16 พ.ค. 2021 เวลา 06:24 • การศึกษา
“เยาวชน กับ การชุมนุม” ฝรั่ง VS ไทย
การออกมาเคลือนไหวเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยของกลุ่มเยาวชน ช่วงปี 2563 จนมีผลต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน ถูกคนไทยมองและตีความไปหลายแง่หลายมุม แล้วในมองมุมของฝรั่งละ เขามองและมีความคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ มาจับเข่าคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันจ้า 😊
https://www.bbc.com/thai/thailand-44155231
ก่อนอื่นต้องขอพูดถึงเยาวชนผู้เรียกร้องประชาธิปไตยหลายคน ที่ได้กล่าวหาระบบการศึกษา และอาจจะรวมถึงสื่อ ว่ามีการสอนให้เด็ก “อย่าไปสนใจการเมือง หรือ การเมืองไม่ใช่เรื่องของเด็ก” แม้เราจะอาศัยอยู่ที่สวีเดนมา 10 กว่าปี แต่เราก็เกิดและเติบโตที่เมืองไทย เราไม่เคยได้ยินสิ่งเหล่านี้เลย
1
มันอาจจะเป็นเรื่องจริงดังที่เด็กๆกล่าว แต่จากประสบการณ์ของเรา เราไม่เคยได้ยินจริงๆ ไม่เคยได้ยินใครสอนใครสั่งให้ “อย่าสนใจการเมือง” ไม่มีใครสอนอะไรเลยเกี่ยวกับการให้ความสนใจการเมือง ไม่แม้แต่จะสอนให้รู้ว่า
🔺 ก า ร เ มื อ ง นั้ น มี ค ว า ม สำ คั ญ ที่ สุ ด ต่ อ ชี วิ ต ม นุ ษ ย์ "ตั้ ง แ ต่ เ กิ ด จ น ต า ย”🔺
2
การละเว้นหรือการระเลย “การกระตุ้นให้เกิดความสนใจและให้ความสำคัญกับการเมือง” ไม่ว่าจะด้วยความตั้งใจหรือไม่ มันก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ การเมืองถูกมองเห็นได้อย่าง ค ลุ ม ๆ เ ค รื อ ๆ 😕
1
พฤศภาทมิ 2535
นึกย้อนไปถึงปี 2535 ตอนเกิดเหตุการณ์ “พฤษภา ทมิฬ” ตอนนั้นเราอายุ 19 ปี และอาศัยอยู่ที่เชียงใหม่ พอได้ยินข่าวก็สนใจบ้าง ไม่สนใจบ้าง รู้แต่ว่ามีการประท้วงและเรียกร้องประชาธิปไตย
1
ในใจตอนนั้นเราคิดว่า พวกเขาจะเรียกร้องอะไรให้มันวุ่นวายอีกหนอ ประเทศไทยก็ปกครองด้วยระบบประชาธิปไตยอยู่แล้ว ชีวิตก็ยังดีๆ กันอยู่ “ในน้ำก็ยังมีปลา ในนาก้ยังมีข้าว”
บ้านเมืองก็ร่มเย็น แถมยังเป็นเมือง “อู่ข้าวอู่น้ำ” จะวุ่นวายก็แต่ตอนที่พวกเขาออกมาร้องเรียกประชาธิปไตยนี่แหละ 😟
1
ตอนนั้น ณ เมืองเชียงใหม่ เมืองซึ่งสงบและห่างไกลออกไปจากความวุ่นวายของการชุมนุม เราผู้ซึ่งได้ยินข่าว จ ริ ง บ้ า ง เ ท็ จ บ้ า ง ซึ่งมันไม่ได้ช่วยให้เราเข้าใจเรื่องราวความเป็นมาอย่างแท้จริงเลย เขาทำอะไร อย่างไง ทำไม เพราะอะไร
แต่เราก็ไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องสำคัญที่เราจะต้องศึกษาหาข้อมูลเพิ่ม รัฐบาลก็มีอยู่แล้วและเราก็เชื่อในรัฐบาล แม้จะเป็นรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหาร แต่เราเชื่อในทหาร ทหารมีหน้าทีปกป้องประเทศชาติ ดังนั้นเราจึงตัดสินว่า "ผู้ประท้วง" ซึ่งเป็นผู้ที่เข้ามาก่อให้เกิดความวุ่นวายเป็นฝ่ายผิดอย่างแน่นอน
ทั้งที่ไม่มีข้อมูลเพียงพอที่เราจะตัดสินได้ว่า ใครผิด-ใครถูก แต่เราก็ทำ
เมื่อเราคิดถึงประเทศไทย ประเทศที่ถูกขนานนามว่าเป็น “สยามเมืองยิ้ม” ผู้คนมีน้ำใจไมตรี ยิ้มแย้มแจมใส เป็นเมืองพุทธ เมืองแห่งความร่มเย็นและการให้อภัย แต่กลับต้องมาวุ่นวาย และเข่นฆ่ากันเอง มันยิ่งทำให้เราเสียใจและขุ่นเคืองต่อการกระทำของผู้ชุมนุม ☹️
1
https://thestandard.co/onthisday17052535/
ภาพเหตุการณ์ที่ผู้ประท้วงถูกกระทำโหดร้ายแค่ไหน ณ ตอนนั้นเราไม่รู้ ไม่เห็น แต่เราคิดว่า เมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่สงบขึ้น มันก็เป็นเรื่องธรรมดาที่จะต้องปราบปรามและมีการสูญเสียบ้าง ทั้งนี้ก็เพื่อทำให้ทุกอย่างจบและเงียบสงบลง
ทหารคือรั่วของชาติ เมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่สงบไม่ว่าจะภายนอกหรือภายในประเทศ ก็เป็นเรื่องที่ถูกแล้วที่ทหารจะเข้ามามีบทบาท และ รัฐประหาร ก็คือวิธีที่ถูกต้อง เป็นวิธีที่จะทำให้ประเทศกลับมาสงบอีกครั้ง
1
🔺🔺ถ้าวันนี้ เรายังอยู่ที่ประเทศไทย เราก็คงเป็นป้าแก่ๆคนหนึ่งที่นั่งบ่นพึมพำ และลำคาญกลุ่มเยาวชน เราคงสนับสนุนให้รัฐบาลปราบปรามหรือใช้กฎหมายจับกุมพวกเขาให้หมดๆ ไป บ้านเมืองจะได้สงบๆสักที 🔺แต่...มันไม่ใช่ 🔺
3
การที่เรามาสวีเดนทำให้เราได้เปิดโลกทัศน์และเรียนรู้โลกกว้าง ❤️ ทุกสิ่งที่เราเคยคิดเกี่ยวกับผู้ชุมนุมมันเป็นแค่ความเคลาของเรา😔 เราถูกปิดหู ปิดตา ปิดต่อมความยากรู้ยากเห็นโดยไม่รู้ตัว เรารู้สึกเสียใจ และรู้สึกขอโทษกับการเข้าใจผิดของเราที่มีต่อผู้ชุมนุม 😥
ตอนเป็นเด็ก เราเชื่อฟังผู้ใหญ่ และเป็นเด็กหัวอ่อน เพราะ เราอยากเป็น "เด็กดี" ของพ่อแม่ นี่อาจจะสาเหตุที่ทำให้เราเชื่อฟังรัฐบาล ที่ผู้เฒ่าผู้แกเรียกว่า "หลวง"
1
เรามองข้ามความจริงที่ว่าผู้ใหญ่ก็เป็นมนุษย์ และมนุษย์สามารถทำผิดพลาดได้ การถูกสอนให้เชื่อฟังผู้ใหญ่ ทำให้เราเชื่อมั่นรัฐบาล รัฐบาลก็เป็นเหมือนผู้ใหญ่ของบ้านของเมือง และผู้ใหญ่ย่อมเป็นฝ่ายถูก เราทำการตัดสิน โดยที่เราไม่ใช้ข้อมูลอะไรมากไปกว่านี้เลย
การที่เราไม่ถูกกระตุ้นให้สนใจการเมือง จึงทำให้เราไม่สนใจที่จะเรียนรู้เรื่องสิทธิของตัวเอง ทำให้เราไม่ใส่ใจ ไม่ให้ความสำคัญ ไม่อยากแม้แต่จะศึกษาหาข้อมูลและความจริงเพิ่มเติมจากหลายมุมมองในเชิงลึก เราเลือกที่จะรับและเชื่อข้อมูลจากฝ่ายรัฐเท่านั้น ข้อมูลจากฝ่ายผู้ชุมนุมจะถูกเรามองว่าเป็นเพียงแค่ "ข่าวลวง"
การถูกสอนให้เชื่อ โดยที่ไม่ต้องคิดไตร่ตรอง เชื่อเมื่อผู้ใหญ่พูด เมื่อผู้ใหญ่สอนเท่านั้น ทำให้เราสูญเสีย "วิ จ า ร ณ ญ า ณ" เราไม่เคยคิดว่าข่าวสารที่เราดูนั้นมันสามารถบิดเบือนกันได้
ข่าวที่รายงานอะไรพร้อมภาพที่น่าเชื่อถือเราก็เชื่อ ไม่เคยคิดเลยว่าหลายๆสำนักข่าวจะมีผู้สนับสนุน และพร้อมที่จะให้ข่าวบิดเบือนหรือแม้แต่ละเว้นการรายงาน เพื่อผลประโยชน์ของผู้สนับสนุน และรวมถึงทำให้เกิดผลกระทบต่อฝ่ายตรงข้าม
