2 พ.ค. 2021 เวลา 03:00 • ประวัติศาสตร์
“เอลวิส เพรสลีย์ (Elvis Presley)” ราชาเพลงร็อคแอนด์โรลล์
“เอลวิส เพรสลีย์ (Elvis Presley)” คือนักร้องระดับตำนาน ผู้ได้รับการยกย่องให้เป็น “ราชาเพลงร็อคแอนด์โรลล์”
2
แม้จะเสียชีวิตมานานกว่า 40 ปีแล้ว แต่ชื่อเสียงของเขาก็ยังคงดังก้องไปทั่วโลก ภาพของเขายังคงปรากฎอยู่บนสื่อและสินค้าต่างๆ เรียกได้ว่าแทบจะไม่มีใครที่ไม่รู้จักเขา
แต่นอกเหนือจากบทเพลงและภาพลักษณ์ความหล่อเท่ห์ที่เป็นอมตะของเขาแล้ว เรื่องราวชีวิตของเขาก็มีความน่าสนใจอยู่ไม่น้อย
ถึงแม้ในยามที่ประสบความสำเร็จ โด่งดังไปทั่วโลก เอลวิสจะร่ำรวยมาก หากแต่เขาเกิดมาในครอบครัวที่ยากจนมาก
เอลวิสเกิดในวันที่ 8 มกราคม ค.ศ.1935 (พ.ศ.2478) ที่มิซซิสซิปปี สหรัฐอเมริกา
แม่ของเขา “เกลดี เพรสลีย์ (Glady Presley)” ท้องลูกแฝด หากแต่เธอไม่รู้ตัวเลยว่าเธอกำลังอุ้มท้องแฝด และครอบครัวเพรสลีย์ก็ไม่ต่างจากครอบครัวอื่นๆ ทางใต้ นั่นคือมีฐานะยากจน ไม่มีเงินไปหาหมอ เกลดีจึงต้องคลอดที่บ้าน
เอลวิสในวัยเด็ก
เมื่อคลอด มีแฝดรอดเพียงคนเดียว นั่นคือเอลวิส ส่วนแฝดอีกคน ชื่อว่า “เจสซี (Jesse)” ไม่รอดชีวิต
ถึงแม้จะไม่เคยพบกันมาก่อน แต่เอลวิสก็คิดถึงพี่น้องฝาแฝดของตน และมักจะไปเยี่ยมหลุมศพของเจสซีเป็นประจำ แม้แต่ตอนที่มีชื่อเสียงโด่งดัง เอลวิสก็ยังคงพูดถึงเจสซี
2
ชีวิตในวัยเด็กของเอลวิสนั้นเต็มไปด้วยความยากลำบาก ครอบครัวเพรสลีย์อาศัยอยู่ในย่านคนจน บ้านที่ครอบครัวอยู่มีห้องเพียงสองห้อง
“เวอร์นอน เพรสลีย์ (Vernon Presley)” พ่อของเอลวิสนั้นเรียนไม่จบมัธยม และแต่งงานกับเกลดีขณะมีอายุเพียง 17 ปี และด้วยความที่เรียนมาน้อย ทำให้เวอร์นอนหางานได้ยาก เขาต้องคอยเปลี่ยนงานไปเรื่อยๆ ไม่เป็นหลักเป็นแหล่ง
เอลวิสกับพ่อและแม่
ด้วยความที่เกลดีไม่สามารถมีลูกได้อีก เธอจึงเป็นห่วงเอลวิสมาก โดยเกลดีมักจะไปส่งเอลวิสที่โรงเรียน และเอลวิสก็รักแม่มาก
ครอบครัวเพรสลีย์นั้นมีสภาพลุ่มๆ ดอนๆ
เมื่อเวอร์นอนโชคดี ได้งานดีๆ ทำ เขาก็จะซื้อบ้านหลังใหม่ แต่เมื่อตกงาน ก็ขายบ้านและย้ายไปอยู่ห้องเช่าราคาถูกๆ
ครั้งหนึ่ง เวอร์นอนได้พยายามจะโกงเงิน เขาจึงถูกจับ และถูกตัดสินให้จำคุกเป็นเวลาแปดเดือน ทำให้เอลวิสและเกลดีต้องย้ายไปอาศัยอยู่กับครอบครัวของเวอร์นอน
ในวันหยุด เกลดีมักจะพาเอลวิสไปเยี่ยมพ่อที่เรือนจำ ซึ่งก็ต้องนั่งบนรถบัส ใช้เวลาไปกลับถึง 10 ชั่วโมง เอลวิสซึ่งในเวลานั้นอายุเพียงสามขวบ ก็มักจะนั่งร้องไห้หน้าบ้าน กลัวว่าพ่อจะไม่ได้กลับมาอีก
เอลวิสในวัยเด็ก
แต่ในที่สุด เวอร์นอนก็พ้นโทษและได้งานใหม่ ซึ่งช่วงเวลานี้ ครอบครัวเพรสลีย์ก็ไปโบสถ์ใกล้บ้าน และที่โบสถ์นี้เอง เป็นที่ๆ เอลวิสเริ่มร้องเพลง
เอลวิสนั้นร้องเพลงได้ดีจนได้เข้าร่วมกับคณะประสานเสียง และทุกคนก็สามารถเห็นได้อย่างเด่นชัดว่าเอลวิสนั้นมีพรสวรรค์
เกลดีเองก็เห็นว่าลูกชายมีความสามารถ และถึงแม้ครอบครัวจะไม่ได้มีเงินมากนัก แต่ในวันเกิดอายุ 11 ขวบของเอลวิส เกลดีก็ซื้อกีตาร์ตัวแรกให้เอลวิส
เอลวิสและเกลดี
เมื่อได้กีตาร์มาแล้ว เอลวิสก็อยากจะเล่นกีตาร์ให้เป็น
1
เกลดีได้ขอให้บาทหลวงที่รู้จักมาช่วยสอนเอลวิส และเอลวิสก็เรียนรู้ด้วยตนเอง
เอลวิสเริ่มจะไปเตร่อยู่ที่สถานีวิทยุท้องถิ่น คอยฟังนักกีตาร์คนอื่นๆ ว่าเล่นยังไง จดจำมา และในทุกวันเสาร์ เอลวิสกับพ่อแม่จะมาอยู่หน้าวิทยุ ฟังเพลงจากรายการดนตรีที่ชื่อว่า “Grand Ole Opry”
ขณะเรียนอยู่ชั้นมัธยม เอลวิสก็มักจะพกกีตาร์ไปโรงเรียนด้วย ซึ่งเป็นที่ขบขันของเด็กคนอื่นๆ เด็กหลายๆ คนก็ล้อเขา เรียกเพลงของเขาว่าเป็น “เพลงบ้านนอก”
เอลวิสในช่วงวัยรุ่น
พฤศจิกายน ค.ศ.1948 (พ.ศ.2491) เวอร์นอนและเกลดีก็ตัดสินใจย้ายบ้านอีกครั้ง
คราวนี้ พวกเขาจะย้ายไปเมืองใหญ่ นั่นคือเมืองเมมฟิส รัฐเทนเนสซี โดยเวอร์นอนได้งานเป็นคนงานยกถังสี ส่วนเกลดีได้งานในโรงงานผลิตผ้าม่าน
ที่บ้านใหม่นี้ เอลวิสก็ได้ครูสอนกีตาร์คนใหม่ โดยเขาและครูสอนกีตาร์มักจะฝึกกีตาร์ที่ห้องซักรีดซึ่งอยู่ชั้นล่าง
เมื่อใกล้จบชั้นมัธยมปลาย เอลวิสก็เป็นหนุ่มเต็มตัว เขาไว้จอน และเริ่มออกเดทกับหญิงสาว และเอลวิสก็ยังชื่นชอบดนตรีอย่างมาก
ที่เมมฟิสนี้เอง เป็นที่ตั้งของสตูดิโอที่ชื่อว่า “Sun Studios” โดยมีเจ้าของคือชายที่ชื่อ “แซม ฟิลลิปส์ (Sam Philips)”
ฟิลลิปส์และเอลวิส
ฟิลลิปส์ต้องการจะอัดดนตรีแนวใหม่ โดยใช้กีตาร์ไฟฟ้า และเสียงร้องนั้นก็จะดังกว่าเพลงอื่นๆ ทำนองก็เป็นทำนองที่เร็ว ชวนให้เต้น
ไม่มีใครรู้ว่าดนตรีแนวนี้เรียกว่าอะไร ก่อนที่อีกหลายปีต่อมา จะเป็นที่รู้จักในนามของ “ร็อคแอนด์โรลล์ (Rock and Roll)”
สิงหาคม ค.ศ.1953 (พ.ศ.2496) เอลวิสวัย 18 ปีได้เดินเข้ามาใน Sun Studios พร้อมกำเงินมาด้วย 3.98 ดอลลาร์ (ประมาณ 120 บาท)
เอลวิสต้องการจะอัดเพลงให้แม่ และนี่คือก้าวแรกที่เอลวิสได้ก้าวเข้ามาในสตูดิโอบันทึกเสียง
เพลงที่เอลวิสเลือกจะอัดคือเพลงชื่อ “My Happiness” โดยผู้ที่ทำหน้าที่บันทึกเสียงคือหญิงที่ชื่อ “แมเรียน ไคส์เกอร์ (Marion Keisker)” ซึ่งบริหาร Sun Studios ร่วมกับฟิลลิปส์
แมเรียน ไคส์เกอร์ (Marion Keisker)
เอลวิสได้บันทึกเสียงเพลง “My Happiness” และไคส์เกอร์ก็ได้เขียนชื่อเอลวิสลงบนปกแผ่นเสียง
เมื่อเสร็จสิ้นในวันนั้น เอลวิสยังคงกลับมาที่สตูดิโออยู่เรื่อยๆ ซึ่งฟิลลิปส์ก็งานยุ่งเกินกว่าจะมาคุยกับเอลวิส แต่ไคส์เกอร์นั้นชื่นชอบการได้คุยกับเอลวิส เอลวิสนั้นมีเสน่ห์ รูปหล่อ และเสียงเพราะ
เมื่อเรียนจบชั้นมัธยม เอลวิสไม่ได้เรียนต่อระดับมหาวิทยาลัย และต้องหางานทำ ซึ่งเขาก็ได้งานในร้านขายเครื่องจักร
วันหนึ่ง เอลวิสได้ข่าวว่ามีวงดนตรีกำลังมองหานักร้อง เอลวิสจึงไปตัดผมให้ดูดีที่สุด ใส่เสื้อเชิ้ตสีชมพู และลองไปสมัครดู
หลังจากร้องไปได้สองเพลง เพื่อนของเอลวิสซึ่งนั่งดูการร้องเพลงของเอลวิส ได้กล่าวแก่เอลวิสว่า
“นายไม่มีทางเป็นนักร้องได้หรอก”
วันหนึ่งในฤดูร้อน ค.ศ.1954 (พ.ศ.2497) ไคส์เกอร์ได้โทรหาเอลวิส แจ้งว่าฟิลลิปส์เจอเพลงที่น่าจะเหมาะกับเอลวิส และถามว่าเอลวิสพอจะว่างมาที่สตูดิโอในตอนบ่ายหรือไม่?
เมื่อเอลวิสไปที่สตูดิโอและลองร้องเพลง ปรากฎว่าสไตล์การร้องของเอลวิสไม่ถูกใจฟิลลิปส์ และภายหลังจากลองร้องไปได้สองสามเพลง ฟิลลิปส์ก็หยุดการบันทึกเสียง นิ่งคิด
ฟิลลิปส์คิดว่าเด็กคนนี้ไม่มีประสบการณ์ จำเป็นต้องซ้อมอีกเยอะ แต่ก็ดูเหมือนมีอะไรบางอย่างในตัวเด็กคนนี้ที่พิเศษ แตกต่างจากคนอื่นๆ
ฟิลลิปส์ได้เล่าเรื่องของเอลวิสให้นักกีตาร์ที่รู้จักคนหนึ่งฟัง และนักกีตาร์ผู้นั้นก็สนใจจะลองฟังเอลวิสร้องเพลง
นักกีตาร์คนนั้นชื่อ “สก็อตตี มัวร์ (Scotty Moore)”
มัวร์และเอลวิส
สองสามวันต่อมา เอลวิสได้ไปยืนที่หน้าประตูบ้านของมัวร์ ซึ่งในทีแรก มัวร์คิดว่าเด็กคนนี้ดูไม่ค่อยเต็ม
เอลวิสใส่เสื้อเชิ้ตสีดำ กางเกงสีชมพู รองเท้าสีขาว ผมก็มันแผลบ เสยขึ้นสูง
มัวร์ได้แนะนำให้เอลวิสรู้จักกับเพื่อนของเขาที่ชื่อ “บิลล์ (Bill)” ซึ่งเล่นกีตาร์เบสส์
เอลวิสได้ลองเล่นเพลงทุกเพลงที่ตนเล่นได้ ซึ่งส่วนมากจะเป็นเพลงช้า และแน่นอน ทั้งมัวร์และบิลล์ต่างรู้สึกเฉยๆ ไม่ได้ประทับใจเลย แต่ถึงอย่างนั้นทั้งคู่ก็ตกลงจะเข้าไปที่สตูดิโอพร้อมกับเอลวิสในวันต่อมา
1
ที่สตูดิโอก็เป็นเช่นเดิม เอลวิสพยายามร้องเพลงให้ดีที่สุด แต่ก็ยังไม่มีใครชอบ จนในที่สุด ฟิลลิปส์ต้องบอกให้ทุกคนหยุดพัก
ในระหว่างพัก มัวร์กับบิลล์ก็ดื่มโซดา ส่วนเอลวิสยังคงง่วนอยู่กับกีตาร์ และเริ่มเล่นเพลงบลูส์เพลงหนึ่ง ชื่อว่า “That’s All Right [Mama]”
ขณะที่ร้อง เอลวิสก็เต้นไปด้วยและกระโดดโลดเต้นไปทั่วห้อง ทำให้บิลล์กับมัวร์เริ่มสนใจ
ทั้งคู่วางขวดโซดาและเข้ามาแจมกับเอลวิส
ในที่สุด ฟิลลิปส์ก็ได้ยินในสิ่งที่อยากจะได้ยินแล้ว
เมื่อบันทึกเสียงและทดลองฟัง ทุกคนต่างก็ตะลึง
เพลงที่เอลวิสร้องนั้นฟังดูแปลกใหม่ ไม่เหมือนเพลงอื่นๆ ซึ่งฟิลลิปส์ก็รีบโทรหาสถานีวิทยุท้องถิ่น และเปิดแผ่นที่เอลวิสร้อง
ในคืนต่อมา “That’s All Right [Mama]” ได้ออกอากาศทางวิทยุ และมีคนกว่า 100 คนโทรหาสถานีวิทยุ ขอให้เปิดเพลงนี้อีกครั้ง
ต่อมา เอลวิสกับมัวร์ก็ได้ออกแสดงตามคอนเสิร์ตท้องถิ่น และมีแฟนๆ ตามติดพวกเขา โดยเฉพาะกับเอลวิส ผู้ซึ่งสาวๆ มองว่ารูปหล่อและเสน่ห์แรง เมื่อคอนเสิร์ตจบลง สาวๆ จะรุมเข้าไปหาเอลวิส พยายามจะกระชากเสื้อของเขาออกให้ได้
นี่คือสิ่งแปลกใหม่สำหรับเอลวิส ไม่กี่เดือนที่แล้ว เขายังเป็นคนขับรถบรรทุก เป็นคนธรรมดาๆ อยู่เลย
แต่ไม่เพียงแค่สาวๆ ที่สนใจในตัวของเอลวิส ชายอีกคนหนึ่งก็สนใจในตัวเอลวิสเช่นกัน
เขาคือ “ผู้พันทอม ปาร์คเกอร์ (Colonel Tom Parker)”
จริงๆ แล้ว ปาร์คเกอร์ไม่ได้เป็นผู้พัน เขาเคยอยู่ในกองทัพก็จริง แต่ก็ไม่ได้เป็นทหาร และลาออกเพื่อมาเข้าร่วมกับคณะละครสัตว์ แต่ที่เขาเรียกตัวเองว่าผู้พัน เพราะเขารู้สึกว่ามันดูใหญ่ ดูสำคัญ
ผู้พันทอม ปาร์คเกอร์ (Colonel Tom Parker)
ในเวลานั้น ปาร์คเกอร์เป็นผู้จัดการส่วนตัวของนักร้องลูกทุ่งรายหนึ่ง และเขาก็มองเห็นอนาคตในตัวของเอลวิส
เมื่อได้พบกับเอลวิส ปาร์คเกอร์ก็บอกว่าการเล่นคอนเสิร์ตเล็กๆ ในงานท้องถิ่นอย่างนี้มันด้อยไปสำหรับเอลวิส เขาควรจะออกทัวร์คอนเสิร์ต ออกรายการโทรทัศน์ แสดงภาพยนตร์
1
ด้วยลุคและสไตล์ของเอลวิส ปาร์คเกอร์รับรองว่าเอลวิสจะโด่งดังยิ่งกว่าใครๆ
แต่ปัญหาก็คือ เอลวิสมีผู้จัดการส่วนตัวอยู่แล้ว นั่นคือ “บ๊อบ นีล (Bob Neal)”
นีลและเอลวิส
นีลนั้นเป็นคนเฟรนด์ลี่และตั้งใจทำงาน เขาหาทางผลักดันให้เอลวิสได้ไปออกรายการคอนเสิร์ตทางวิทยุ และยังช่วยเอลวิสในการทำสัญญากับฟิลลิปส์อีกด้วย
แต่ปาร์คเกอร์ก็ไม่ยอมแพ้ เอลวิสจำเป็นต้องมีเขา Sun Studios นั้นเล็กเกินไป นีลก็กระจอกเกินไป เอลวิสควรจะได้อัดเพลงกับสตูดิโอใหญ่ๆ โด่งดังไปทั่วประเทศ
ฟิลลิปส์เองก็รู้ดีว่าปาร์คเกอร์จะทำอะไร แต่เขาไม่ชอบปาร์คเกอร์ และก็ไม่อยากจะปล่อยเอลวิสไป
ทางด้านพ่อและแม่ เวอร์นอนนั้นอยากให้เอลวิสเซ็นสัญญากับปาร์คเกอร์ การได้อัดเพลงกับสตูดิโอใหญ่ๆ และได้แสดงภาพยนตร์ทำให้เวอร์นอนวาดฝันถึงอนาคตที่สดใส หากแต่เกลดีไม่แน่ใจนัก
เกลดีคิดว่าปาร์คเกอร์เป็นใครก็ไม่รู้ ท่าทางก็ไม่น่าคบ มักจะสูบซิการ์ขนาดใหญ่ ส่งกลิ่นเหม็นไปทั่ว อายุก็มากกว่าเวอร์นอนซะอีก แถมยังพูดอะไรตรงๆ ไม่เกรงใจคนอื่น
ปาร์คเกอร์และเอลวิส
แต่ถึงแม้เอลวิสจะรักและเชื่อฟังเกลดี แต่สุดท้าย เขาก็ตัดสินใจทำตามที่เวอร์นอนต้องการ
สิงหาคม ค.ศ.1955 (พ.ศ.2498) ปาร์คเกอร์ได้กลายเป็นที่ปรึกษาพิเศษของเอลวิส และอีกไม่กี่เดือนต่อมา ปาร์คเกอร์ก็ได้เจรจาให้ “RCA Records” ทำการซื้อสัญญาของเอลวิสที่ Sun Studios
RCA จ่ายเงินค่าสัญญาของเอลวิสเป็นเงิน 35,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 1,050,000 บาท) ซึ่งสูงกว่าที่สตูดิไหนๆ จะเคยจ่ายให้นักร้องซักคนหนึ่ง ซึ่งหลายคนใน RCA ก็กังวล คิดว่าพวกเขาอาจจะทำผิดพลาด อาจจะเสียเงินฟรี
2
เพลงแรกที่เอลวิสได้บันทึกเสียงกับ RCA คือเพลง “Heartbreak Hotel” ซึ่งได้ออกเผยแพร่ในปีค.ศ.1956 (พ.ศ.2499) และกลายเป็นเพลงที่ดังที่สุดในสหรัฐอเมริกา
Heartbreak Hotel
เอลวิสเพิ่งจะมีอายุเพียง 21 ปี แต่เขาก็พร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงวงการดนตรีแล้ว
หลังจาก Heartbreak Hotel โด่งดังไปทั่วประเทศ เงินทองก็ไหลมาเทมา เปลี่ยนชีวิตของเอลวิสและครอบครัว
เอลวิสซื้อรถคาดิลแลคสีชมพูให้เกลดี และซื้อบ้านใหม่ที่มีสระว่ายน้ำให้ครอบครัว
รถคาดิลแลคสีชมพูและบ้านหลังใหญ่ของเอลวิส
สาเหตุที่เอลวิสร่ำรวยในเวลาที่รวดเร็ว ก็เนื่องมาจาก “โทรทัศน์”
ในเวลานั้น โทรทัศน์ยังมีเพียงไม่กี่ช่อง รายการยอดนิยมก็มีเพียงไม่กี่รายการ
แต่เมื่อเอลวิสออกโทรทัศน์ ผู้คนก็ต่างสนใจ
เอลวิสนั้นแต่งกายด้วยเสื้อผ้ารัดๆ กางเกงฟิตๆ หวีผมเสยขึ้น ซึ่งไม่เคยมีใครทำมาก่อน
นอกจากนั้น เอลวิสยังเต้น โยกอย่างสนุกสนาน เป็นที่ถูกใจเด็กๆ และวัยรุ่น แต่ผู้ใหญ่ไม่ชอบ และคิดว่าดูน่าเกลียด
หนังสือพิมพ์ก็เริ่มจะเขียนวิจารณ์ ซึ่งก็สร้างความไม่สบายใจให้เอลวิส เขาเพียงแค่ต้องการให้คนดูสนุกและมีความสุข
1
แต่สุดท้ายแล้ว ไม่ว่าผู้ใหญ่จะคิดอย่างไรก็ไม่สำคัญ เอลวิสมาได้ถูกที่ถูกเวลา นี่คือยุค 50 (พ.ศ.2493-2502) คนหนุ่มสาวหลายคนเริ่มเป็นขบถ ต่อต้านพ่อแม่ ร็อคแอนด์โรลล์คือดนตรีของคนหนุ่มสาว
ภายหลังจาก Heartbreak Hotel เพลงอื่นๆ ของเอลวิสที่ตามออกมา ทั้ง “Hound Dog” และ “Don’t Be Cruel” ก็พุ่งขึ้นสู่อันดับ 1
อันที่จริง เอลวิสไม่ได้เป็นคนคิดค้นสไตล์เพลงร็อคแอนด์โรลล์ ก่อนหน้าเอลวิสก็มีศิลปินหลายคนที่ร้องเพลงสไตล์นี้อยู่แล้ว หากแต่เอลวิสนั้นโด่งดังยิ่งกว่าศิลปินคนอื่นๆ
แต่สำหรับปาร์คเกอร์ แค่นี้ยังไม่พอ
เอลวิสต้องเป็นราชา และการที่จะไปสู่จุดนั้นได้ เอลวิสต้องแสดงภาพยนตร์
เป็นอีกครั้งที่เอลวิสมาได้ถูกที่ถูกเวลา เนื่องจาก “เจมส์ ดีน (James Dean)” นักแสดงผู้โด่งดัง เพิ่งจะเสียชีวิตในอุบัติเหตุทางรถยนต์ในปีค.ศ.1955 (พ.ศ.2498)
เจมส์ ดีน (James Dean)
เอลวิสก็เป็นแฟนภาพยนตร์ของดีน ทั้งคู่มีความเหมือนกัน คือยังหนุ่ม หล่อ และเสน่ห์แรง
เมื่อดีนเสียชีวิต สตูดิโอภาพยนตร์แต่ละแห่งก็พยายามตามหาเจมส์ ดีนคนต่อไปกันให้วุ่น หาใครซักคนที่จะมาแทนที่ดีน และพวกเขาก็คิดว่า บางทีเอลวิสอาจจะเป็นคนๆ นั้น
สุดท้าย เอลวิสจึงได้เซ็นสัญญากับสตูดิโอภาพยนตร์ยักษ์ใหญ่ และเริ่มลงมือถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง “Love Me Tender” ในปีค.ศ.1956 (พ.ศ.2499)
Love Me Tender
เมื่อภาพยนตร์ออกฉาย เสียงวิจารณ์จากนักวิจารณ์ภาพยนตร์ก็ไม่ค่อยดีนัก ทั้งการแสดงของเอลวิสที่ยังแข็งทื่อ บทที่ดูแล้วตลก
แต่คนดูกลับสวนทางคำวิจารณ์ ภาพยนตร์เรื่องนี้กลายเป็นภาพยนตร์ทำเงินประจำปี แฟนๆ ของเอลวิสตีตั๋วไปชมภาพยนตร์เรื่องนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เมื่อกระแสตอบรับดีขนาดนี้ สตูดิโอภาพยนตร์ก็ตระหนักได้ว่าเอลวิสนี่แหละ คือเจมส์ ดีนคนใหม่ และส่งภาพยนตร์ให้เอลวิสต่อมาเรื่อยๆ
ระหว่างปีค.ศ.1956-1969 (พ.ศ.2499-2512) เอลวิสแสดงภาพยนตร์ไปถึง 31 เรื่อง
การถ่ายทำภาพยนตร์ทำให้เอลวิสไม่มีเวลาอัดเสียงหรือออกแสดงคอนเสิร์ต หากแต่ปาร์คเกอร์ก็ไม่ได้เดือดร้อน เนื่องจากแผ่นเสียงของเอลวิสก็ขายได้อยู่แล้ว และเอลวิสยังทำเงินได้อีกมาก
ค.ศ.1957 (พ.ศ.2500) เอลวิสซื้อคฤหาสน์ในเมมฟิส และตั้งชื่อว่า “เกรซแลนด์ (Graceland)” และวางแผนจะพาพ่อกับแม่เข้ามาอยู่ในเกรซแลนด์
เกรซแลนด์ (Graceland)
แต่หลังจากนั้นไม่ถึงหนึ่งปี ก็มีบางสิ่งที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น
เอลวิสได้รับหมายเรียกเกณฑ์ทหาร
ก่อนปีค.ศ.1973 (พ.ศ.2516) สหรัฐอเมริกายังมีการเกณฑ์ทหาร แม้แต่เอลวิสก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ ภาพเอลวิสขณะตัดผมทรงทหาร เตรียมเข้ากองทัพ ปรากฎอยู่บนหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์แทบทุกฉบับ
เอลวิสขณะตัดผม เตรียมเข้ากองทัพ
ในเวลานี้ เอลวิสไม่ใช่ซูเปอร์สตาร์ที่โด่งดัง เขาคือพลทหารเอลวิส เพรสลีย์
แต่จากนั้นก็มีบางสิ่งที่เลวร้ายมากๆ ได้เกิดขึ้น
เกลดีได้ล้มป่วย ทานอาหารไม่ได้ ต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล
เอลวิสได้รับอนุญาตให้กลับไปเยี่ยมแม่ ซึ่งเกลดีก็มีอาการดีขึ้น แต่ในคืนนั้นเอง แพทย์ก็ได้โทรศัพท์แจ้งเอลวิสว่าเกลดีอาการทรุดลง ซึ่งเอลวิสก็รีบออกจากกรม ตรงไปหาแม่ที่โรงพยาบาล
หากแต่สายไปแล้ว เกลดีเสียชีวิตก่อนที่เอลวิสจะมาถึง
นี่เป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ของเอลวิส สำหรับเอลวิส เกลดีเป็นทั้งแม่ ทั้งเพื่อนที่คอยอยู่เคียงข้างเขา เป็นคนที่เขาใกล้ชิดที่สุด
เช้าวันต่อมา เอลวิสนั่งลงบนบันไดหน้าบ้านหลังงามของตนและร้องไห้
ด้วยความที่เป็นเอลวิส ถึงแม้จะอยู่ในช่วงที่กำลังเศร้าโศกเสียใจ แต่ก็ไม่มีความเป็นส่วนตัวสำหรับเขา นักข่าวต่างจับภาพที่เอลวิสกำลังร้องไห้ ตีพิมพ์ให้แฟนๆ เห็น
เอลวิสกำลังร้องไห้โดยมีเวอร์นอนอยู่ข้างๆ
ต่อมา วันที่ 1 ตุลาคม ค.ศ.1958 (พ.ศ.2501) เอลวิสถูกส่งไปประจำการที่เยอรมนี
เอลวิสนั้นยังคงเศร้าโศก เขาสูญเสียแม่ไปแล้ว และยังอยู่ห่างจากบ้านเป็นระยะทางไกลข้ามทวีป
ในเวลานั้น ไม่ได้มีสงครามเกิดขึ้นจริงๆ แต่สหรัฐอเมริกาก็มีฐานทัพอยู่ในประเทศต่างๆ เอลวิสจึงไม่ได้ออกรบจริงๆ เพียงแต่ทำหน้าที่ขับรถให้ผู้บังคับบัญชา และมีหน้าที่เอ็นเตอร์เทนเหล่าทหาร คอยเล่นดนตรี
แต่ด้วยความที่เป็นเอลวิส เขาจึงได้รับอภิสิทธิต่างๆ ไม่เหมือนพลทหารคนอื่นๆ เขาสามารถออกไปเช่าโรงแรมอยู่เอง อีกทั้งพ่อกับญาติๆ และเพื่อนๆ ยังสามารถบินมาหาเขาได้อีกด้วย
เอลวิสขณะอยู่ในกองทัพ
ในช่วงเวลากลางวัน เอลวิสต้องทำงาน แต่ในเวลากลางคืน เขากับเพื่อนๆ ก็ชอบที่จะเล่นสนุก วิ่งเล่นไปตามทางเดินของโรงแรม
ช่วงเวลาที่ได้พักผ่อนและสนุกคือเวลากลางคืน แต่ตอนกลางวันเขาก็ต้องทำงาน เพื่อนของเอลวิสจึงให้ยาแก่เขา เป็นยาที่จะช่วยทำให้ไม่ง่วง ตื่นตัวในเวลากลางวัน
ในเวลานั้น ผู้คนยังไม่รู้ถึงอันตรายของการใช้ยา เมื่อคนเริ่มใช้ยา ก็มักจะติด เลิกไม่ได้
หลังจากที่พ่อและเพื่อนๆ กลับสหรัฐอเมริกา เอลวิสก็เหงายิ่งกว่าเดิม
แต่เอลวิสก็ได้พบกับ “พริสซิลลา โบลิว (Priscilla Beaulieu)”
พริสซิลลา โบลิว (Priscilla Beaulieu)
พริสซิลลาอายุ 14 ปี ในขณะที่เอลวิสอายุ 24 ปี
พริสซิลลามีพ่อบุญธรรมเป็นนายทหารในกองทัพอากาศ และพ่อบุญธรรมก็คิดว่าพริสซิลลานั้นเด็กเกินกว่าจะมีความรัก
แต่ถึงอย่างนั้น เอลวิสก็ยังหมั่นไปเยี่ยมพ่อบุญธรรมของพริสซิลลา และสัญญาว่าจะเป็นแค่เพื่อนกับพริสซิลลา จะรอจนกว่าพริสซิลลาจะโตพอที่จะมีความสัมพันธ์แบบหนุ่มสาวได้
เป็นครั้งแรกที่เอลวิสรู้สึกว่าตนเองกำลังตกหลุมรัก
เอลวิสและพริสซิลลา
มีนาคม ค.ศ.1960 (พ.ศ.2503) เอลวิสได้ประจำการในกองทัพมาเป็นเวลานานกว่าหนึ่งปีแล้ว และได้ปลดประจำการ สามารถกลับบ้านได้แล้ว
พริสซิลลาได้มาส่งเอลวิสและบอกลา เธอกังวลว่าทั้งคู่จะไม่ได้พบกันอีก
แต่เอลวิสก็ไม่ยอมให้ความรักครั้งนี้จบลง เขายังคงเขียนจดหมายส่งมาหาพริสซิลลาเสมอ และบอกว่าเขารักพริสซิลลามากแค่ไหน
จดหมายที่เอลวิสส่งถึงพริสซิลลา
ในเมื่อตอนนี้ เอลวิสปลดประจำการแล้ว ปาร์คเกอร์จึงวางแผนสำหรับการกลับมาของเอลวิส เอลวิสต้องกลับมาอย่างยิ่งใหญ่และโด่งดังกว่าเดิม
รายการโทรทัศน์ต้อนรับการกลับมาของเอลวิส ได้ออกอากาศในวันที่ 26 มีนาคม ค.ศ.1960 (พ.ศ.2503) โดยเอลวิสได้ร้องเพลงจำนวนสองเพลง และมีเหล่าแฟนๆ ส่งเสียงกรี๊ด คลั่งไคล้ในตัวเขาเช่นเดิม
จากนั้น เอลวิสก็กลับมาแสดงภาพยนตร์อีกครั้ง ซึ่งแต่ละเรื่องก็ไม่ใช่ภาพยนตร์คุณภาพที่น่าจดจำ หากแต่ก็ยังขายได้เนื่องจากเป็นภาพยนตร์ที่เอลวิสแสดง
รายการต้อนรับการกลับมาของเอลวิส
ต่อมา พริสซิลลาได้กลับจากเยอรมนี ย้ายกลับมาสหรัฐอเมริกา ทำให้เธอและเอลวิสได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง
เอลวิสและพริสซิลลาแต่งงานกันในวันที่ 1 พฤษภาคม ค.ศ.1967 (พ.ศ.2510) ที่ลาสเวกัส และหนึ่งปีต่อมา ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1968 (พ.ศ.2511) “ลิซ่า มารี เพรสลีย์ (Lisa Marie Presley)” ลูกสาวของเอลวิสและพริสซิลลา ก็ได้ลืมตาดูโลก
เอลวิสและพริสซิลลากับลิซ่า
แต่ช่วงเวลาแห่งความสุขก็ไม่ได้อยู่นานนัก ตารางงานของเอลวิสนั้นแน่นเอี๊ยด เขามีคิวถ่ายภาพยนตร์เต็มตาราง หลายครั้งที่เขาเพิ่งจะได้อ่านบทขณะอยู่บนรถ กำลังไปที่กองถ่าย
คิวถ่ายภาพยนตร์ที่แน่นเต็มตาราง ทำให้เอลวิสไม่มีเวลาสำหรับการอัดแผ่นเสียงอัลบั้มใหม่ และในเวลานั้น รสนิยมทางดนตรีของผู้คนก็ได้เปลี่ยนไป
ในเวลานี้คือยุค 60 (พ.ศ.2503-2512) ได้มีนักดนตรีเกิดใหม่มากมาย ทั้ง “บ๊อบ ดีแลน (Bob Dylan)” “เดอะบีทเทิลส์ (The Beatles)” หรือ “เดอะโรลลิงสโตนส์ (The Rolling Stones)”
ในขณะที่นักดนตรีคุณภาพเกิดขึ้นมากมายในยุคนี้ แต่เอลวิสยังคงแสดงแต่ภาพยนตร์แย่ๆ ร้องเพลงที่ตกยุคไปแล้วในภาพยนตร์หลายๆ เรื่อง
3
สิ่งที่เอลวิสกลัวได้กลายเป็นจริงแล้ว เขาเพิ่งจะอายุเพียง 32 ปี แต่ก็ไม่ได้โด่งดังมากเท่าแต่ก่อน แฟนๆ เริ่มจะเทใจไปชอบศิลปินคนอื่น
เอลวิสรู้สึกเครียดและอิจฉา ในคราวที่เดอะบีทเทิลส์มาเยี่ยมเขาที่บ้าน เอลวิสก็แกล้งทำเป็นไม่สนใจและดูโทรทัศน์ แต่สุดท้าย เขาก็ได้ร่วมร้องและเล่นเพลงกับเดอะบีทเทิลส์
เดอะบีทเทิลส์ขณะกำลังจะไปพบเอลวิส
ยิ่งนานวัน เอลวิสก็ยิ่งเครียดและซึมเศร้า ตารางงานที่แน่นก็ทำให้เขาแทบไม่ได้พักผ่อน
ในช่วงเวลานี้ เอลวิสเริ่มกลับมาใช้ยาอีกครั้ง โดยกินยาเพื่อให้ไม่ง่วงในเวลาทำงาน และกินยานอนหลับในเวลาที่ต้องเข้านอน
เอลวิสเริ่มจะตื่นตอนกลางคืนและนอนหลับในเวลากลางวัน และผลจากยา ทำให้เขาเริ่มอ้วน น้ำหนักขึ้น ที่แย่ที่สุดก็คือ เขากับพริสซิลลาเริ่มจะมีปากเสียงกันบ่อยครั้ง
