21 เม.ย. 2021 เวลา 13:57 • ปรัชญา
ในการสร้างบุญสร้างกุศลเนี่ย ชี้เรื่องราวของจิต เรื่องราวของการทำบุญ จิตเดินทางอย่างไร มันไปอย่างไร อะไรมันไปปรุงแต่งนะ ก็บอกพอเป็นที่สังเขปนะ
...จิตของเราจะสร้างปัญญาได้ ก็โดยทำให้จิตของเราให้มันนิ่ง พอนิ่งๆไม่ได้ ก็ต้องใช้กายนิ่งเสียก่อน ฝึกกายให้นิ่ง กายที่ฤาษีเค้าทำ เมื่อกายนิ่งดีแล้ว เราก็ขยับขยาย จิตจะรู้..ความเรื่องราวต่างๆของโลก ว่าทำไม ถึงต้องกิน กินแล้วทำไมต้องแก่เฒ่าชรา แล้วเจ็บป่วยตาย ปัญญาก็จะเกิดขึ้น... เมื่อจิตมีปัญญา เค้าจะคลี่คล้ายเรื่องราวต่างๆให้เข้าใจ ว่าสิ่งนั้นมาอยู่ที่อารมณ์ของเราหรือไม่ อารมณ์เกิดขึ้นทำให้ทุกข์หรือไม่..
สร้างบุญสร้างกุศลทุกครั้ง จนชำนิชำนาญ ในการสร้าง มิได้เป็นเช่นนั้น แต่ว่าการทำบุญด้วยจิตที่แน่วแน่ เกิดขึ้น ตั้งอกตั้งใจ กระทำขึ้นมา ก็เพื่อจะสร้างบุญสร้างกุศลให้กับตัวของเราเอง มิใช่ให้กับใคร เห็นว่าการกระทำ เช่นนี้ บ่อยครั้งๆ จนเห็นเป็นเนื้อนาบุญ ส่งไปถึงหูทิพย์ตาทิพย์ แม้แต่พระวิมุตติ ที่ล่องลอยอยู่ ยังไม่ไปไหน อยู่ที่กลางป่าบ้าง ภูเขาต่างๆ เข้ามาร่วมอนุโมทนา นั้นก็ แสดงถึง จิตผู้ที่มีความบริสุทธิ์ ในการทำบุญ
การกระทำทุกอย่าง เค้าก็มีการไถ่ถาม ความสงสัยว่า ทำไมโยม เคยเห็นหน้าตา อย่างนี้ บ่อยครั้ง ทำไม เค้าบ่อยครั้ง ก็เลยสงสัย ก็อธิบายให้ฟังว่า สิ่งที่ทำนั้น ก็จิตผู้ที่กระทำ ได้รู้จักคำว่าบุญ ที่แท้จริง ก็เลยอยากจะทำฝากไว้ ให้กับศาสนา แล้วก็เพื่อจะ หนุนนำให้จิตได้สร้างบารมี หนีกรรมนั้นเอง เมื่อหูทิพย์ตาทิพย์ เค้าก็มองเห็นเรื่องราวเหล่านี้ เค้าก็มาร่วมอนุโมทนากันเกิดขึ้น
กว่าจะได้ถึงตรงนี้ ได้ถึงจิตตรงนี้ ก็ใช้เวลานานพอสมควร เป็นสิบๆปี กว่าจะมาถึงตรงนี้ได้ ก็ยังดีที่รู้ว่า ..มาถึง ก็ขอให้ประคองจิตประคองกายประคองใจของเรา ให้เป็นเช่นนี้ตลอดไป เพื่อจะนำเนื้อนาบุญของเรา มาหนุนนำจิตของเราอีกทีหนึ่ง ไม่ได้ประสงค์มุ่งมั่น เรื่องว่า จะมีบุญ หรือ บารมี หรือ จะเป็นยังไง แต่ทำเพื่อศรัทธาต่อ..องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเพื่อเป็นเนื้อนาบุญที่เกิดขึ้น ที่จริงแล้วบุญอันนี้ หนุนนำให้จิตของเรา เหมือนกับเรานั่งอยู่นี่ เราได้ขยับกาย ลุกขึ้นมาทีละนิดๆ คือเค้าหนุนจิตขึ้นมาให้รับรู้เรื่องราวของดีและชั่วนั่นเอง
ต่อไปชาติหนึ่ง เราจะรู้จักคำว่า ..