การทำโทษด้วยการตี ปลูกฝังให้เราเชื่อว่า ความรุนแรงนั้นเป็นวิธีแก้ปัญหาที่ถูกต้อง และเป็นวิธีเดียวที่จะแก้ปัญหาได้
หนัง ละคร ที่เราดูสมัยนั้น พระเอกก็ต้องตบจูบ แล้วจึงลงท้ายด้วยความรักตอนจบ ละครทีวีก็มีแต่ ตบตีแย่งชิงผู้ชาย มันสนุกและน่าติดตามกว่าข่าวการเมืองซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเบื่อ
ความรุนแรงเหล่านี้ ถูกสะสมและปลูกฝังในความคิดความรู้สึกเราอย่างไม่รู้ตัว และมันก็ทำให้เราคิดว่า การทหารที่ออกมายิง ป ร ะ ช า ช น มื อ เ ป ล่ า เป็นเรื่องธรรมดาและเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว😢😢
เราได้คุยกับชาวสวีดีสบางคน พวกเขาคิดอย่างไงกับการประท้วงเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยในประเทศไทย
พวกเขาทุกคนตอบเสียงเดียวกันว่า มันเป็นเรื่องที่ถูกต้องที่ประชาชนจะสามารถออกมาเรียกร้อง ซึ่งรัฐบาลควรที่จะรับฟัง ไกล่เกลี่ย และหาวิธีแก้ไข ไม่ควรใช้กำลังปราบปราม คุกคาม หรือ จับกุม 👍🏻
2
เราถามเขาว่า พวกเขาคิดว่าชาวสวีดีสคนอื่นๆ จะคิดเหมือนที่พวกเขาคิดไหม? หรืออย่างไร? ทุกคนตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า “พวกเขาเชื่อว่า มันไม่ใช่แค่กับชาวสวีดีสคนอื่นๆเท่านั้น แต่เป็นคนส่วนใหญ่ในโลกนี้ที่เข้าใจประชาธิปไตยอย่างแท้จริง พวกเขาจะคิดและตอบเช่นเดียวกัน” ❤️
2
อยากให้ประเทศไทยเป็น "สยามเมืองยิ้ม" เหมือนเดิม : https://www.winnews.tv/news/1226
ชาวสวีดีสที่เราคุยด้วย หลายๆคนเคยไปเที่ยวเมืองไทย พวกเขาบอกว่าพวกเขาชอบและประทับใจคนไทย ที่คนไทยยิ้มแย้มแจมใส ใจดี มีน้ำใจชอบช่วยเหลือ และ เป็นมิตร ชาวสวีดีสทั้งที่เคยไปเมืองไทยและไม่เคยเข้าใจเยาวชนที่เรียกร้องประชาธิปไตย และเป็นกำลังใจให้ 😍
เรามีลูกที่ตอนนี้เรียนอยู่ ป.5 เวลาคุยถึงข่าวหลายๆ ครั้ง เขาจะสามารถร่วมสนทนาได้ เราถามเขาว่ารู้มาจากไหน เพราะไม่ได้ดูที่บ้าน เขาบอกว่าทุกอาทิตย์พวกเขาจะมีกิจกรรมดูข่าว 1 คาบเรียน
เป็นรายการสรุปข่าวสำคัญในรอบหนึ่งอาทิตย์ ทั้งข่าวในประเทศและข่าวรอบโลก หลังจากดูข่าวทุกครั้ง พวกเขาจะได้ตอบคำถามเกี่ยวกับข่าวที่ดู นอกจากนั้นยังมีโปรแกรมข่าวสำหรับเด็กที่สามารถดูที่บ้านได้ 👦🏻👧🏻
ส่วนการเมืองเขายังไม่ได้เรียน แต่ได้เรียนประวัติศาสตร์ในประเทศ และเริ่มเรียนประวัติศาสตร์ต่างประทศใกล้ๆสวีเดนบางส่วน เราเชื่อว่าอีกไม่นานลูกเราจะได้เรียนเกี่ยวกับระบบการปกครองแบบต่างๆ และรวมถึงระบบประชาธิปไตย
สิ่งที่ทำให้เราเชื่อ เพราะชาวสวีดีสส่วนใหญ่มีความรู้เรื่องนี้ และพวกเขาให้ความสนใจการเมือง ซึ่งสังเกตจากการการตื่นตัวในการเลือกตั้ง มีความสนใจ ดู และติดตามข่าวสารบ้านเมืองอย่างสม่ำเสมอ เรื่องราวข่าวสารที่เกิดขึ้นทั้งในประเทศและรอบโลกเป็นหนึ่งในเรื่องทอปออฟเดอทาวของพวกเขา
ระบบการศึกษาของเขาออกแบบมาเพื่อสนับสนุนความเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง การให้ความรู้ การฝึก และการกระตุ้นให้เด็กๆ สนใจข่าวสารและการเมือง ทำให้เด็กๆซึ่งกำลังจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในอนาคต กลายเป็นประชากรที่มีความรู้ ความสามารถ และมีวิจารณะญาณ เพื่อช่วยกันตรวจสอบการทำงานของผู้บริหารประเทศในต่อไปอนาคต ❤️
การได้มาอยู่สวีเดน ทำให้เราเข้าใจว่ารัฐประหารนั้นไม่ใช่วิถีของประชาธิปไตย และทำให้เราเข้าใจแล้วว่า “การเมืองนั้นมีความสำคัญกับมนุษย์ทุกคน ตั้งแต่เกิดจนกระทั่ง วันที่จากโลกนี้ไป” 😮
1
ตอนเกิดก็เกี่ยวข้องกับโรงพยาบาล โรงพยาบาลมีคุณภาพมีมาตราฐานอย่างไร มีราคาค่ารักษาเท่าไหร่ ผ้าอ้อมราคาเท่าไร พอโตขึ้นมาก็ต้องเรียนหนังสือ โรงเรียนจะมีมาตรฐานอย่างไร มีค่าเทอมเท่าไหร่
พอทำงานค่าแรงงานจะได้เท่าไร จะพอใช้จ่ายทั้งเดือนและเหลือเก็บไหม ค่าน้ำมันรถ ค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า ค่ายาสีฟัน จะมีราคาเท่าไหร่ จนถึงเมื่อจากโลกนี้ไปเราก็ต้องใช้โลง
ทุกอย่างที่เราซื้อ เราใช้ เราจ่ายด้วยเงิน และในนั้นมีภาษีเสมอ แม้เราอาจจะไม่รู้สึกตัวว่าเราได้จ่ายภาษี แต่ภาษีนั้นกลายเป็นเงินจำนวนมากมายมหาศาล และ อยู่ในมือของรัฐบาลซึ่งทำหน้าที่บริหารภาษี่นั้น 🔺
ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตเราตั้งแต่เกิดจนตายจะมีคุณภาพ ประสิทธิภาพ หรือไม่อย่างไร ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการบริหารประเทศของรัฐบาล
หลายสิบปีที่ผ่านมา โลกพัฒนาเปลี่ยนแปลงไปมากมาย แต่เด็กๆ วันนี้ พวกเขายังคงได้รับการเรียนการสอนระบบเดิมๆ ที่เราเรียนกันในอดีต มันควรจะถึงเวลาหรือยัง ที่คำเรียกร้องของเด็กๆ เพื่อการปฏิรูประบบการศึกษาจะได้รับการสนับสนุน👦🏻👧🏻
4
ประเทศสวีเดนและทุกประเทศที่พัฒนาแล้ว ต่างให้ความสำคัญกับระบบการศึกษา ระบบจะถูกออกแบบมาเพื่อสนับสนุนให้ประชาชนมีความรู้ ความสามารถอย่างเต็มประสิทธิภาพ และสนับสนุนความเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง
แม้จะมีระบบที่ดีอยู่แล้ว กระนั้นพวกเขาก็ยังมีการศึกษาเพิ่มเติมสม่ำเสมอ เพื่อปรับปรุงเปลี่ยนแปลง และพัฒนาให้ได้ระบบการเรียนการสอนที่ทันสมัยที่สุดและทันต่อสถานการณ์โลกปัจจุบัน
https://prachatai.com/journal/2020/10/90095
การที่ประเทศหยุดอยู่กับที่ด้วยคำว่า “ประเทศที่กำลังพัฒนา” มานานนับสิบๆปี ทำให้เรามีปัญหามากมายที่ฝังรากลึกอยู่ในสังคม การจะก้าวออกจากคำคำนี้ ต้องปรับปรุง เปลี่ยนแปลง ปฏิรูป ปัญหาเหล่านั้น และหนึ่งในสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ “การปฏิรูประบบการศึกษา” ถ้าไม่เปลี่ยนแปลงวันนี้ วันที่ "ผู้เรียน" ต้องการและร้องขอ แล้วเราจะทำกันวันไหน...