เขาจำเป็นต้องหาอะไรที่เป็นแรงบันดาลใจ อะไรที่เป็นเป้าหมาย เขาต้องการจะกลับมาอีกครั้ง
ปีนี้คือปีค.ศ.1968 (พ.ศ.2511) เอลวิสรู้ดีว่าหากอยากจะกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง มีหลายอย่างที่เขาต้องเปลี่ยน
เอลวิสต้องการที่จะแยกทางกับปาร์คเกอร์ ซึ่งก็ไม่ง่ายนัก เนื่องจากพ่อของเขาก็ยังเชื่อมั่นในตัวปาร์คเกอร์
เวอร์นอนไม่เข้าใจว่าทำไมเอลวิสถึงได้เครียดและซึมเศร้า ในเมื่อเขาก็มีทุกอย่างครบ คฤหาสน์หลังใหญ่ เครื่องบินส่วนตัว ภรรยาแสนสวยและลูกสาวที่น่ารัก ฟังดูแล้วนี่คือชีวิตของเศรษฐีที่น่าอิจฉา
แต่เอลวิสนั้นไม่มีความสุข เขาอยากเล่นคอนเสิร์ตอีกครั้ง เขาต้องการจะเห็นแฟนๆ กรีดร้อง เรียกชื่อเขา และเขาคิดถึงการผลิตงานเพลงคุณภาพ
เอลวิสเป็นราชา และถึงเวลาที่จะย้ำเตือนความจำของทุกคนแล้ว
การกลับมาครั้งใหญ่ของเอลวิสในครั้งนี้ จะเป็นรายการทางโทรทัศน์
ในปีค.ศ.1968 (พ.ศ.2511) นี้ สถานีโทรทัศน์ NBC ได้เซ็นสัญญากับเอลวิสให้มาออกรายการพิเศษ โดยมีการจ้างผู้กำกับและนักเขียนบทที่มีฝีมือมาช่วย และที่สำคัญ งานนี้ ปาร์คเกอร์แทบไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง
รายการนี้จะเป็นการย้ำเตือนผู้คนถึงความยิ่งใหญ่ของเอลวิส เอลวิสจะได้ขึ้นเวที โปรยเสน่ห์ใส่แฟนๆ อีกครั้ง
เอลวิสเองก็พร้อม เขาออกกำลังกายเพื่อที่จะให้หุ่นดีขึ้น และยังกลับมาไว้จอนยาวอีกครั้ง
นอกจากนั้น เอลวิสยังสั่งเสื้อหนังสีดำสำหรับงานนี้โดยเฉพาะ และยังไปดึง “สก็อตตี มัวร์ (Scotty Moore)” เพื่อนเก่าสมัย Sun Studios ให้มาร่วมเล่นกับเขา
ไม่เพียงแค่นั้น ในห้องส่งจะมีผู้ชมจริงๆ มานั่งชม ทำให้รู้สึกเหมือนเป็นคอนเสิร์ตจริงๆ
แต่ก่อนจะเริ่มแสดง เอลวิสก็รู้สึกตื่นเต้นและเครียด มันผ่านไปนานมากแล้วที่เขาแสดงสดต่อหน้าผู้ชม
แต่ถึงอย่างนั้น เอลวิสก็ขึ้นเวทีและร้องเพลงเก่าๆ และผลตอบรับก็ดีมาก
1
รายการต้อนรับการกลับมาของเอลวิสเป็นรายการยอดนิยมประจำซีซัน
เอลวิสในรายการต้อนรับการกลับมา ปีค.ศ.1968
แต่การกลับมานี้ก็ยังไม่สมบูรณ์ เอลวิสต้องการจะแข่งกับเดอะบีทเทิลส์ ดังนั้นในเดือนมกราคม ค.ศ.1969 (พ.ศ.2512) เอลวิสจึงได้ไปหาโปรดิวเซอร์คนใหม่
โปรดิวเซอร์คนใหม่คนนั้นคือ “ชิพ โมแมน (Chip Moman)”
เอลวิสและโมแมน
โมแมนนั้นต่างจากคนอื่นๆ รอบๆ ตัวเอลวิส เขาเป็นคนตรงไปตรงมา พูดความรู้สึกจริงๆ และไม่กลัวว่าจะทำให้เอลวิสไม่พอใจ
เมื่อการบันทึกเสียงทำออกมาได้ไม่ดี เขาก็จะบอกกับเอลวิสว่า
“ลองดูอีกครั้งนะ เอลวิส”
ซึ่งเอลวิสก็ไม่เถียงหรือมีปัญหา เขาต้องการจะผลิตงานคุณภาพ
เอลวิสนั้นไม่ได้เขียนเพลงเอง เขาต้องเลือกเพลงที่อยากจะร้อง ซึ่งโมแมนก็แนะนำให้เขาร้องเพลง “In the Ghetto”
“In the Ghetto” เป็นเพลงเกี่ยวกับเด็กชาวแอฟริกัน-อเมริกันที่อาศัยอยู่ในย่านเสื่อมโทรม ซึ่งหลายๆ คนแนะนำไม่ให้เอลวิสร้องเพลงสะท้อนสังคม เนื่องจากไม่ใช่ภาพลักษณ์ของเอลวิส
แต่เอลวิสก็ไม่สน เขาเชื่อมั่นในตัวโมแมน และก็จริงดังคาด In the Ghetto กลายเป็นเพลงฮิต
In the Ghetto
เพลงฮิตที่ตามมาก็คือ “Suspicious Minds” ซึ่งก็พุ่งสู่อันดับ 1 และเป็นเพลงอันดับ 1 ของเอลวิสในรอบเจ็ดปี
แต่การกลับมาก็ยังไม่สมบูรณ์ เอลวิสต้องการจะเล่นคอนเสิร์ต
การจะเล่นคอนเสิร์ต เอลวิสจำเป็นต้องพึ่งปาร์คเกอร์ ซึ่งปาร์คเกอร์ก็ช่วยเอลวิสในการทำสัญญาให้เล่นคอนเสิร์ตในโรงแรมหรูที่ลาสเวกัสเป็นเวลาหลายสัปดาห์
ก่อนถึงเวลาแสดง เอลวิสก็ตื่นเต้น เดินไปเดินมาหลังเวที
เขากังวลว่าแฟนๆ จะผิดหวัง แต่เขาคิดผิด
ภายในเวลาไม่กี่สัปดาห์ ตั๋วชมการแสดงของเอลวิสก็ขายไปได้มากกว่า 100,000 ใบ ส่งให้เอลวิสกลับมาโด่งดังอีกครั้ง
เอลวิสขณะแสดงที่ลาสเวกัส
เอลวิสกลับมาอย่างสมศักดิ์ศรี ความสำเร็จจากยอดขายอัลบั้มและตั๋วคอนเสิร์ต ทำให้อาชีพการงานของเอลวิสพุ่งอีกครั้ง และในปีค.ศ.1973 (พ.ศ.2516) รายการพิเศษของเอลวิส “Aloha from Hawaii” ก็ออกอากาศไปอีก 40 ประเทศ มีผู้ชมกว่า 1,000 ล้านคน
แต่ปัญหาส่วนตัวของเอลวิสยังคงอยู่
เอลวิสยังคงโหมงานหนัก เขาเริ่มทรุดโทรม และยิ่งเหนื่อยมากเท่าไร เอลวิสก็ยิ่งเห็นว่ายากที่จะออกห่างจากปาร์คเกอร์
ลึกๆ แล้ว เอลวิสก็เชื่อว่าเขาและปาร์คเกอร์คือทีมเดียวกัน ที่ผ่านมา ก็ปาร์คเกอร์นี่แหละที่ช่วยรักษาชื่อเสียงและความนิยมให้เขา ในช่วงที่เขาประจำการอยู่ที่เยอรมนี
เมื่อเป็นอย่างนี้ ปาร์คเกอร์จึงกลับมามีอำนาจอีกครั้ง
เอลวิสและปาร์คเกอร์
ตั้งแต่ค.ศ.1969-1977 (พ.ศ.2512-2520) เอลวิสแสดงคอนเสิร์ตไปกว่า 1,100 คอนเสิร์ต ซึ่งถึงแม้อาชีพการงานจะรุ่ง แต่ชีวิตรักของเอลวิสกำลังจบลง
เอลวิสกับพริสซิลลาเริ่มห่างเหิน และจบลงด้วยการหย่าร้างในปีค.ศ.1973 (พ.ศ.2516)
เมื่อหย่าจากพริสซิลลา เอลวิสก็เริ่มจะใช้เวลากับกลุ่มคนที่เขาเรียกว่า “เพื่อน” โดยคนกลุ่มนี้มีชื่อเล่นว่า “เมมฟิสมาเฟีย (Memphis Mafia)”
เอลวิสและเมมฟิสมาเฟีย
กลุ่มเมมฟิสมาเฟียเริ่มจะมาอยู่กับเอลวิสที่เกรซแลนด์ ซึ่งเอลวิสก็ประเคนเงินทองให้เพื่อนๆ ในกลุ่มอย่างเต็มที่
เอลวิสเริ่มจะติดยาอย่างหนัก เขาจำเป็นต้องใช้ยาเพื่อให้ผ่านไปได้ในแต่ละวัน
เอลวิสเริ่มอารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย หากใครบอกว่าเขาควรเข้าพบแพทย์ เอลวิสก็จะฉุนเฉียว ทำให้เพื่อนๆ ไม่มีใครกล้าคะยั้นคะยอหรือช่วยเหลือเขาเต็มที่
เมื่อเข้าสู่ยุค 70 (พ.ศ.2513-2522) เอลวิสก็ยิ่งแย่ลงเรื่อยๆ
เขาไม่ดูแลสุขภาพ อาหารที่กินก็ล้วนแต่ไม่ดีต่อสุขภาพ โดยอาหารโปรดของเอลวิสก็คือนมปั่นกับแซนด์วิชเนยถั่วทอด ใส่กล้วยและเบคอน
อาหารโปรดของเอลวิส
เอลวิสกลับมาอ้วนอีกครั้ง ซึ่งสร้างความอับอายให้เอลวิส เวลาแสดงบนเวทีก็ไม่ไหลลื่นดังแต่ก่อน บางครั้งก็จำเนื้อร้องเพลงของตนเองไม่ได้
ในปีค.ศ.1973 (พ.ศ.2516) เอลวิสหน้ามืดและล้มลงบนเวทีในคอนเสิร์ตของตนเอง และถูกนำส่งโรงพยาบาล
ชีวิตของเอลวิสดำเนินไปอย่างนี้เป็นเวลาหลายปี และไม่มีใครช่วยเขาได้
ในเวลา 4.00 น. ของวันที่ 16 สิงหาคม ค.ศ.1977 (พ.ศ.2520) เอลวิสได้เล่นแร็คเก็ตบอลกับเพื่อน แต่เล่นได้ไม่นาน เอลวิสก็เลิก
ในเวลานั้น เกือบจะเช้าแล้ว เอลวิสนอนไม่หลับ เขาจึงกินยา และเมื่อยังไม่ได้ผล เขาก็กินยาเพิ่ม
เอลวิสถูกพบเป็นศพในห้องน้ำในเช้าวันนั้น
ร่างไร้วิญญาณของเอลวิส
ขณะที่เอลวิสเสียชีวิต ลิซ่าเพิ่งจะมีอายุได้เพียงเก้าขวบ และต้องเติบโตโดยไม่มีพ่อ
ไม่เพียงแค่ลิซ่าและครอบครัว แฟนๆ นับล้านของเอลวิสก็เศร้าโศกเสียใจในการจากไปของเขา แฟนๆ หลายคนก็เกิดหลังจากที่เอลวิสเสียชีวิตไปแล้ว แต่ก็รับรู้เรื่องราวของเขาจากสื่อต่างๆ
1
นับจนถึงปัจจุบัน อัลบั้มของเอลวิสขายไปได้มากกว่าของศิลปินคนอื่นๆ บ้างก็ว่ายอดขายอัลบั้มทั้งหมดของเขานั้นสูงถึง 1,000 ล้านแผ่นเลยทีเดียว
ในทุกๆ ครบรอบวันตายของเอลวิส แฟนๆ จะไปร่วมรำลึกถึงเอลวิสที่เมมฟิส
ในปีค.ศ.2006 (พ.ศ.2549) “จุนอิจิโร โคอิซูมิ (Junichiro Koizumi)” นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ได้เดินทางมาสหรัฐอเมริกา และขอทัวร์เกรซแลนด์ โดยมีพริสซิลลาและลิซ่าเป็นผู้พาทัวร์
ประธานาธิบดีบุช ลิซ่า พริสซิลลา ขณะพานายกรัฐมนตรีโคอิซูมิชมเกรซแลนด์
ท่านนายกโคอิซูมิกล่าวว่าการได้มาเกรซแลนด์ คือความฝันที่เป็นจริง
1
แม้แต่นายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่นก็เป็นแฟนของเอลวิสเช่นกัน
โฆษณา