Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
changsuek
•
ติดตาม
24 พ.ค. 2021 เวลา 04:00 • กีฬา
ปฐมพล เจริญรัตนาภิรมย์ “ผมฝันอยากพาทีมชาติไทยไปฟุตบอลโลก”
#ช้างศึก x Play Now Thailand
#ChangsuekAttitude
หลังจากสร้างผลงานโดดเด่นกับทีมโปลิศ เทโร เอฟซี “มิคกี้” ปฐมพล เจริญรัตนาภิรมย์ ก็ถูกทีมใหญ่อย่างบีจี ปทุม ยูไนเต็ด ดึงตัวเข้าร่วมสังกัดในช่วงเลกสองของฤดูกาล 2020/21
เขาใช้เวลาไม่นานก็ปรับตัวจนกลายเป็นส่วนสำคัญในเกมรุกของทีม กระทั่ง “กระต่ายแก้ว” สามารถคว้าแชมป์ไทยลีกครั้งแรกของสโมสรไปครองได้อย่างยิ่งใหญ่ บางคนบอกว่าเขาโชคดีที่เพิ่งย้ายมาไม่นานก็ได้แชมป์ลีกสูงสุดร่วมกับทีมทันที
แต่หลายคนอาจยังไม่รู้ว่า สาเหตุหนึ่งที่ปฐมพลเลือกมาที่บีจี เพราะเขาคิดว่าหากสามารถเบียดแทรกเป็นตัวจริงของทีมมาตรฐานสูงขนาดนี้ได้ เท่ากับช่วยการันตีระดับหนึ่งว่าเขาก็มีสิทธิ์ติดทีมชาติไทยได้เช่นกัน
ปฐมพลบอกว่าเขาไม่ต่างจากนักฟุตบอลหลายๆ คนที่ฝันอยากติดทีมชาติ แต่แท้จริงความฝันของเขาไปไกลและทะเยอทะยานยิ่งกว่านั้น เพราะเขาตั้งเป้าหมายอย่างหนึ่งในชีวิตไว้ว่า สักวันจะพาทีมชาติไทยไปฟุตบอลโลกให้ได้
ปฐมพลบอกว่าเขาไม่ต่างจากนักฟุตบอลหลายๆ คนที่ฝันอยากติดทีมชาติ แต่แท้จริงความฝันของเขาไปไกลและทะเยอทะยานยิ่งกว่านั้น เพราะเขาตั้งเป้าหมายอย่างหนึ่งในชีวิตไว้ว่า สักวันจะพาทีมชาติไทยไปฟุตบอลโลกให้ได้
หากถามปฐมพลว่ามุ่งมั่นจะเอาดีด้านฟุตบอลมาตั้งแต่เมื่อไร เขาเผยว่าในวัยเด็กยังวิ่งเล่นเตะฟุตบอลด้วยความสนุกล้วนๆ กับเพื่อนในโรงเรียนย่านลาดพร้าว ใกล้บ้านของเขาที่กรุงเทพฯ
กระทั่งลุงคนหนึ่งแนะนำให้ลองไปทดสอบฝีเท้ากับโรงเรียนอัสสัมชัญธนบุรี เขาผ่านการคัดตัวได้เข้าศึกษาชั้นมัธยมต้น โดยไม่เคยรู้มาก่อนด้วยซ้ำว่าโรงเรียนแห่งนี้โด่งดังแค่ไหนในวงการฟุตบอลนักเรียน
ทว่าหลังจากนั้นก็ต้องเล่นฟุตบอลเต็มตัว กระทั่งเข้าสู่ช่วงมัธยมปลาย ปฐมพลพัฒนาฝีเท้ากระทั่งทีมเอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ดให้ความสนใจ ดึงตัวไปอยู่ในอะคาเดมีของสโมสร นับเป็นก้าวแรกบนเส้นทางสู่การเป็นนักฟุตบอลอาชีพ