...ดีก็ต้องเกิด.. ชั่วก็ต้องเกิด
...แต่ชั่วนั้น ทำให้ทุกข์อย่างหนัก
...ถ้าดีก็มีแต่ความสุขเพลิดเพลินไปเท่านั้นเอง หาเป็นสิ่งที่จะยุติในการเกิดไม่
...เมื่อจิตเราได้ศึกษาเรื่องราวเหล่านี้มากเข้า รู้จักบุญ รู้จักกรรม ก็จะปล่อยวางทั้งสองอย่างลงไป เหลือแต่..จิตของเรา เท่านั้น
จิตของเราจะสร้างปัญญาได้ ก็โดยทำให้จิตของเราให้มันนิ่ง พอนิ่งๆไม่ได้ ก็ต้องใช้กายนิ่งเสียก่อน ฝึกกายให้นิ่ง กายที่ฤาษีเค้าทำ เมื่อกายนิ่งดีแล้ว เราก็ขยับขยาย จิตจะรู้..ความเรื่องราวต่างๆของโลก ว่าทำไม ถึงต้องกิน กินแล้วทำไมต้องแก่เฒ่าชรา แล้วเจ็บป่วยตาย ปัญญาก็จะเกิดขึ้นเรื่องการกิน อะไรที่ทำให้มีความรู้สึกที่เกิดขึ้น เราก็ต้องมาสำรวจกันว่า อะไรที่ทำให้เกิดมีความรู้สึก
เช่น ตามองเห็นรูป หูได้ยินเสียง ตาเห็นรูปแล้ว เห็นเป็นอย่างไร ..ก็รูปนั้นรูปนี้
..แต่ไอ้ตอนที่ตามันไปปรุงแต่งสิ่งของนั้นๆเกิดขึ้น บางที่ก็ปรุงเสียดีงามเลย
..อย่างเช่น แก้วแหวนเงินทอง ก็อยากว่า..มันสวยอย่างโน่นอย่างนี้เกิดขึ้น อยากจะได้ ก็เกิดตัวโลภขึ้นมา จิตก็ต้องพิจารณา เรื่องการที่ว่า จิตไปอยู่ที่แก้วแหวนเงิน อารมณ์ก็ไปปรุงแต่งตรงนั้น มันถึงมีเรื่องราวต่างๆ ที่มีความโลภเกิดขึ้น ความอยากได้ความยึดเกิดขึ้น ไม่ใช่ว่าเรามองแล้ว กลับเอามาพิจารณาอยู่ที่เรือนกายเราไม่ใช่นะ ขอให้เข้าใจให้ถูกต้องนะ
..เมื่อตามองไปถึง จิตก็ไปอยู่ตรงนั้น เมื่อจิตตรงนั้นแล้ว อารมณ์มันจะปรุงแต่งจิต คล้อยไปตามเรื่องราวที่ อารมณ์จะปรุงแต่ง
คราวนี้ถ้าจิตมีปัญญา เราทำให้จิตมีปัญญา ..
..เมื่ออารมณ์สั่งจิต..ให้ตาไปมองแก้วแหวนเงินทอง จิตก็ต้องทำตาม ..
..เมื่อทำตาม จิตก็ต้องพิจารณา ย้อน..ดึงตาของเรากลับมา ก็จะหลับตา โดยที่ปิดสิ่งนั้น ..จิตก็พิจารณาเรื่องราวต่างๆ ที่เป็นแก้วแหวนเงินทอง คือ..สิ่งนั่นคืออะไร จำเป็นมั้ย ที่จะเอามายึดมาถือ เค้าต้องพิจารณาเกิดขึ้น
นั้นคือจิตที่มีปัญญา หูของเราก็เหมือนกัน ฟังเสียงโน่นเสียงนี้ เหตุผลต่างๆก็ดี เหมือนกับว่า เสียงที่ฟังปุ๊บ..ได้ยิน..วิญญาณหูของเราก็พุ่งไปอยู่ที่เสียง จิตของเราก็วิ่งไปตามเสียง ที่หูวิญญาณส่งเข้าไป เค้านี้..จิตก็ต้องดึง เรื่องเหตุผลนั้น เข้ามาอยู่ที่วิญญาณหู ก็นำมาบันทึก..มารับรู้..มาพิจารณา ว่าสิ่งนั้นคืออะไร เป็นสิ่งที่เรามีความโลภโกรธหลง หรือ ว่า ที่อารมณ์เคยทำอะไรไว้บ้าง ก็ไปตัดอารมณ์นั้นออกไป เช่น 080 ถ้าเอา 2 ไปตัด 080 โลกธรรม ที่เกิดขึ้น เกิดดับ เกิดดับ ก็จะรู้เหตุผลต่างๆ ที่เกิดขึ้น นั้นคือ เรื่องที่เราจะต้องพิจารณา ไม่ใช่ อยู่ๆจะเกิดเรื่องราวเหล่านี้ แล้วเราก็ คิดว่านั้น คือ เสียง นั้นคือ ภาพ ที่เราดู เมื่อจิตมีปัญญา เค้าจะคลี่คล้ายเรื่องราวต่างๆให้เข้าใจ ว่าสิ่งนั้นมาอยู่ที่อารมณ์ของเราหรือไม่ อารมณ์เกิดขึ้นทำให้ทุกข์หรือไม่ อ้อ..สิ่งนี้เราเคยทำ เคยรับรู้ เราควรเอาออกจากจิตเรามั้ย เราควรจะดึงออก เช่น ให้กรรมการ 001 สีแดง มาตัดสินทีเดียว ก็ทำไม่ได้ ต้องเอา 2 ไปตัด หรือ 02 ไปตัดเสียก่อน ค่อยๆทำ ค่อยๆไป ดีและชั่วเกิดขึ้น นั้นแหละ คือ จิตที่เริ่มมีปัญญาที่เกิดขึ้น
การที่จะ..เมื่อเรารู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร เราก็ค่อยๆ พิจารณาไปเรื่อยๆ เรื่องของอารมณ์ เรื่องของจิต เรื่องของการที่มีหูตาจมูกลิ้นกายใจ จิตต้องพิจารณาทั้งหมด ต้องคลี่คล้ายทั้งหมด แต่เรายังไม่มีปัญญา ไม่ต้องไปถึงขนาดนั้น เอาแค่นั่งให้เป็น เดินให้เป็น ปล่อยกรรมให้เป็น สร้างบุญให้เป็น ในชาติปัจจุบัน เพราะการทำแค่นี้ ก็ใช้เป็นเวลาหลายชาติหลายภพเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าชาติเดียวจะรู้เรื่องราวต่างๆ ต้องสะสมเป็นอเนกชาติ ถึงจะเป็นกอบเป็นกำ ถึงจะตัดสินเรื่องราวต่างๆลง ในที่สุดก็ล้างเรื่องราว ที่ติดอยู่กับ หูตาจมูกลิ้นกายใจ ให้เป็นแก้วได้
ถ้าเรายังขัดไม่หมด ไม่เป็นแก้ว ก็ต้องเกิดแก่เจ็บตายอยู่เช่นนี้ การพึงพาอาศัยซึ่งกันและกัน มันมีอยู่ตลอดเวลา บ้านใกล้เรือนเคียง เห็นอกเห็นใจ ซึ่งกันและกัน ครอบครัวก็สร้างความเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน ญาติพี่น้องพ่อแม่ พ่อแม่ก็เห็นอกเห็นใจลูก ลูกก็เห็นอกเห็นใจพ่อแม่ เพื่ออะไร ต่างคนต่างอาศัยก็กายมนุษย์เหมือนกัน พ่อแม่ก็เป็นมนุษย์ สามีภรรยาก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน แต่จิตไม่เหมือนกัน ต่างคนต่างสะสมมา บางคนก็สะสมมาดี บางคนก็สะสมมาในทางมีตัวบวกเข้าไป ไม่มีตัวลบ บวกกรรมเข้าไปๆ จิตก็ล่มสลาย แล้วต้องเกิดแก่เจ็บตาย อยู่ในทุกขเวทนาตลอดไป
กว่าจะได้พบสังขารที่เป็นบุญ กว่าจะได้สังขารที่เป็นบุญสักครั้ง เรียกว่าสังขารมนุษย์ ก็ยากเต็มทน จะเห็นว่าสัตว์ต่างๆ มีมากมายก่ายกอง นั้นก็จิตมนุษย์ไปเกิด ง่อยเปลี้ยเสียขาก็มาก หรือ คนวิกลจริตต่างๆก็มาก เราก็ดูเค้าเป็นตัวอย่าง ว่าคนพวกนี้ เค้ามาจากไหน เค้ามาเรื่องราวอะไร เค้ามาต้องการ..เกิดมาเพื่อต้องการ..ทรัพย์สิน..เงินทอง..ที่อยู่..ที่อาศัย ต้องการกิน ต้องการนอนเท่านั้น เค้าไม่ได้อะไรกลับไป. ได้มีแต่สร้างกรรมเกิดขึ้น
จะบอกเค้าทำในเรื่องราวเหล่านี้ เพราะการสะสมแต่ละชาติ มันยากเหลือเกิน
..ที่จะนำพาคำว่า..บุญที่แท้จริง
..บารมีหนีกรรม ที่จิตจะรู้จักคำว่า หนีกรรม ก็ยาก ก็จับอยู่อย่างงั้น ก็ดีใจที่ได้กระทำในสิ่งที่ตัวกระทำ คือ สร้างบุญขึ้นมา สร้างทานขึ้นมา เพื่อจะนำจิตให้มีปัญญาหนีกรรม นั่นเอง ไม่ได้ไปทางไหน ไม่ได้ให้ใคร แต่ทำทุกสิ่งทุกอย่าง ดินฟ้าอากาศบันทึกทั้งหมด คือ แม่ทั้งสี่ที่อยู่ในตัวตนแต่ละคน บันทึกเรื่องราวของตัวเอง ไม่ใช่ว่า อยู่ท่ามกลางอากาศ ลอยอยู่ตรงนั้นตรงนี้ นั้นแหละ สิ่งนั้น..เค้ากลับสู่จิตของเรา ที่จะใช้ต่อไป
คราวนี้ มาทำอย่างนี้ ก็เป็นเนี้อนาบุญ เป็นสีฟ้าเกิดขึ้น เป็นสีที่ดีที่งามเกิดขึ้น บางคนทำบุญได้สีดำสีม่วงไป ก็เพราะ จิตของเค้า กายของเค้า เค้าไม่ได้เอากายมนุษย์จิตมนุษย์มาทำ ก็ทะเยอทะยานอยู่เช่นนั้น เค้าก็ไม่ได้อะไร กลับได้กรรม กลับไป
เห็นว่าเป็นเรื่องบุญ เป็นเรื่องทาน เป็นเรื่องง่ายๆ เพราะว่า สิ่งของที่เรามีอยู่ ส่งให้เค้ามันง่ายดายอย่างงั้น สิ่งของที่จะส่งง่ายๆก็จริง แต่ ต้องเป็นสิ่งที่ส่งไป ส่งด้วยความเต็มใจ ส่งที่เรียกว่านอบน้อมถ่อมตน คนที่นอบน้อมถ่อมตน ให้แล้วเค้าไม่เอาคืน แต่คนที่ไม่นอบน้อมถ่อมตน สร้างแล้ว ก็เหมือนกับว่า..ใหญ่ ให้แล้วเหมือนกับเป็นผู้ยิ่งใหญ่ คนรับก็ตัวงอไป จิตก็งอไป จิตก็เล็กๆ ความทุกข์ของคนรับดีใจ ก็ดีใจ แต่ว่า มีความทิฐิเกิดขึ้น ให้กับผู้รับ เนี่ย..มันกลับไป กลับมา
ทิฐิอะไร..ทิฐิอยากได้ เค้าให้แคู่นี้นะ สมมุติ เค้าให้มาหนึ่งบาท ทิฐิหรือตัวโลภของผู้รับ ไม่พอจะใช้ ไม่พอจะจ่าย ทำไมไม่ให้เยอะๆ ไปตำหนิติเตียนผู้ให้ แล้วผู้ให้ถือว่า หนึ่งบาทนี้ ยิ่งใหญ่ที่สุดแล้ว ที่ให้ นั้นเห็นมั้ย มันก็เลยกลับไปทั้งผู้รับผู้ให้ มีโทษด้วยกันทั้งคู่ ก็รู้จะ..เอาบุญตรงไหนมา เอามีตัวกระทำที่ดีตรงไหน ไม่มี..มีแต่ตัวกระทำที่เป็นกรรม..จิตที่เป็นกรรม แล้วใครจะช่วยเรา เราทำไปด้วย ทำเนี่ยเกิดขึ้น อยากจะทำ แต่ทำไม่รู้จัก ก็เลยได้รับสิ่งที่เป็นภัยแก่จิตของตัวเอง ยิ่งทำมากเท่าไหร่ ยิ่งเพิ่มขึ้นๆ การอวดดี ถือดี ก็เกิดมากขึ้นๆ ถือว่าเป็นผู้ที่ให้กับผู้นั้นผู้นี้เกิดขึ้น เลยเป็น..เหมือนกับการประกาศ แล้วสิ่งที่ได้กลับไปแล้วก็คือกรรมใส่ตัวเอง ..
