30 พ.ค. 2021 เวลา 13:40 • อาหาร

ติดเตาเล่าเรื่อง l ขนมครก

"บ้านหม้อปั้นหม้อข้าวหม้อแกงใหญ่เล็ก แลกระทะเตาขนมครกขนมเบื้อง"
คำให้การขุนหลวงหาวัด เนื้อหาเกี่ยวกับพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ที่ปรากฏเป็นหลักฐานว่า ขนมครก เป็นที่นิยมแพร่หลายมาตั้งแต่สมัยอยุธยา อันเป็นเครื่องแสดงให้เห็นว่ามีการทำเตาขนมครกขายตั้งแต่ยุคนั้น
Credit photo by : Internet
ขนมครก เป็นขนมไทยโบราณชนิดหนึ่งที่ผูกพันมากับวิถีชีวิตของคนไทยมาช้านาน เดิมทีนั้นทำจากแป้งน้ำตาลและกะทิ แล้วเทลงบนเตาหลุม เวลาจะรับประทานต้องแคะออกมาเป็นแผ่นวงกลม แล้วมักวางประกบกันตอนรับประทาน มีขายอยู่ดาษดื่นตามตลาดและริมทางโดยเฉพาะในช่วงเช้า ถึงแม้ยุคนี้อาจจะแพร่หลายน้อยลง เนื่องจากมีขนมอื่น ๆ หลากหลายสัญชาติมาแทนที่ไปบ้าง แต่ก็ยังพอเห็นอยู่ทั่วไปโดยเฉพาะอย่างยิ่งในต่างจังหวัด
นอกจากนี้ยังพบในพม่า ซึ่งเรียกว่า โมก หลีน-มะย้า แปลว่า ขนมผัว-เมีย ลาว เรียก ขนมคก และอินโดนีเซียซึ่งเรียกว่า เซอราบี (serabi)
ขนมครกแต่เดิมใช้ข้าวเจ้าแช่น้ำโม่รวมกับหางกะทิ ข้าวสวย และมะพร้าวทึนทึกขูดฝอย ผสมเกลือเล็กน้อยใช้เป็นตัวขนม ส่วนหน้าของขนมครกเป็นหัวกะทิ
ขนมครกชาววังจะมีการดัดแปลงหน้าขนมครกให้แปลกไปชวนรับประทาน เช่น หน้ากุ้ง (แบบเดียวกับข้าวเหนียวหน้ากุ้ง) หน้าไข่ หน้าหมู (แบบเดียวกับไส้ปั้นสิบ) หน้าเผือก หน้าข้าวโพด หน้าต้นหอม หรือหน้าอื่น ๆ แล้วแต่จะรังสรรค์
Credit photo by : Internet
ในสมัยพุทธกาล องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมแก่ท่านอนาถปิณฑิกะคฤหบดีผู้เป็นเอตทัคคะ ในทางถวายทาน มีรับรองอยู่ในพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๑ ชื่อ อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาติ เป็น สุตตันตปิฎกทุติยปัณณาสก์ หมวด ๕๐ ที่ ๒ วรรคที่ ๑ ชื่อ ปุญญาภิ สัณฑวรรค ว่าด้วยความไหลมาแห่งบุญ และทรงตรัสตอบปุจฉาของพระนางสุมนาราชกุมารี พระราชธิดาของพระเจ้าปเสนทิโกศล มีบันทึกในพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๒ ชื่อ อังคุตตรนิกายปัญจกฉักกนิบาติ เป็นสุตตันตปิฎก ปฐมปัณณาสก์ หมวด ๕๐ ที่ ๑ วรรคที่ ๔ ชื่อ สุมณวรรค ว่าด้วยนางสุมนาราชกุมารี
