งสร้างระบบการเงินและการปกครองที่แข็งแรงขึ้นมา
จากครอบครัวมาเป็นชุมชน จนในที่สุดเริ่มคลับคล้ายคลับคลาความเป็น “ประเทศ” มากขึ้นเรื่อย ๆ จึงเริ่มเป็นที่เตะตาของหน่วยสืบราชการกลางเอฟบีไอ (FBI)
เพื่อป้องกันการล่มสลายของเมืองยูโทเปียแห่งนี้ ประธานมูลนิธิจึงออกเกณฑ์สมาชิกผู้ติดตามเข้าร่วมเป็น “กองทัพโอโช” โดยอ้างว่าเพื่อเป็นการธำรงไว้ซึ่งความดีงามของตัวลัทธิ สมาชิกแต่ละคนจะถูกทอบหมายหน้าที่ให้ไล่ตั้งแต่หน้าทีเฝ้ายามเล็ก ๆ ไปจนถึงความพยายามในการเข้าไปเป็นสมาชิกของเคาน์ตี (County) และการก่อความไม่สงบนับสิบ ทั้งลักลอบพาคนเข้าเมือง วางระเบิด วางเพลิง วางแผนฆาตกรรม
1
เมื่อพันธสัญญาแห่งชีวิตได้ถูกเขียนขึ้น การกลับหลังหันดูจะไม่ใช่ทางออกที่ง่ายนักสำหรับผู้ติดตามที่เชื่ออย่างแรงกล้าว่า ตนกำลังทำในสิ่งที่ถูก
แม้บทสรุปสุดท้ายจะไม่สวยงามนักเท่าไหร่ ชุมชนแตกสลาย ผู้คนกระจัดกระจายแยกย้ายกันไป แต่สิ่งนั้นไม่ได้สลักสำคัญอันใดเท่ากับความจริงที่ว่า “ศรัทธาที่ฝังเลือดได้เปลี่ยนชะตาชีวิตของใครหลาย ๆ คนในที่นี้ไปตลอดกาล”
https://www.dallasnews.com/arts-entertainment/books/2017/03/31/a-texas-author-travels-to-jonestown-s-heart-of-darkness-for-his-new-book/
2. ลัทธิจิม โจนส์ (Jim Jones) : หากมองว่าลัทธิโอโชเคยตกเป็นข่าวคดีดังมากแค่ไหน ทุกท่านสามารถคูณสามให้กับลัทธิจิม โจนส์นี้ได้เลย
หลายท่านคงจะเคยคุ้นหู คุ้นตากับลัทธินี้มากันบ้างแล้วกับการมองว่า “การสังหารตัวเองหมู่จะช่วยบรรลุเป้าหมายสุดท้ายในชีวิตของทุกคน”
มันฟังดูเหลือเชื่อ บ้าคลั่งทะลุจุดเดือดเกินกว่าจะยอมรับได้ว่าเกิดขึ้นจริง ๆ แต่เป็นอีกครั้งที่บนหน้าประวัติศาสตร์ได้จารึกเหตุการณ์โศกนาฎกรรมที่น่าหดหู่เอาไว้
โจนส์เริ่มเทศนาธรรมจากคัมภีร์ไบเบิลตามปกติโดยชูแนวคิด“ความเท่าเทียมโดยไม่แบ่งแยกสีผิว เชื้อชาติ หรือเงินทอง” และด้วยวาทศิลป์ของเขา จำนวนผู้ติดตามในตัวเขาก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ จนสามารถก่อตั้งเป็นโบสถ์มวลชนขึ้นมาได้
หลังจากที่เกณฑ์ผู้เลื่อมใสศรัทธาได้จำนวนหนึ่ง คำสอนของโจนส์เริ่มเปลี่ยนไป เขาเสี้ยมสอนให้ผู้มีศรัทธาซ้อมฆ่าตัวตายหมู่ที่เรียกว่า ‘ไวท์ ไนท์ส’ (White Nights) เพื่อรอวันที่การฆ่าตัวตายจริง ๆ จะเกิดขึ้น โจนส์ให้เหตุผลที่สาวกต้องซ้อมตายเพราะทุกคนจะต้องไม่ถูกฆ่า แต่จะตายพร้อมกันด้วยน้ำมือของตัวเอง เพื่อให้วิญญาณของทุกคนรวมเป็นหนึ่ง และพากันไปใช้ชีวิตอย่างมีความสุขบนโลกใบอื่น
ความกระด้างกระเดื่องนี้เองเมื่อรวมกับข่าวฉาวเรื่องโบสถ์ของเขาที่เป็นแหล่งมั่วสุมยาและการร่วมเพศสุดวิปริต ได้ไปเตะตาสื่อและรัฐบาลจนโดนจับตามองอย่างใกล้ชิด จนในที่สุดเขาเริ่มรู้ตัวว่าลัทธิของเขาและสาวกจะอยู่ในประเทศนี้ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว เขาจึงนำเงินก้อนหนึ่งไปซื้อที่ดินในประเทศกายอานา ทวีปอเมริกาใต้ ก่อสร้างบ้าน ลานกว้าง พื้นที่เพาะปลูก โรงอาหาร และโซนปศุสัตว์ พร้อมกับตั้งชื่อเมืองนี้ว่า ‘โจนส์ทาวน์’