ยังมีเรื่องราวมาเล่าสู่กันฟังอีกมากมายหลายมุมมอง ขอบคุณทุกท่านที่อ่านมาถึงตรงนี้ แล้วแว๊บๆ มาคุยกันอีกนะ บายๆ 🤗🤗
อ่านเรื่องราวอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
🌼 “เชื่อฟัง - ฟังแล้วเชื่อ” ฝรั่ง VS ไทย ฝรั่งสอนเด็กในเรื่องนี้อย่างไร
🌼 "โรงเรียน" ฝรั่ง VS ไทย ระบบโรงเรียนฝรั่งกับไทย
ปล.
บทความนี้เขียนจากประสบการณ์ของเราเอง ไม่มีจุดประสงค์จะพาดพิงใคร ไม่สามารถสรุปว่าคนอื่นจะคิดหรือเป็นเหมือนเรา บทสรุปคำพูดของชาวสวีดีส เป็นเพียงความคิดของชาวสวีดีสที่เราคุยด้วยเท่านั้น ไม่สามารถสรุปว่าทุกคนคิดแบบเดียวกัน
🌼สิ่งที่เรากล่าวค้างไว้ในตอนนี้ จะอยู่ในตอนต่อไปชื่อตอน “การเรียกร้องประชาธิปไตย” ซึ่งจะเล่าถึง
👉🏻 อะไรที่ทำให้เราเชื่อว่าเราเข้าใจผู้ประท้วงผิด
👉🏻 ทำไมชาวสวีดีสจึงคิดว่าการประท้วงเป็นสิ่งที่ถูกต้อง
👉🏻 ประเทศสวีเดนมีการประท้วงหรือไม่ บ่อยแค่ไหน
👉🏻 เมื่อประเทศของเขามีการประท้วง รัฐบาลของเขาจัดการกับปัญหานี้อย่างไร
🐌 หลายคนที่อ่านถึงตรงนี้คงไม่แน่ใจว่าจะเรียกเราว่าอะไรดี จะเรียกพี่ เรียกน้อง ป้า น้า อา แม่ หรือ ยาย (มีอีกไหม)😅
ตอนก่อนเริ่มเขียนก็คิดอยู่ว่าจะเรียกตัวเองว่าอะไร 🤥 เพราะคิดว่าน่าจะมีผู้อ่านหลายรุ่นในนี้ แต่พอนึกถึงความสนุก อรรถรสในการเล่า และความเป็นกันเอง ก็นึกถึงการคุยกับเพื่อน ก็เลยจิตนาการว่ากำลังพูดคุยกับ “เพื่อนคนไทย” และเรียกตัวเองว่า “เรา” 😁
ลูกๆ หลานๆ น้องๆ และ พี่ๆ อยากจะคุยแบบเพื่อนก็ยินดีเลยนะคะ 😍 หรือจะเรียกตามลำดับอายุก็ตามสบายคะ 😍 และเรียกชื่อ อเล็กซ์ ได้เลยคะ ส่วนตัวเองขออนุญาตลืมอายุ และเรียกตัวเองว่า "เรา" ต่อไปนะคะ 😮 หรือถ้ามีใครมีคำแนะนำอะไรดีๆ ก็ช่วยแนะนำด้วยนะคะ 😊
โฆษณา