ความว่า "การถวายอาหารโดยกุศลจิตที่ตั้งไว้ดีแล้ว ชื่อว่าให้ อายุ ผิวพรรณ ยศ สุข กำลัง ปณิธาน แล ความเป็นใหญ่ย่อมได้รับผลตามเจตนาแห่งกุศลอันดีแล้ว เป็นความสุขอันหาได้ยากของคฤหัสถ์" ประเพณีการทำบุญตักบาตรแด่หมู่สงฆ์ จึงปรากฏมีมาแต่สมัยพุทธกาลจนถึงปัจจุบัน
ด้วยอานิสงส์ของการทำบุญตักบาตร ครั้งเมื่อกรุงศรีอยุธยา จึงมีบันทึกในกฏมณเฑียรบาลว่าด้วยพระราชพิธี ๑๒ เดือน ปรากฏหลักฐานของสำนักในการตักบาตรขนมเบื้อง ครั้นเมื่อถึงเดือนอ้ายด้วยมีกุ้งชุกชุมเป็นจำนวนมากให้เกณฑ์ผ่ายในช่วยกันปรุงขนมเบื้องถวายพระบรมวงศาณุวงศที่ทรงผนวชแลพระราชาคณะ พระราชพิธีตักบาตรขนมเบื้องสืบทอดมาจนถึงปลายรัชสมัยรัชกาลที่ ๕ แห่งราชวงศ์จักรี
ในพ.ศ. ๒๔๔๙ หลวงปู่โห้ ภายหลังได้รับสมณศักดิ์เป็นพระครูสุนทรสุตกิจเป็นเจ้าอาวาสวัดแก่นจันทน์เจริญ ได้ชักชวนทายกทายิการ่วมกันตักบาตรขนมครกใน วันขึ้น ๘ ค่ำเดือน ๑๐ เลียนแบบมาจากประเพณีการตักบาตรขนมเบื้องของพระราชพิธีในวัง สืบทอดกันมาจวบจนปัจจุบันเป็นประจำทุกปี
Credit photo by : Internet
สูตรขนมครก โบราณ
ส่วนผสม ส่วนที่ ๑ ตัวขนมครก
๑. กะทิ ๑ ถ้วย
๒. แป้งข้าวเจ้า ๑ ถ้วย
๓. น้ำอุ่น ๑ ถ้วย
๔. น้ำปูนใส ๓ ช้อนโต๊ะ
๕. ข้าวสุก ๑/๔ ถ้วย
๖. กะทิ ๑/๔ ถ้วย (สำหรับใส่เครื่องโม่/ เครืองปั่น)
๗. น้ำตาลทราย ๔ ช้อนชา
๘. เกลือ ๑/๒ ช้อนชา
ส่วนผสม ส่วนที่ ๒ หน้าขนมครก
๑. กะทิ ๑ ถ้วย
๒. น้ำตาลทราย ๑/๔ ถ้วย
๓. เกลือ ๑ ช้อนชา
๔. แป้งข้าวเจ้า ๑ ช้อนโต๊ะ
๕. ต้นหอมซอย
วิธีทำ
๑. ทำส่วนผสมของตัวขนมครกก่อน ผสมกะทิ แป้งข้าวเจ้า น้ำอุ่น และน้ำปูนใสในชามผสม คนให้เข้ากัน
๒. นำข้าวสุกไปโม่ หรือปั่นในเครื่องปั่นโดยใส่น้ำกะทิ ๑/๔ ลงไป ตามด้วยน้ำตาลทรายและเกลือ ปั่นให้ข้าวละเอียด เทส่วนผสมนี้ลงชามกะทิของข้อที่ ๑
๓. ทำหน้าขนมครกแยกไว้อีกหนึ่งชามโดยใส่กะทิ น้ำตาลทราย เกลือ และแป้งข้าวเจ้า คนให้เข้ากัน
๔. เตรียมกระทะหลุมสำหรับทำขนมครก ทาน้ำมันพืชให้ทั่วกระทะ เทกะทิที่เป็นตัวขนมลงไปก่อน เทให้เกือบถึงขอบหลุม
๕. ทิ้งไว้สักพักรอให้ตัวขนมสุกดี แล้วเทกะทิส่วนของหน้าขนมตามลงไป โรยด้วยต้นหอม
๖. เมื่อเริ่มเห็นว่าหน้าขนมเริ่มสุก ใช้ช้อนแคะขึ้นมาพักไว้รอเสิร์ฟได้เลยจ้า
ทั้งนี้ยังมีตำนานเล่าขานเกี่ยวกับขนมครกเพิ่มเติมอีกว่า...