..กรรมตัวนี้แหละ ที่ทำให้ผู้นั้น อวดดี ถือดีเกิดขึ้น ไปบอกคนโน่นคนนี้ เห็นตัวเองดีแล้ว ว่าการทำบุญสร้างกุศลเป็นเลิศ ไม่มีใครที่จะเทียบเท่าได้ ทำให้จิตดวงนั้นตกต่ำลงๆ ในที่สุดเค้าก็สร้างแต่กรรม เป็นคนที่มักมาก อยากได้ อยากเอาเปรียบคนโน่นคนนี้ อยากได้สิ่งนั้นสิ่งนี้ ทั่วไปหมด
ถ้าไม่ลองไปสังเกตดู คนทำบุญเช่นนั้น ที่ทำชาติที่เห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ แต่จะทำอะไร ต้องประกาศโครมครามขึ้นมา เพื่อจะหนุนนำเอาสิ่งที่ตัวเองอยากได้ มาไว้ที่ตัวของตัวเอง แล้วสิ่งที่ได้มาคือกรรม ที่มีความทุกข์ หนุนนำเข้าไปทุกวันๆ หมกเข้าไปทุกวันๆ แล้วในที่สุด..จิตดวงนั้นก็..ยุติ ..ในการทำอะไรทุกสิ่งทุกอย่าง เห็นแก่ได้ ทะเยอทะยาน เอาสิ่งที่ใครจะลำบากลำบน ไม่มีการเห็นอกเห็นใจ ยิ่งมีความว่า ทำได้แล้ว เค้าจะลำบากก็คงเป็นความชอบอกชอบใจของตัวเอง ..
...นั้นคือ จิตมันหยาบลงๆ ต่ำลงไปๆ ถึงกับอยู่ในนรกเป็นโกฏเป็นกัลป์ เป็นหมื่นปีแสนปีเกิดขึ้น เพราะไอ้ความอยากได้ ในสิ่งที่เกิดความโลภของตัวเอง ความหลงที่เกิดขึ้นแก่จิตของตัวเอง เพราะการทำบุญไม่รู้จักทานไม่รู้จักบุญ ทำเพื่อต้องการสิ่งนั้นสิ่งนี้เกิดขึ้น แล้วมันก็เกิดตัวหลงตัวยึดเกิดขึ้น ตัวทิฐิมันก็เกิดขึ้น มากมายก่ายกอง ที่ใส่ลงไปที่จิตของตัวเอง แล้วก็ไปในที่สุด เค้าก็ต้องตก..ระกำลำบาก แต่ก็มองดูแล้ว เค้ายังไม่เป็นไรนะ เค้ายังร่ำรวยศรีสุข แต่ในที่สุดบุญเก่ามันหมด บุญใหม่ไม่มี ที่ไปสะสมมานั้น มันมีแต่กรรม
คราวนี้เจ้ากรรมนายเวร ก็มาแล้ว มาทักท้วง ร่างกายพิการเกิดขึ้น สติฟั่นเฟือนเกิดขึ้น มีหลายอย่างๆ ที่จะทำให้คนนั้นทุกข์ทรมาน แต่เค้าก็ไม่รู้ เหมือนกับคนที่ไปทวงหนี้..ไม่ได้ซักที เจ้าหนี้ก็โมโห เค้าก็ทำร้ายเอา เหมือนกัน
นี่แหละ..ที่มาที่ไป จึงให้ญาติโยมแสดงตน ให้เกิดขึ้น การทำบุญ ต้องทำอย่างนี้ จิตใจอย่างนี้ วาจาอย่างนี้ เรียกว่า หูตาจมูกลิ้นกายใจเป็นบุญทั้งหมด แล้วก็จะเป็นบารมี..หนีกรรม หูตาจมูกลิ้นกายใจ แม่ทั้งสี่ ก็คายออกมา เพื่อจะหนีกรรม นั้นแหละ คือ เรื่องของบุญ เรื่องของบารมี ที่ต่อเนื่องกันไป ให้จำเรื่องราวเหล่านี้ ไว้ให้ดี
วันนี้ ..ถือว่าไม่น่าเกิดก็เกิด มีพระวิมุตติมาหลายองค์ ทีผ่านมา หรือ เค้ามองเห็นเรื่องราวต่างๆ ก็มาร่วม มาอนุโมทนาที่มี..ต่อสิ่งที่ญาติโยมทำในเรื่องที่ถูกต้อง เห็นมั้ยว่า ไม่ใช่ว่าเราทำแล้ว เพื่อจะอวดตัวเองทำตัวเอง แต่หูทิพย์ตาทิพย์ แล้วพระที่เค้าอยากจะหลุดพ้น แต่มันไปไม่ได้ ตกตัวหลง ก็ยังมีสิ่งที่เค้าจะแก้ไขได้ ก็นำสิ่งที่โยมทำเนี่ย ไปดำเนินต่อไป ไม่ใช่ว่าพระวิมุตติเนี่ย เค้าจะรู้ทั้งหมด เรียกว่า มีแต่จิตนั้นนะ ไม่มีนามธรรม ที่มองเห็นได้ แม้แต่สิ่งที่ไม่น่าปรากฎขึ้นมาในเรื่องราวต่างๆ ก็ได้ประกาศให้รับรู้ไปแล้ว สิ่งที่โยมมาวันนี้ เพื่อต้องการชำระสะสาง กับเจ้าเวรนายกรรม ที่มาทักท้วง โดยใช้ผ้าไตรจีวร และวัตถุธาตุต่างๆ ที่รวมกันมา ก็ให้เนื้อนาบุญอันนี้ส่งให้เจ้าเวรนายกรรม ขอให้เจ้าเวรนายกรรม ตัดกรรมของผู้กระทำ สาธุ สาธุ สาธุ
ในการสร้างบุญสร้างกุศลเนี่ย ชี้เรื่องราวของจิต เรื่องราวของการทำบุญ จิตเดินทางอย่างไร มันไปอย่างไร อะไรมันไปปรุงแต่งนะ ก็บอกพอเป็นที่สังเขปนะ เช่นเราไปมองต้นไม้ จิตของเราไปอยู่ต้นไม้ ถ้าอารมณ์มันปรุงแต่งดี เราก็จะเห็นเป็นปัจจัตตัวเกิดขึ้น ในสิ่งที่เกิดแก่เจ็บตายได้ ถ้าอารมณ์มันปรุงแต่วไปยึดว่าต้นไม้นี้มันสวยงาม ก็ไปหลงใหลในต้นไม้นั้น เพราะจิตอยู่ตรงนั้น ไปปรุงแต่ง ถ้าดึงจิตกลับมา กว่าจะกลับมาได้ ตาที่เรามองเพ่งไปนั้นนะ จิตมันไปอยู่ตรงนั้น ก็บอกคร่าวๆอย่างนี้ แล้วก็ไปฝึกกันเอง สาธุ สาธุ สาธุ
หมายเหตุ พระวิมุตติ หมายถึงพระที่ท่านไปปฏิบัติธรรม อยู่ในป่า แต่จิตละสังขารเสียก่อน ยังรอการเกิดเพื่อมาสร้างบารมีต่อ
ทำความเข้าใจ คำว่า จิต
โฆษณา