“ตอนนั้นทีมเมืองทองมีแต่ซุปเปอร์สตาร์ทั้งนั้น พวกพี่โก้ (ดัสกร ทองเหลา) พี่แป๊ะ (พิชิตพงษ์ เฉยฉิว) พี่มุ้ย (ธีรศิลป์ แดงดา) พี่ใหม่ (ภานุพงศ์ วงศ์ษา) แล้วด้วยเรายังเป็นเด็ก แค่ไปซ้อมกับเขายังรู้สึกเกร็ง ผมว่าด้วยวัฒนธรรมไทยที่สอนให้ต้องนอบน้อมรุ่นพี่ แล้วพอลงไปในสนามแข่งก็กดดันมาก เพราะเล่นให้ทีมใหญ่ที่ทุกคนจับตามอง เลยทำให้ไม่เป็นตัวของตัวเอง แต่ถึงยังไงผมก็มีความสุขนะที่ได้อยู่ในห้องแต่งตัวนั้น มันเป็นความฝันของเราที่อยากมาถึงระดับนี้ เหมือนที่เคยตั้งใจว่าสักวันจะมาเล่นกับพวกพี่เขาให้ได้”
ช่วงที่ปฐมพลยังอยู่ในสัญญากับทีมเมืองทอง ระหว่างปี 2012-2016 กล่าวได้ว่าเขายังแทรกเข้ามาสู่ตัวจริงไม่ได้ และถูกปล่อยยืมตัวไปเล่นให้กับหลายสโมสรทั้ง อัสสัมชัญ ยูไนเต็ด, นครนายก เอฟซี, สมุทรสงคราม เอฟซี, อยุธยา เอฟซี และ พัทยา ยูไนเต็ด
“ผมเลือกที่จะขอเขาออกไปด้วย เพราะในตอนนั้นเมื่อมองตัวเอง เราก็ยังไม่พร้อม ผมว่าอยู่ในจุดที่เราควรจะอยู่ก่อนดีกว่า” ปฐมพลเผย “แต่ข้อดีคือ เราได้เรียนรู้ในวิถีฟุตบอลทุกระดับของประเทศ ผมว่านักเตะดังๆ อาจไม่เคยได้รู้ว่าลีกรากหญ้าเป็นยังไง ไม่รู้ว่าลีกรองเป็นยังไง แต่สำหรับผม เราไม่ได้เรียนรู้แค่ฟุตบอลเท่านั้น แต่ได้รู้วิถีชีวิตของแต่ละคนด้วย”
“การลงไปเล่นในดิวิชัน 2 ในตอนนั้นเป็นนักเตะภูธรทั้งหมด เราได้เห็นถึงความแตกต่างทั้งในและนอกสนาม ได้รู้ว่าพวกพี่ๆ นักเตะในลีกรองเป็นอย่างไร แล้วพี่ๆ ในทีมเมืองทองชุดใหญ่เขาทำตัวอย่างไรถึงอยู่จุดนั้นได้ เหมือนเราได้เห็นความคิดของคนที่ไม่เหมือนกัน”
“มันเลยทำให้ผมรู้สึกว่า เพราะความคิดต่างกัน จุดที่ยืนก็เลยต่างกัน ผมว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีมากเลยครับ”
ปฐมพลบอกว่ามันเป็นประสบการณ์ที่คุ้มค่า เพราะทำให้เขาเข้าใจได้ว่า สิ่งสำคัญที่สุดในการเป็นนักฟุตบอลอาชีพ ก็คือ “ความคิด” หรือทัศนคติของนักเตะแต่ละคนนั่นเอง
หลังจากปฐมพลหมดสัญญาและแยกย้ายจากทีมกิเลนผยอง เขาพเนจรขึ้นเหนือไปร่วมทีมเชียงราย ยูไนเต็ด ก่อนถูกปล่อยยืมตัวมาเล่นให้กับโปลิศ เทโร เอฟซี