https://www.crimemuseum.org/crime-library/mass-murder/jonestown-massacre/
ความคล้ายคลึงกันระหว่างลัทธิโอโช และลัทธิโจนส์ดูเหมือนจะทับซ้อนอยู่บนถนนเส้นเดียวกันมาตลอด แต่ทางแยกสำคัญได้เริ่มต้นขึ้นเมื่อ มีการแตกเสียงออกเป็นสองฝั่งระหว่างกลุ่มผู้สนับสนุนโจนส์ และกลุ่มผู้อยากออกจากเมือง
เมื่อเมืองยูโทเปียที่สาวกฝันใฝ่ไม่ได้สวยหรูเหมือนคำสัญญาที่โจนส์เคยให้ไว้ แต่มันเป็นแค่ชุมชนที่มีไว้สนองอำนาจการปกครองของคนเพียงคนเดียว เป็น “พระบิดาแห่งโจนส์ทาวน์” สาวกบางส่วนจึงอยากกลับอเมริกา บ้านเกิดเมืองนอน
ความไม่ชอบมาพากลนี้ได้ส่งเสียงข้ามน้ำข้ามสมุทรไปถึงแผ่นดินแม่ จนในที่สุดมีสมาชิกวุฒิสภาคองเกรสและผู้ติดตาม บินเข้ามาตรวจดูเยี่ยมชมเมือง และในคืนวันสุดท้ายก่อนบินกลับอเมริกานี่เองที่เป็น “จุดเริ่มต้นของโศกนาฏกรรม”
โจนส์และสาวกหวั่นเกรงว่า การมาของสมาชิกวุฒิสภารายนี้จะเป็นการปลุกระดมความหวังให้กับสาวกบางส่วนที่อยากกลับบ้าน และนำเรื่องราวภายในของชุมชนนี้กลับไปเปิดเผยที่อเมริกา เพราะฉะนั้นเขาจะต้องรีบอุดรูรั่วนี้ก่อนจะสายเกินไปด้วยการ “ฆ่าปิดปากสมาชิกวุฒิสภาคนนั้น กับผู้ติดตามไม่ให้บินกลับไปได้”
แม้จะบุกสังหารได้สำเร็จ แต่สุดท้ายมีคนหนีขึ้นเครื่องบินรอดกลับไปได้อย่างหวุดหวิด โจนส์มั่นใจว่าคนที่เหลือจะนำเรื่องไปบอกรัฐบาล แล้วสุดท้ายเขาจะต้องถูกจับติดคุก ทุกอย่างที่สร้างมาต้องพังทลายลง
เมื่อเหตุผลมันช่างประจวบเหมาะเจาะเขาจึงเริ่มคิดถึง “แผนการที่เขาพร่ำสอนเหล่าสาวกมาตลอด” ดังนั้น สิ่งที่ชาวเมืองต้องทำคือ การทำให้ไวท์ ไนท์ส ที่ซักซ้อมกันมาตลอดเป็นจริงสักที
วันรุ่งขึ้นสิ้นเสียงเทศน์ครั้งสุดท้ายของโจนส์ ลานชุมชนเต็มไปด้วยเสียงกรีดร้องทุรนทุรายของเหล่าสาวกจากการดื่มเหล้าองุ่นที่ผสมไซยาไนด์หรือใช้เข็มฉีดยาฉีดเข้าเส้นเลือดโดยตรง หากไม่ยอมดื่มยาพิษ พวกเขาจะถูกยิงตายอยู่ดี
914 รายคือตัวเลขผู้เสียชีวิตในครั้งนี้จากผลพวงของการเดินรอยตามศรัทธาของชีวิต บางคนมาด้วยศรัทธาอย่างแท้จริง บางคนมาตามคำบอกเล่าที่สวยหรู บางคนไม่รู้อิโหน่อิเหน่แต่ติดสอยห้อยตามผู้ปกครองมา
แต่สำหรับเรื่องทำนองนี้ ขอเพียงแค่มีผู้ศรัทธาอย่างแรงกล้าและมัวเมาเพียงแค่ “คนเดียว” ก็สามารถทำเรื่องที่ขาดสติจนเกิดเป็นเหตุการณ์ร้าย ๆ ตามมาได้
มันจึงเป็นเรื่องน่าเศร้าสลดที่ในครั้งนี้มีผู้ศรัทธาในตัวจิม โจนส์และคำสอนของเขา “มากกว่าหนึ่งคน” จนนำไปสู่โศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์
https://theconversation.com/how-religion-rises-and-falls-in-modern-australia-74367
ดังที่มีปราชญ์เคยกล่าวเอาไว้ว่า “พลังอำนาจที่แท้จริงของความเชื่อและศาสนาไม่ได้อยู่ที่ศาสดาหรือผู้นำลัทธิ แต่อยู่ที่ผู้น้อมนำเอาไปใช้ สาวกจากรุ่นสู่รุ่นที่ผูกชะตาชีวิตตัวเองไว้กับเส้นทางพันธสัญญาแห่งศรัทธานี่แหละ คือผู้กำหนดทิศทางของทุกความเชื่อและศาสนา”
(แด่ผู้วายชนม์ด้วยศรัทธาที่ฝังเลือด)

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา