• Microsoft Azure ระบบคลาวด์คอมพิวติงที่ให้บริการโดยบริษัทMicrosoftได้มีการรักษาความปลอดภัยและความเป็นส่วนบุคคลของข้อมูลบนคลาวด์ตามมาตรฐาน ISO 27001, ISO/IEC 27018 และ Microsoft’s Security Development Lifecycle
• การย้ายบริการ e-Referral Service (e-RS) และ 111 Directory of Services (DoS) ขึ้นไปให้บริการอยู่บน AWS Cloud Computing Services ซึ่งให้บริการโดย Amazon เพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายในการให้บริการ รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพและความปลอดภัยของระบบให้มากขึ้น
• Google Cloud Platform ก็เป็นอีกหนึ่งผู้ให้บริการระบบคลาวด์ที่น่าสนใจ และมีจุดเด่นที่สามารถเชื่อมต่อกับ Network ของ Google ได้
เมื่อมองกลับมายังประเทศไทย ที่ผ่านมาองค์กรที่มีส่วนเกี่ยวข้องต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนได้มีความพยายามในการที่จะผลักดันให้เกิดการนำเทคโนโลยีเข้ามาผนวกกับการพัฒนาระบบการบริการสุขภาพอยู่พอสมควร จะเห็นได้จากการพัฒนาแพลตฟอร์มหรือแอปพลิเคชันของแต่ละโรงพยาบาลเพื่อรองรับและอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ป่วยที่มาเข้ารับการรักษา หรือแม้แต่การพยายามสร้างระบบเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพอิเล็กทรอนิกส์ หรือ Health Information Exchange (HIE) ซึ่งถือเป็นความท้าทายของการพัฒนาระบบบริการสุขภาพในประเทศไทยเป็นอย่างมาก เนื่องจากการเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพระหว่างหลายสถานพยาบาลทั่วประเทศนั้นทำได้ค่อนข้างยาก เนื่องจากระบบฐานข้อมูลโรงพยาบาล (Hospital Information System: HIS) และมาตรฐานข้อมูลที่ใช้นั้นแตกต่างกันไปในแต่ละสถานพยาบาล เพราะฉะนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องมีการสร้างความเข้าใจในการแลกเปลี่ยนข้อมูลสุขภาพร่วมกันระหว่างหลายหน่วยงาน รวมถึงกำหนดมาตรฐานกลาง (Data Standard) ในการแลกเปลี่ยนข้อมูล ซึ่งเป็นกระบวนการที่ต้องการความร่วมมือจากหลายฝ่ายเพื่อให้เกิดขึ้น
ปัจจุบัน กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมร่วมมือกับกระทรวงสาธารณสุขในการผลักดันให้เกิดระบบ HIE ในระดับประเทศของประเทศไทย โดยพัฒนาแพลตฟอร์มที่มีชื่อว่า Health Link ขึ้นมา มีการกำหนดมาตรฐานกลางในการแลกเปลี่ยนข้อมูลสุขภาพพื้นฐานร่วมกับโรงพยาบาลที่เข้าร่วมโครงการ และสนับสนุนโรงพยาบาลในด้านเครื่องมือและกระบวนการที่จำเป็นที่จะทำให้การแลกเปลี่ยนข้อมูลเกิดขึ้นได้จริง
อย่างไรก็ตามแพลตฟอร์ม Health Link ในขณะนี้จะเป็นเพียงระบบที่ช่วยให้เกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูลสุขภาพผู้ป่วยระหว่างสถานพยาบาลในโครงการเพื่อช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์เท่านั้นจึงยังไม่ได้มีการนำข้อมูลสุขภาพผู้ป่วยเข้าไปสู่ขั้นตอนของการเรียนรู้และวิเคราะห์ด้วยเทคโนโลยีต่าง ๆ ดังเช่นที่เกิดขึ้นในสหราชอาณาจักรตามที่กล่าวมา เนื่องจากในเบื้องต้นทางผู้พัฒนามีความต้องการที่จะมุ่งเน้นให้เกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูลสุขภาพในประเทศอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อประโยชน์ในการให้การรักษาพยาบาลของแพทย์อย่างสำเร็จลุล่วงเสียก่อน โดยการดำเนินงานในแต่ละขั้นตอนนั้นเป็นไปอย่างรอบคอบ และปลอดภัยเพื่อให้เกิดผลกระทบต่อบุคคลซึ่งเป็นเจ้าของข้อมูลน้อยที่สุด แต่ไม่แน่ว่าในอนาคตอันใกล้นี้ เราอาจจะได้เห็นพัฒนาการของการนำเทคโนโลยีล้ำสมัยมาใช้ในการช่วยวิเคราะห์และรักษาผู้ป่วยในบ้านเรา รวมถึงพัฒนาการทำงานของระบบบริการสุขภาพของประเทศอันจะช่วยส่งเสริมให้ประชาชนมีสุขภาพที่ดีและการบริการด้านสุขภาพมีประสิทธิภาพไม่ด้อยไปกว่าที่สหราชอาณาจักร