26 เม.ย. 2021 เวลา 04:43 • ปรัชญา
หากแพทย์มีเครื่องมือทางการแพทย์เอาไว้รักษากาย
นักจิตวิทยาการปรึกษาก็มีเครื่องมือทางจิตวิทยาเอารักษาใจ
.
หนึ่งในเครื่องมือที่นักจิตวิทยาการปรึกษาจำเป็นต้องมีมากๆ ก็คือ Empathy
ซึ่งในภาษาก็มีการแปลแตกต่างกันไป เช่น ความเข้าอกเข้าใจ ความเห็นใจ ฯลฯ เพื่อความไม่สับสนในความหมาย โพสต์นี้จะขอใช้คำว่า Empathy ไปยาว ๆ เลยนะคะ
.
ก่อนที่จะไปคุยเรื่อง Empathy อยากจะชวนคุยถึงเรื่องราวเชิงประสบการณ์ในชีวิตประจำวันเพื่อให้นึกภาพตามกันถูกนะคะ ซึ่งในชีวิตประจำวันเราเองก็เคยเจอเรื่องราวที่เกิดขึ้นจากความเข้าใจผ่านประสบการณ์ของตัวเองแค่มุมเดียว เช่น
คุณเอกับคุณบีนัดกัน คุณเอเป็นคนแถบภาคกลางตอนบน คุณบีเป็นคนภาคเหนือ คุณเอบอกคุณบีว่า "พรุ่งนี้เจอกันสองโมงนะ" วันรุ่งขึ้น คุณเอไปรอคุณบีในเวลา 8.00 น. รออยู่นานคุณบีก็ไม่มาซักทีจนคุณเอโมโหมากๆ จึงโทรศัพท์ไปต่อคุณบี ส่วนคุณบีก็งงมากเพราะคุณบีเข้าใจว่านัด 14.00 น.
หรือคนไทยไม่เข้าใจว่าทำไมฝรั่งถึงชอบนอนตากแดด ส่วนฝรั่งไม่เข้าใจว่าทำไมคนไทยถึงชอบใช้ไวท์เทนนิ่ง
ตัวอย่างเหล่านี้ล้วนเป็นผลมาจาก ความแตกต่างของแต่ละคนซึ่งมีประสบการณ์ มุมมอง ความคิด ความเชื่อ การเรียนรู้สะสม สภาพแวดล้อมทางสังคมวัฒนธรรม ที่แตกต่างกันบางครั้ง ชุดความรู้ที่แต่ละคนมีนั้น แตกต่างกันราวกับเป็นโลกคู่ขนานกันเลยทีเดียว
.
หากคนที่มีความแตกต่างกัน ไม่เข้าใจกัน และไม่อยากเข้าใจกัน
ความขัดแย้งขั้นรุนแรงมักจะเกิดขึ้น โดยเฉพาะความขัดแย้งที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งที่บุคคลให้คุณค่า (value) เช่น ศาสนา เชื้อชาติ ฯลฯ หลายครั้งในหน้าประวัติศาสตร์จึงเห็นช่วงเวลาที่มีสงคราม การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ การทำร้ายร่างกายจิตใจกันเกิดขึ้น การรังเกียจเดียดฉันท์ การเหยียดสีผิว
.
ซึ่งในการที่จะเป็นนักจิตวิทยาการปรึกษา นักให้คำปรึกษา หรือผู้ให้บริการช่วยเหลือทางด้านจิตใจ สิ่งที่สำคัญมากคือ ทุกคนจะต้องได้รับการฝึกฝนให้มี Empathy
.
โดยในมุมมองของเราเมื่อพูดถึง Empathy เรามักจะนึกถึง "นักสำรวจ"
นักสำรวจจะไม่สามารถเดาเอาเองจากประสบการณ์ของตัวเองได้ว่า เกาะที่เห็นอยู่ไกล ๆ ตรงนั้นมีภูมิประเทศยังไง มีอะไรอาศัยอยู่บ้าง และถ้ามองจากมุมที่เราอยู่บนเกาะนั้นจะเห็นวิวทิวทัศน์เป็นยังไง เพื่อให้สามารถมองเหมือนกับเราเป็นคนที่อยู่บนเกาะ
ต่างจาก Sympathy ซึ่งจะเหมือนกับนักสำรวจที่ใช้ประสบการณ์ของตนเองมองเกาะ แล้วก็มโนเอาว่าคนที่เกาะน่าจะอยู่กันแบบนั้นแบบนี้ น่าจะมีสัตว์ชนิดนั้นชนิดนี้เหมือนกันกับที่ที่เราอาศัยอยู่
.
ทำไม Empathy จึงสำคัญมาก ๆ
เพราะถ้าเราไม่มี Empathy เวลาให้คำปรึกษาก็อาจจะใช้ประสบการณ์ตัวเองบอกคนอื่นไปเลย เช่น ผู้มาปรึกษาทะเลาะกับแฟนบ่อยครั้งมาก แล้วเราก็บอกเค้าว่า "โอ๊ย..คนแบบนี้ถ้าเป็นฉันฉันเลิกแน่ ๆ คุณเองก็ควรจะเลิกกับคนแบบนี้ไปซะ" ฯลฯ
เพราะการไม่มี Empathy จะทำให้เกิดความขัดแย้งได้ง่าย อย่างเช่น เราอาจจะเป็นคนที่ขี้ร้อน แล้ววันนึงเพื่อนเราใส่เสื้อกันหนาวมาในวันที่อากาศร้อน แล้วเราก็บอกเพื่อนไปว่า "ถอดเถอะ เห็นแล้วร้อนอ่ะ" ส่วนเพื่อนก็จะรู้วึกว่า "ก็ฉันอยากใส่ มันเรื่องของฉันป่ะ" สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ถ้าไม่มีการถกเถียงกัน ก็จะมีความรู้สึกขัดแย้งสะสมกันไป
.
ดังนั้น ในยุคที่ความขัดแย้งมันเกิดขึ้นได้ง่ายอย่างนี้ สิ่งที่เราทุกคนน่าจะฝึกฝนกันเอาไว้ก็คือ Empathy เพื่อให้ความขัดแย้งลดลง ด้วยความที่เราอยากเข้าใจคนอื่นเพิ่มขึ้น นอกจากนั้น หนึ่งในอุปนิสัยของผู้ที่ประสบความสำเร็นสูงก็คือ เข้าใจคนอื่นก่อน (Seek First to Understand, Then to be Understood)
มาฝึกไปด้วยกันนะคะ เพื่อสร้างสังคมที่น่าอยู่ ไม่เป็น toxic ต่อกัน
โฆษณา