ไอ้กะทิ ชายหนุ่มผู้โผงผางที่กำพร้าพ่อแม่ พบรักกับหนูแป้ง ลูกสาวคนสวยคนเดียวของผู้ใหญ่ปลั่งในวันลอยกระทง และขี่ควายสัญญาต่อหน้าพระจันทร์ “ไม่ว่าข้างหน้าจะมีอุปสรรคขว้างกั้นเพียงใด จะขอเอาความรักที่จริงใจฝ่าฟันไป” ต่อมาไอ้กะทิหนุ่มได้รวบรวมเงินที่มีนำมาสู่ขอลูกสาวกับผู้ใหญ่ปลั่ง แต่ก็ได้รับแต่คำปฏิเสธมาโดยตลอด และยังโดนส่งคนไปทำร้าย แต่ไอ้กะทิก็ไม่ถอนใจยังคงพยายามทำทุกอย่างให้ผู้ใหญ่ปลั่งใจอ่อน
จนมาวันหนึ่งผู้ใหญ่ปลั่งมีแผนคลุมถุงชนลูกสาวให้แต่งงานกับปลัดหนุ่มจากบางกอก เมื่อไอ้กะทิรู้ข่าวก็รีบมาที่งานแต่งเพื่อขัดขวาง ผู้ใหญ่ปลั่งรู้อยู่แล้วว่าไอ้กะทิต้องมา ตนจึงทำการขุดหลุมพรางรอไว้ หนูแป้งแอบได้ยินแผนร้ายเสียก่อน จึงรีบไปบอกไอ้กะทิ
ซึ่งในคืนนั้นเป็นคืนเดือนแรม หนูแป้งวิ่งฝ่าความมืดเพื่อดักรอไอ้กะทิ ชายหนุ่มเห็นหนูแป้งวิ่งมาก็ดีใจทั้งคู่กำลังจะโผกอดกัน ทันใดนั้นหนูแป้งก็ตกลงไปในหลุมพรางที่ผู้ใหญ่ปลั่งเตรียมไว้ ต่อหน้าต่อตาจึงรีบกระโดดลงไปช่วย แต่ยังไม่ทันจะช่วยขึ้นมาได้ ลูกสมุนของผู้ใหญ่ปลั่งก็ขุดดินกลบไอ้กะทิ โดยไม่รู้ว่าหนูแป้งลูกสาวผู้ใหญ่ปลั่งอยู่ในหลุมด้วย
พอรุ่งเช้าผู้ใหญ่ปลั่งสั่งขุดหลุมเพื่อดูผลงาน แต่ภาพที่เห็นกลับเป็นร่างลูกสาวนอนกอดกับไอ้กะทิตายด้วยความรัก ตั้งแต่นั้นความรักของหนูแป้งกับไอ้กะทิ จึงเกิดเป็นอนุสรณ์แห่งความรักและเป็นประเพณี ที่เกิดทุกๆ แรม ๖ ค่ำ เดือน ๖
ชาวบ้านที่ศรัทธาในความรักของทั้งคู่ จะเข้าครัวทำขนมที่หอมหวานปรุงจากแป้ง และกะทิ บรรจงหยอดลงหลุม พอสุกได้ที่ก็แคะจากหลุม แล้วนำมาวางคว่ำหน้าซ้อนกันเป็นสัญลักษณ์ว่า "จะได้อยู่ร่วมกันตลอดไป" ขนมนี้จึงถูกเรียกขานกันในนาม ขนมแห่งความรัก หรือ ขนม คนรักกัน ต่อมาถูกเรียกย่อๆ ว่า "ขนม ครก" นั่นเอง
Credit photo by : Internet
ไม่ว่าตำนาน ขนมครก หรือ ขนมคนรักกัน จะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ แต่เชื่อได้เลยว่า ถ้าครอบครัวไหนได้ลองย้อนอตีดทำขนมครกแบบโบราณรับลองได้เลยว่า ควารัก ความผูกพัน ย่อมเกิดขึ้นในครอบครัวแน่นอน
Baan Khun Yai-บ้านคุณยาย
รฤก รัก
Baan Khun Yai-บ้านคุณยาย
#ขนมไทย
#ขนมพื้นบ้าน
#ขนมครก
#ติดเตาเล่าเรื่อง
โฆษณา