22 เม.ย. 2021 เวลา 12:21 • สุขภาพ
ไตวาย...อันตรายไม่วาย
8
ภาวะไตวาย (บางทีเรียกไตล้ม ไตไม่ทำงาน) คือ ภาวะที่เนื้อไตทั้ง 2 ข้างถูกทำลายจนทำงานไม่ได้หรือได้น้อย กว่าปกติ ทำให้น้ำและของเสียไม่ถูกขับออกมา จึงเกิดการคั่งจนเป็นพิษต่อร่างกาย นอกจากนี้ยัง ทำให้เกิดผลกระทบต่อดุลของ อิเล็กโทรไลต์ และความเป็นกรดด่างในเลือด รวมทั้งเกิดภาวะพร่องฮอร์โมน บางชนิดที่ไตสร้าง การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้นำไปสู่อาการผิดปกติของอวัยวะแทบทุกส่วนของร่างกาย
12
ภาวะไตวาย สามารถแบ่งเป็น ไตวายเฉียบพลัน (มีอาการเกิดขึ้นฉับพลัน และเป็นอยู่นานเป็นวันและ เป็นสัปดาห์) กับไตวายเรื้อรัง (ค่อยๆ เกิดขึ้นทีละน้อยนานเป็นแรมเดือน แรมปี)
4
โรคนี้จัดเป็นภาวะที่มีอันตรายร้ายแรง พบได้บ่อยในผู้ใหญ่โดยเฉพาะอย่างยิ่งไตวายเรื้อรัง จะพบได้บ่อย ขึ้นในคนที่มีอายุมากขึ้นเนื่องจากจะมีโอกาสเจ็บป่วย ด้วยโรคต่าง ๆ (เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคไต โรคติดเชื้อ เป็นต้น) ที่มีภาวะแทรกซ้อนต่อไต หรือมีการใช้ยาที่มีพิษต่อไตมากขึ้น
สาเหตุ ภาวะไตวาย
ไตวายเฉียบพลัน (acute renal failure)  อาจมีสาเหตุมาจากโรคไตโดยตรงหรือภาวะผิดปกติที่อยู่นอกไต ซึ่งส่งผลกระทบต่อการทำงานของไตก็ได้  เช่น
2
ภาวะช็อกจากปริมาตรของเลือดลดลง  ทำให้เลือดไปเลี้ยงไตน้อยลง เช่น การตกเลือด การสูญเสียน้ำ ตับอ่อนอักเสบเฉียบพลัน เป็นต้น
4
โรคหัวใจและหลอดเลือดที่มีผลทำให้เลือดไปเลี้ยงไตน้อยลง เช่น โรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย  ภาวะหัวใจวาย ความดันโลหิตสูงรุนแรง
3
การติดเชื้อรุนแรง เช่น มาลาเรีย เล็ปโตสไปโรซิส ภาวะโลหิตเป็นพิษ โรคไต เช่น หน่วยไตอักเสบเฉียบพลัน
ความผิดปกติของหลอดเลือดในไต เช่น หลอดเลือดแดงไตตีบ (renal artery stenosis) ภาวะมีสิ่งหลุดอุดตันใน (renal embolism)
1
การอุดกั้นของทางเดินปัสสาวะ เช่น นิ่วในทางเดินปัสสาวะ ท่อไตถูกผูกโดยความเผอเรอจากการผ่าตัดในช่องท้อง ต่อมลูกหมากโต  ท่อปัสสาวะตีบ เนื้องอกกระเพาะปัสสาวะ มะเร็งปากมดลูก เป็นต้น
4
งูพิษกัด เช่น งูแมวเซาหรืองูทะเลกัด
ต่อต่อย ผึ้งต่อย
5
ผลข้างเคียงจากยาหรือสารเคมี เช่น ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สตีรอยด์ ยาต้านเอช ซัลฟาคาน่าไมซิน เจนตาไมซิน อะมิคาซิน ไซโคลสปอรีนแอมโฟเทอริซินบี สารไอโอดีนที่ใช้ฉีดในการตรวจ เอกซเรย์พิเศษ เป็นต้น
ภาวะแทรกซ้อนจากการตั้งครรภ์ เช่น ครรภ์เป็นพิษรกลอกตัวก่อนกำหนด
อื่น ๆ เช่น ภาวะเม็ดเลือดแดงแตก ตับวาย
