9 พ.ค. 2021 เวลา 08:38 • ไลฟ์สไตล์
“…โทสะ-โมหะ-โลภะนี่ เป็นเรื่องหญ้าปากคอก
ยังไม่ถึงที่สุดของธรรมะ
เป็นเรื่องแรกที่สุดในชีวิตของวิปัสสนา
ตอนที่รู้เรื่องรูป-นามนี้ เป็นเพียงลักษณะของปัญญา
ส่วน*ตอนที่ทำลายโทสะ-โมหะ-โลภะให้มันลดน้อยลงไปนี้
เป็นญาณปัญญาของวิปัสสนา*
*‘วิปัสสนา’ คือรู้แจ้ง รู้จริง
รู้แจ้ง รู้แล้วจิตใจจะเปลี่ยนแปลง
แตกต่างไปจากที่เคยเป็นอยู่
ล่วงจากภาวะเดิม ล่วงจากภาวะเก่าจริง ๆ*
เวทนาก็ไม่ทุกข์ รู้จักแล้ว
ใครจะว่าอย่างไรก็รู้ว่าสมมติ
สัญญาก็ไม่ค่อยไปจำ
ได้ยินแล้วก็แล้วไป
สังขารก็ไม่ได้ปรุง
ไม่ได้ยึด-ไม่ได้ถือ
วิญญาณคือรู้
ไม่ใช่ตายไปแล้ว วิญญาณล่องลอยไป
อย่างนั้นไม่ใช่
*วิญญาณ แปลว่ารู้-รู้ตัวเรานี่เอง*
หลวงพ่อเข้าใจอย่างนี้
รับรองคำพูดนี้จนหมดลมหายใจ
มันไม่เคยหลง-ไม่เคยลืม
พอรู้อย่างนี้ มันก็เกิดปิติขึ้นมา-เกิดความพอใจ
‘เอ๊ะ! มันยังพอใจอยู่หรือ ?’
หลวงพ่อสำนึกขึ้นมาได้ จึงเดินกลับไป-กลับมาอีก
ก็เกิดความรู้ความเข้าใจเรื่องกิเลส-ตัณหา-อุปาทาน-กรรม
‘กิเลส’ก็เหมือนยางขนุน มันเหนียว-เอาไปใส่อะไรก็ติดหมด
แต่ถ้าเราเอาไปใส่น้ำมันก๊าด มันจะไม่ติด
หลวงพ่อจึงเข้าใจว่า *‘ถ้าเรามีเครื่องป้องกัน-มันจะไม่ติด’*
กิเลสนี้เหมือนยางไม้ทุกชนิด-มันเหนียว
ถ้าจะไม่ให้มันติดได้ ต้องมีเครื่องป้องกัน
คือน้ำมันหล่อลื่น หรือน้ำมันก๊าดก็ได้
อันนี้หลวงพ่อเปรียบให้ฟัง
กิเลสก็เลยไม่มี ที่จริงมีอยู่-แต่มันไม่ติด
‘ตัณหา’ คือความอยาก
ตัณหานี่มันหนัก มันอยาก-มันอยากทำไปตามอารมณ์
มันผลิตสิ่งที่ผิดนี่แหละ
หลวงพ่อพยายามตัดรอน ถอนมันให้ได้
‘อุปาทาน’ นั้นคือมันเข้าไปยึด
แต่*ถ้าเราไม่เข้าไปยึดแล้ว
ไม่เข้าไปแบก-ไม่เข้าไปหาม มันก็ไม่มีอะไร*
ส่วน‘กรรม’ เขาเรียกว่า'วิบาก'
คือเสวยผลของการกระทำ
*เมื่อเรารู้อย่างนี้แล้ว ความทุกข์นั้นลดน้อยลงไป*
นี่พูดด้วยความจริงจากใจให้ฟัง...”
หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ
โฆษณา