สาเหตุที่ผลงานของนักเตะหนุ่มรายนี้ยังไม่ทะลุไปถึงระดับที่เจ้าตัวมุ่งหวังในช่วงเวลานั้น อาจเป็นเพราะอาการบาดเจ็บที่เกิดกับเขาเป็นระยะ
“ผมเคยบาดเจ็บจากกระดูกบริเวณฝ่าเท้าแตกครั้งแรกตอนที่อยู่ทีมเมืองทองครับ มันเป็นรอยร้าว ตอนนั้นเรามีชื่อติดทีมชาติชุดปรีโอลิมปิกด้วย ก็ต้องถอนตัวออกมา แล้วเจ็บครั้งที่สองตอนอยู่ทีมเชียงราย กระดูกแตกเหมือนเดิมอีก และเจ็บซ้ำครั้งที่สามตอนอยู่ที่เทโร มันมีผลต่อจิตใจตรงที่เรารู้สึกเสียดายโอกาส เสียดายจังหวะที่กำลังได้เล่น ก็ต้องหยุดพักมาฟื้นฟูร่างกาย”
“แต่ถ้ามองในแง่บวก มันทำให้เราแข็งแกร่งขึ้น ไม่ว่าเจอกับอะไร เราจะสู้ ตอนเจ็บผมบอกกับตัวเองว่า คงยังไม่ใช่วันของเรา หรือไม่ฟ้าคงกำหนดมาให้เราเจ็บในวันนี้ เพื่อจะเล่นได้ดีในวันหน้า คือคิดให้กำลังใจตัวเองประมาณนี้ สอนให้ตัวเองคิดบวก ดีกว่ามานั่งคิดลบ อย่างน้อยเราสู้มาขนาดนี้ ไม่มีใครเจอแต่เรื่องดีๆ ตลอดเวลา ทุกคนต้องเคยผ่านช่วงร้ายๆ ของชีวิตกันทั้งนั้น”
กระทั่งเมฆหมอกแห่งอุปสรรคผ่านพ้นไป ในช่วงที่ปฐมพลมาเล่นให้กับทีมโปลิศ เทโร เอฟซี ผลงานในสนามแข่งของเขาเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ จนโดดเด่นเป็นที่รับรู้ของแฟนบอล
“ต้องขอขอบคุณโค้ช (โค้ชอ้น-รังสรรค์ วิวัฒน์ชัยโชค) และผู้ใหญ่ของทีมที่ให้โอกาสเราจริงๆ การลงสนามสม่ำเสมอสำคัญที่สุด ทำให้ผมมาได้เรื่อยๆ แล้วพอมีคนสอน โค้ชให้คำแนะนำที่ดี เราก็พัฒนาขึ้น”
“ตอนนั้นผมย้ายไปร่วมทีมเทโรในเลกสอง (ฤดูกาล 2018) คือจะไปช่วยเขาให้รอดในไทยลีก แต่ทำไม่ได้ ทีมตกชั้น ปีต่อมาผมตัดสินใจอยู่กับเทโรต่อ เพื่อที่จะลบล้างความรู้สึกของตัวเอง คือคนอื่นอาจไม่สนใจหรอกว่าใครทำทีมตกชั้น แต่ผมรู้สึกว่าเราอยู่ในทีมชุดนั้น ผมก็ขอเป็นคนหนึ่งที่มีส่วนทำให้ทีมกลับขึ้นมาไทยลีกได้”
ในฤดูกาล 2019 โปลิศ เทโร เอฟซีร่วงลงไปอยู่ลีกรองแค่ปีเดียว ปฐมพลและเพื่อนนักเตะมังกรไฟก็ช่วยกันพาทีมทะยานกลับสู่ไทยลีกได้สำเร็จ