ไตวายเรื้อรัง (chronic renal failure) ส่วนใหญ่ มักเกิดจากภาวะแทรกซ้อนของเบาหวาน และ ความดันโลหิตสูงที่ขาดการรักษาอย่างจริงจัง
6
อาจเกิดจากโรคไตเรื้อรัง เช่น หน่วยไตอักเสบ กรวยไตอักเสบเรื้อรัง โรคไตเนโฟรติก นิ่วไต โรคถุงน้ำไตชนิดหลายถุง
1
นอกจากนี้ ยังอาจเกิดจากโรคเกาต์  เอสแอลอี ภาวะยูริกในเลือดสูง ภาวะแคลเซียมในเลือดสูง โรคเอดส์ พิษจากยา (เช่น ยาแก้ปวดลดไข้เฟนาซิติน ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สตีรอยด์ ลิเทียม ไซโคลสปอรีน ยาต้านมะเร็ง เป็นต้น) พิษจากสารตะกั่วหรือแคดเมียม เป็นต้น
อาการ ภาวะไตวาย
ไตวายเฉียบพลัน อาการเด่นชัด คือ มีปัสสาวะออกน้อยกว่า 400 มล.ใน 24 ชั่วโมง หรือไม่มีปัสสาวะออกเลย (ไม่มีอาการปวดปัสสาวะ และส่วนปัสสาวะ ก็ไม่มีปัสสาวะออกมากกว่านี้) ต่อมาไม่นานผู้ป่วยจะมีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน ถ้าปล่อยทิ้งไว้ไม่รักษา ในที่สุดผู้ป่วยจะมีอาการซึม สับสน ชักและหมดสติ
ผู้ป่วยอาจมีประวัติการใช้ยาหรือมีอาการเจ็บป่วยนำมาก่อน เช่น ไข้ ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคไต โรคตับ งูกัด ต่อต่อย ตกเลือด  ภาวะช็อกจากสาเหตุต่าง ๆ เป็นต้น
ไตวายเรื้อรัง อาการขึ้นกับความรุนแรงของโรคโดยในระยะแรกอาจไม่มีอาการให้สังเกตได้ชัดเจน และ มักจะตรวจพบจากการตรวจเลือด (พบว่ามีระดับครีอะตินีนและบียูเอ็นสูง)ในขณะตรวจเช็กสุขภาพหรือมาพบแพทย์ด้วยโรคอื่น
6
ผู้ป่วยจะมีอาการชัดเจนเมื่อเนื้อไตทั้ง 2 ข้างถูกทำลายจนทำหน้าที่ได้น้อยกว่าร้อยละ 5 ของไตปกติ โดยจะสังเกตว่ามี ปัสสาวะออกมาก และปัสสาวะบ่อยตอนกลางคืน ผู้ป่วยจะมีอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย เบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน ท้องเดินบ่อย นอนไม่หลับ ปวดศีรษะ ขาดสมาธิตามัวผิวหนังแห้งและมีสีคล้ำ คันตามผิวหนังชาตามปลายมือปลายเท้า
1
บางรายอาจมีอาการหอบเหนื่อย สะอึก เป็นตะคริว ใจหวิว ใจสั่น เจ็บหน้าอก บวม หรือมีเลือดออกตาม ผิวหนังเป็นจุดแดงจ้ำเขียว หรืออาเจียน เป็นเลือด ถ่ายเป็นเลือด
3
เมื่อเป็นถึงขั้นสุดท้าย ผู้ป่วยจะมีอาการซึม ชัก หมดสติ
การป้องกัน ภาวะไตวาย
ผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง ควรติดต่อกับแพทย์อย่าได้ขาด ควรกินยาและปฏิบัติตัว รวมทั้งการควบคุมอาหาร ตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด   จะช่วยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี และมีอายุยืนยาวต่อไปอีกนาน
ผู้ป่วยไม่ควรปรับขนาดยาเอง หรือซื้อยากิน เอง เพราะยาบางชนิดอาจมีพิษต่อไต หรืออาจต้อง ปรับลดขนาดยา ลงจากที่ใช้ในคนปกติ รวมทั้งไม่ควรกินยาหม้อหรือยาต้มที่ประกอบด้วยสมุนไพรชนิดต่าง ๆ เพราะอาจทำให้ระดับโพแทสเซียม ในเลือดสูงการใช้ยาเองอย่างผิด ๆ  อาจทำให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได
ไตวายเป็นภาวะที่มีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงต่อร่างกาย ถ้าเป็นเรื้อรังมักจะมีความยุ่งยากและสิ้นเปลืองในการรักษา ดังนั้น จึงควรหาทางป้องกันมิให้เป็นโรคนี้โดยเฉพาะอย่างยิ่ง  ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานหรือความดันโลหิตสูง ควรรักษาตัวอย่างจิงจังจนสามารถควบคุม
1
การปลูกถ่ายไตเป็นวิธีรักษาภาวะไตวายเรื้อรังระยะท้ายที่ดีที่สุดในปัจจุบัน จึงควรรณรงค์ให้ผู้คนทั่วไปหันมาบริจาคไตกันให้มากขึ้นจะได้มีไตบริจาคช่วยเหลือ ให้ผู้ป่วยพ้นจากความทุกข์ทรมานและมีคุณภาพชีวิตที่ดีเช่นคนปกติ
ตรวจเช็กดูว่า เป็นความดันโลหิตสูง  เบาหวาน และโรคเกาต์ หรือไม่ ถ้าเป็นต้องรักษาอย่างจริงจังและต่อเนื่องจนสามารถควบคุมระดับความดันโลหิต ระดับน้ำตาลและยูริกในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
4
เมื่อเป็นโรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ (เช่น กระเพาะปัสสาวะอักเสบ กรวยไตอักเสบ) หรือมีภาวะอุดกั้น ทางเดินปัสสาวะ (เช่น นิ่ว  ต่อมลูกหมากโต)  จะต้องทำการรักษาให้หายขาด
2
เมื่อป่วยเป็นโรคติดเชื้อ งูกัด หรือท้องเดิน ต้องรักษา อย่าปล่อยจนเกิดภาวะช็อก ซึ่งมีผลทำให้ไตวายตามมาได้
หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่อาจมีพิษต่อไต และระมัดระวังการใช้ยาในผู้ป่วยที่มีเลือดไปเลี้ยงไตไม่ดี (เช่น ตับแข็ง หัวใจวาย หลอดเลือดแดงไตตีบ ภาวะช็อก จากปริมาตรของเลือดลดลง)
2
การรักษา ภาวะไตวาย
2
1.หากสงสัยเป็นไตวายเฉียบพลัน ควรส่งโรงพยาบาลโดยเร็ว ผู้ป่วยจะต้องพักรักษาตัวในโรงพยาบาล
1
มักจะวินิจฉัยโดยการตรวจเลือด (พบระดับบียูเอ็นและครีอะตินีสูงกว่าปกติ ยิ่งสูงมากก็แสดงว่าโรคยิ่งรุนแรง ระดับโพแทสเซียมฟอสเฟต และแมกนีเซียมสูง ระดับแคลเซียมต่ำ เลือดมีภาวะเป็นกรดระดับ เฮโมโกลบินต่ำ) ตรวจปัสสาวะ (พบสารไข่ขาว น้ำตาลเม็ดเลือดแดง 
เม็ดเลือดขาว) เอกซเรย์ อัลตราซาวนด์ และตรวจพิเศษอื่น ๆ ถ้าจำเป็น
2
การรักษา ให้การรักษาโรคหรือภาวะที่เป็น สาเหตุ และแก้ไขภาวะผิดปกติต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น เช่น จำกัดปริมาณของน้ำ โซเดียม  โพแทสเซียม แมกนีเซียม และโปรตีน ฉีดยาขับปัสสาวะ-ฟูโรซีไมด์ ให้โซเดียมไบคาร์บอเนต แก้ภาวะเลือดเป็นกรดให้เลือดในรายที่ตกเลือด เป็นต้น
2
ถ้าจำเป็นอาจต้องทำการฟอกล้างของเสีย หรือ ล้างไต (dialysis)
ผลการรักษาขึ้นกับสาเหตุที่พบ ถ้าเกิดจากการอุดกั้นของทางเดินปัสสาวะ ภาวะช็อกจากบริมาตรของเลือดลดลงโรคติดเชื้อ พิษจากยาบางชนิด ก็อาจมีทางรักษาให้หายขาดได้อย่างไรก็ตาม ภาวะไตวายเฉียบพลันมักเกิดขึ้นรวดเร็ว และมีภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง จึงมีโอกาสเป็นอันตรายถึงตายได้ค่อนข้างสูง
2. หากสงสัยเป็นไตวายเรื้อรัง ควรส่งโรงพยาบาลเพื่อทำการตรวจเลือดตรวจปัสสาวะ เอกซเรย์อัลตราซาวนด์ หรือตรวจพิเศษอื่น ๆ  บางรายอาจต้องทำการเจาะเนื้อไตออกพิสูจน์ (renal biopsy)
3
ผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง นอกจากจะตรวจพบระดับ บียูเอ็นและครีอะตินีนในเลือดสูง รวมทั้งการเปลี่ยน แปลงของระดับเกลือแร่ในเลือดแบบเดียวกับที่พบในภาวะไตวายเฉียบพลันแล้ว ยังตรวจพบจากเอกซเรย์ หรืออัลตราซาวนด์ว่าไตทั้ง 2 ข้างฝ่อตัว (ขนาดน้อยกว่า 10 ซม.)
3
การรักษา ถ้ามีสาเหตุชัดเจนก็ให้รักษาโรคที่ เป็นสาเหตุ (เช่น ให้ยาควบคุมโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคเกาต์ ผ่าตัดนิ่วในไต  เป็นต้น)
นอกจากนี้ ยังต้องรักษาภาวะผิดปกติต่าง ๆ ที่เป็นผลมากจากไตวาย เช่น
จำกัดปริมาณโปรตีนที่กินไม่เกินวันละ 40 กรัม (ไข่ไก่ 1 ฟอง  มีโปรตีน 6-8 กรัม นมสด 14 ถ้วย มีโปรตีน 8 กรัม  เนื้อสัตว์ 1  ขัด มีโปรตีน 23 กรัม)
1
จำกัดปริมาณน้ำที่ดื่ม โดยคำนวณจากปริมาณปัสสาวะต่อวันบวกกับน้ำที่เสียไปทางอื่น (ประมาณ 800 ม./วัน) เช่น ถ้าผู้ป่วยมีปัสสาวะ 600 มล/วัน น้ำที่ควรได้รับเท่ากับ 600 มล. + 800 มล.(รวมเป็น 1,400 มล./วัน) เป็นต้น
จำกัดปริมาณโซเดียมที่กิน ถ้ามีอาการบวมหรือมีปัสสาวะน้อยกว่า 800 มล./วัน ควรงดอาหารเค็มงดใช้เครื่องปรุง (เช่น น้ำปลาซีอิ๊ว ซอสทุกชนิด) ผลงชูรส สารกันบูด อาหารที่ใส่ผงฟู อาหารกระป๋อง น้ำพริก กะปิ ปลาร้า ของดอง หนำเลี้ยบ
2
จำกัดปริมาณโพแทสเซียมที่กิน ถ้ามีปัสสาวะน้อยกว่า 800 มล./วัน ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีเกลือโพแทสเซียมสูง เช่นผลไม้แห้ง ส้ม มะละกอ มะขาม มะเขือเทศ น้ำมะพร้าว ถั่ว สะตอ มันทอด หอย เครื่องในสัตว์ เป็นต้น
หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่ทำให้โพแทสเซียมใน เลือดสูง เช่น อะมิโลไรด์ (amiloride)ไตรแอมเทอรีน (triamterene) สไปโรโนแล็กโทน (spironolactone) ยาต้านเอช ยาที่เข้าสารโพแทสเซียม เป็นต้น
จำกัดปริมาณแมกนีเซียมที่กิน ด้วยการงดยาลดกรดที่มีเกลือแมกนีเซียมไฮดรอกไซด์ ถ้ามีระดับฟอสเฟตในเลือดสูง หรือภาวะเลือดเป็นกรด ให้กินยาเม็ดแคลเซียมคาร์บอเนต (650 มก.) ครั้งละ 1 เม็ด วันละ 3 ครั้ง
ถ้าบวม ให้ยาขับปัสสาวะ –ฟูโรซีมด์
ถ้ามีความดันโลหิตสูง ภาวะหัวใจวาย ก็ให้ยารักษาภาวะเหล่านี้
ถ้าซีด อาจต้องให้เลือด บางรายแพทย์อาจสั่งให้ฉีดฮอร์โมนอีริโทรพอยเอทิน (erythropoietin) เพื่อกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดง (ยานี้มีราคาแพง และอาจทำให้ความดันโลหิตสูง)
สำหรับผู้ป่วยที่ไตวายเรื้อรังระยะท้าย (มักมีระดับครีอะตินีนและบียูเอ็นในเลือดสูงเกิน 10 และ 100 มก./ดล. ตามลำดับ) การรักษาทางยาจะไม่ได้ผล จำเป็นต้องการฟอกล้างของเสีย หรือล้างไต (dialysis) ซึ่ง มีอยู่หลายวิธี ได้แก่
1. การล้างไตผ่านทางช่องท้องอย่างต่อเนื่อง (continuous ambulatory peritoneal dialysis/CAPD) วิธีนี้แพทย์ สามารถฝึกให้ผู้ป่วยทำเองที่บ้านได้ นับว่าสะดวก แต่ต้องทำการเปลี่ยนถุงน้ำยาวันละ 4 ครั้ง ทุก ๆ วันตลอดไป และแพทย์จะนัดมาเปลี่ยนสานน้ำยาที่ใช้ฟอกล้างของเสียทุก 1 เดือน ผู้ป่วยสามารถทำงานและปฏิบัติภารกิจได้เหมือนคนปกติ
2. การล้างไตโดยการฟอกเลือด (hemodialysis) นิยมเรียกว่า การล้างไตด้วยเครื่องไตเทียม หรือ การทำไตเทียม ผู้ป่วยต้องไปทำที่โรงพยาบาลสัปดาห์ละ 2 ครั้ง
การทำการล้างไตทั้ง 2 วิธี จะช่วยให้ผู้ป่วย มีคุณภาพชีวิตที่ดี (สามารถทำงาน ออกกำลังกาย และ มีเพศสัมพันธ์ ได้เช่นคนปกติ) มีชีวิตยืนยาวขึ้น บาง รายอาจอยู่ได้นานเกิน10 ปีขึ้นไป แต่ค่าใช้จ่ายค่อนข้างแพง
2
ผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะท้ายบางราย แพทย์ อาจพิจารณาทำการผ่าตัดปลูกถ่ายไตหรือเปลี่ยนไต (renal transplantation) ซึ่งนับว่าเป็นวิธีรักษาที่ได้ผลดีที่สุดในปัจจุบัน  สามารถช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีเหมือนคนปกติ  และมีอายุยืนยาว (อายุการทำงานของไตใหม่ ร้อยละ 18-55 อยู่ได้นาน10 ปี) แต่การปลูกถ่ายไตเป็นวิธีรักษาที่ยุ่งยาก ราคาแพงและจะต้องหาไตจากญาติสายตรงหรือผู้บริจาคที่มีไตเข้ากับเนื้อเยื่อของผู้ป่วย ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย ผู้ป่วยอาจต้องทำการล้างไตไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะหาไตที่เข้ากันได้ นอกจากนั้นภายหลังการปลูกถ่ายไต ผู้ป่วยต้องกินยากดภูมิคุ้มกัน (เช่น สตีรอยด์ ไซโคลสปอริน อะชาไทโอพรีน) ทุกวันตลอดไป เพื่อป้องกันมิให้ร่างกายมีปฏิกิริยาต่อต้านไตใหม่
1
ที่มา
โฆษณา