“พอทีมเทโรขึ้นชั้นได้ มันเหมือนปลดล็อกความรู้สึกของผมทุกอย่าง ผมคิดว่าแค่นี้ผมมีความสุขแล้ว แม้ตอนเปิดฤดูกาลใหม่ผมต้องเจ็บไป แต่บังเอิญมีโควิดเข้ามา (ต้นปี 2020) ผมเลยได้พักพอดี แล้วพอไทยลีกกลับมาเตะอีกครั้งก็อย่างที่เห็น ผมเล่นเต็มที่ ทุ่มเททุกอย่างเพื่อทีมนี้... ถ้าใครมาถามผมตอบได้เลยว่า โปลิศ เทโร เอฟซีเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการเล่นฟุตบอลอาชีพของผมเลยครับ”
กระทั่งเลกที่สองของไทยลีกฤดูกาล 2020/21 ถึงเวลาแห่งความเปลี่ยนแปลงของปฐมพลอีกครั้ง ไปสู่จุดหมายใหม่ที่มีการแข่งขันสูงกว่าเดิม แต่ก็ท้าทายให้อยากไปพิสูจน์ตัวเอง
ถึงแม้เขาเคยมีประสบการณ์แทรกเป็นตัวจริงไม่ได้ในทีมใหญ่อย่างกิเลนผยอง แต่การย้ายมาสู่บีจี ปทุม ยูไนเต็ด ในครั้งนี้ต่างออกไป
“คราวนี้เราไม่ใช่เด็กแล้ว เป็นผู้ใหญ่พอจะรู้ว่านี่คือฟุตบอลอาชีพ เวลาซ้อมผมเต็มที่นะ ไม่ว่ารุ่นพี่รุ่นน้อง แต่เราให้เกียรติทุกคน ถ้าเตะโดนใครผมขอโทษเขา ทำทุกอย่างไปตามธรรมชาติ ผ่อนคลายและก้มหน้าทำงานหนักแค่นั้นเอง”
“แล้วพอเรามาอยู่ทีมที่ใหญ่ขึ้น คุณภาพของฟุตบอลก็สูงขึ้นตามสภาพทีม เวลาลงแข่ง เราต้องเน้นมากขึ้นในทุกๆ จังหวะที่เล่น ซึ่งตอนที่อยู่ทีมเทโร พอถึงจุดที่รู้สึกว่าทำผลงานได้ในระดับหนึ่งแล้ว เราก็ผ่อนตัวเองบ้างในบางครั้ง แต่พอเล่นให้บีจี ด้วยสถานการณ์ของทีมลุ้นแชมป์ และการแข่งขันภายในทีมมีสูง เพราะแต่ละคนเก่งๆ ทั้งนั้น ถ้าเราอยากจะอยู่ อยากได้ลงเล่น มันก็ต้องสู้ นี่ล่ะครับที่ผลักดันให้เราพัฒนาตัวเอง”
แฟนบอลทีมกระต่ายแก้วคงประจักษ์ดีว่า ปฐมพลในตำแหน่งริมเส้นทำเกมรุกทะลุทะลวงบรรดาทีมคู่แข่งได้อย่างน่าจับตา จนกลายเป็นอีกส่วนสำคัญที่ช่วยพาทีมไปสู่เป้าหมายที่ทุกคนรอมานาน คือการคว้าแชมป์ไทยลีกครั้งแรกของสโมสรได้สำเร็จ
“ผมมาเล่นให้บีจีช่วงเลกสองแล้วทีมได้แชมป์ เราดีใจนะว่าเป็นเกียรติประวัติในชีวิตที่มีโอกาสได้แชมป์ไทยลีกครั้งแรก แต่ผมยังไม่ได้รู้สึกอิ่มตัว หรือมีความสุขแบบเต็มร้อย เพราะตอนที่เรามาถึง ทีมก็ยึดอันดับหนึ่งอยู่แล้ว ก็เลยคิดว่าในปีหน้าจะเป็นการเริ่มต้นของเราจริงๆ มากกว่า ผมมาที่นี่เพื่อจะเปลี่ยนเกมยากๆ ให้เป็นเกมที่ดีขึ้น แล้วถ้าเราสามารถป้องกันแชมป์ได้ ผมจะภูมิใจมาก เพราะเป็นผลงานของเราแบบเต็มๆ แล้ว”
นอกจากนั้นปฐมพลยังเผยว่า “อีกอย่างหนึ่ง ในวันที่ผมตัดสินใจไปบีจี ผมไม่ได้คิดว่าจะมาคว้าแชมป์ คนอาจจะบอกว่า ผมมาถึงก็ได้แชมป์เลย แต่ผมไม่ได้มองตรงนั้น ผมตั้งใจว่าจะมาแข่งกับเพื่อนร่วมทีม คือถ้าผมเบียดแย่งตำแหน่งตัวจริงในทีมบีจีได้ ผมก็มีโอกาสติดทีมชาติเหมือนกัน เพราะในทีมก็มีทีมชาติอยู่หลายคน”
ปฐมพล เจริญรัตนาภิรมย์ เคยมีโอกาสติดทีมชาติไทยชุดใหญ่ครั้งแรก ในเกมอุ่นเครื่องกับทีมนครปฐม ยูไนเต็ด เมื่อปีก่อน
ในปีนี้โค้ช อากิระ นิชิโนะ ก็ให้โอกาสเขาอีกครั้ง เป็นหนึ่งในนักเตะที่ถูกเรียกเข้าแคมป์เก็บตัวทีมชาติไทย เตรียมไปสู้ศึกฟุตบอลโลก 2022 รอบคัดเลือก รอบ 2 โซนเอเชีย ที่ประเทศยูเออี ในเดือนมิถุนายน
“ผมดีใจทุกครั้งที่มีชื่อเข้ามารับใช้ชาติ ผมว่านักบอลทุกคนก็ฝันแบบนี้ ผมเป็นหนึ่งในคนที่ถูกเรียกเข้ามาเก็บตัว แค่นี้ก็มีความสุขมากๆ ครับ”
อย่างไรก็ตามเขายังเผยความคิดฝันส่วนตัวที่ไปไกลยิ่งกว่านั้น “ความจริงผมมีเป้าหมาย 3 อย่างคือ อยากติดทีมชาติไทย อยากไปเล่นฟุตบอลในลีกต่างประเทศ อีกอย่างคือ ผมฝันอยากพาทีมชาติไทยไปฟุตบอลโลก”
“คือผมรู้สึกแย่ทุกครั้งเวลาได้ยินใครพูดทำนองว่า ถ้าไทยได้ไปบอลโลก ประเทศอื่นคงไปเล่นนอกโลกกันแล้ว หรือไม่ก็ ไทยจะได้ไปบอลโลก ก็ต้องเป็นเจ้าภาพจัดบอลโลกเอง ผมแค่รู้สึกว่า คุณเป็นคนไทยแท้ๆ ยังตั้งต้นคิดแบบนี้ แล้วเราจะไปได้อย่างไร”
“ผมไม่โกรธที่เขาคิดแบบนั้น แต่ผมอยากจะเปลี่ยนความคิดเขามากกว่า ผมว่าถ้าผมได้เล่นทีมชาติ ผมทำได้ สักวันหนึ่งผมจะช่วยพาทีมชาติไทยไปฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายให้ได้” เขาพูดด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่น
บางคนได้ฟังคำกล่าวนี้อาจคิดว่าเป็นเรื่องเพ้อฝัน เพราะมันช่างยากเย็นแสนเข็ญ ถึงขั้นเป็นไปไม่ได้ แต่ใครจะรู้แน่ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร หากไม่ได้สู้เสียก่อน อย่างที่ปฐมพลบอกไว้ว่า
“ทุกคนมีฝัน เรามองความฝันของเรา แล้วทำให้เต็มที่ ผมว่าคงไม่มีใครที่วิ่งจ๊อกกิ้งแล้วไปถึงฝันได้ คงต้องวิ่งเต็มร้อยเท่านั้น มีเท่าไหร่ใส่ให้หมด ผลจะออกมายังไงก็ไม่ต้องเสียใจ”
1 บันทึก
2
1
2
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย