Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
ป
ปกรณ์ ปราสาททอง
•
ติดตาม
31 พ.ค. 2021 เวลา 08:07 • ปรัชญา
ตัวยึดถือทำให้เกิดอะไร เรื่องราวอะไรบ้าง ..ตัวยึดทั้งสิ่งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต ทำให้เกิดทิฐิ สะสมทิฐิมากเข้าๆ. ตัวทิฐิที่สะสมในเรื่องราวต่างๆ ทิฐินำพาไปหาเรื่องราวของกรรม เราควรแก้ไขอย่างไร เพื่อถอดถอนความยึดที่จิตเราหลงไปยึดไปถือออก .. ...เพราะฉะนั้น..การกระทำก็ดี ทำสมาธิก็ดี ตั้งอกตั้งใจทำ ก็เพื่อไม่ให้เรามีทิฐินั้นเอง เมื่อเราได้สร้างทาน บุญกุศล มากเข้า จิตเราก็กว้าง..
... เรารู้แล้วว่าเมื่อตายแล้วไม่สูญ เมื่อตายแล้วไม่สูญ เมื่อตายไม่สูญ มันก็มีกายใหม่ๆ ให้เราใช้ กายใหม่ๆ ก็เกิดจากกายวาจาใจของเรา สะสมอะไร ก็ไปตามที่ กรรมของเราที่กระทำไว้
...เรื่องจิตมองดูจิต จิตจับจิต
การทำบุญด้วยนำกายบิดามารดา มาสร้างบุญกุศล ทำกายให้นิ่ง จิตให้นิ่งทำกาย ให้เป็นกายของพระ ทำรักษาใจมั่น กายนิ่ง จิตนิ่ง ด้วยความขันติอดทน
ในการทำงาน การแสวงหาปัจจัย ก็มีแต่เรื่องราวของกรรม เรื่องราวของความทุกข์ เมื่อจะมาทำบุญทั้งที สร้างบุญสร้างกุศล ด้วยความขันติอดทน เหมือนกับการทำงานเหมือนกัน นี่เค้าเรียกว่า เอากายวาจาใจที่เป็นกรรมมาทิ้ง ทิ้งอารมณ์กรรม ตัวกระทำของเรา ทิ้งออกไป ลอกคราบออกไป ทีละเล็กทีละน้อย อยู่ที่ว่าจิตของเราปล่อยวางได้ มากน้อยแค่ไหน ถ้ามาก เราก็ได้สิ่งที่ปลดปล่อยได้มากขึ้น
ในการกระทำแต่ละอย่างนั้น ก็อยู่ที่เรื่องราว ของจิตของเราทั้งนั้น ถ้าจิตของเราไม่มี ในเรื่องการปลดปล่อยกรรม อารมณ์ตัวกระทำก็เอาไปกินหมด.
....ทำทุกครั้งมันก็มีแต่ความทะเยอทะยาน (วิภาวะตัณหา) อยู่ตลอดเวลา
...จะเห็นว่าคนมากมายก่ายกองมีแต่ตัวยึดถือ (ภวตัณหา)
...เมื่อยึดเข้าไปแล้ว มีทิฐิเกิดขึ้น ทิฐิในโลภโกรธหลง สรรเสริญเยินยอ ลาภยศสรรเสริญ เป็นเรื่องทิฐิทั้งนั้น ไม่ได้เป็นเรื่องที่จะนำพาจิตของเรา ไปเว้นว่างเรื่องราวต่างๆ
...เพราะฉะนั้น..การกระทำก็ดี ทำสมาธิก็ดี ตั้งอกตั้งใจทำ ก็เพื่อไม่ให้เรามีทิฐินั้นเอง เมิ่อเราได้สร้างทาน บุญกุศล มากเข้า จิตเราก็กว้างเข้า
สมมุติว่าเราได้ทำทานให้กับผู้ที่อยู่ใกล้กับเรา เช่น ญาติพี่น้องอะไรทั้งหลายนี่ ก็หยิบยื่นอะไรทั้งหลาย เพื่อให้เค้าพ้นทุกข์ แต่ว่า จิตของเรา ทะเยอทะยาน ก็อยากให้ เค้ารู้จัก ประโยชน์ รู้จักการที่ให้ ความที่เราไปยึดอย่างนั้น ...คราวนี้ ถ้าเราไม่ได้ดังใจ เค้ากลับบอกว่า เมื่อให้แล้ว เค้าก็ไม่เหลียวแลเรา ไม่สนใจเรา อย่างนี้เราก็เสียใจ เราอุตส่าห์ ให้ช่ายเหลือ เกื้อกูล ทำไมไม่รู้จัก กตัญญูรู้คุณ ทำไมไม่นอบน้อมเลย แล้วเราก็ไปยึดตัวนั้นเกิดขึ้น ความทิฐิของเรา ก็มีความโกรธเกิดขึ้น ความไม่พอใจเกิดขึ้น ...
...นั่นเค้าเรียกว่า ทำทานแล้วได้กรรม เมื่อเราให้เค้าไปแล้ว เค้าจะมีความสุข ชั่วขณะหนึ่ง ก็เรื่องของเค้า เรามีหน้าที่จะทำจิตของเรา ให้มันกว้าง ให้อารมณ์มันกว้างออกไป เพื่อจะให้จิต มันเติบใหญ่ขึ้นมาในเรื่องการทำทาน ทำบุญกุศล ที่จะไม่ยึดเรื่องราวต่างๆ ที่เรามีอยู่ในวัตถุต่างๆนั้น
บางคนก็ยึดในสิ่งที่มีชีวิต บางคนก็ก็ยึดในสิ่งที่ไม่มีชีวิต มันยึดไปหมด ไม่มีอะไรที่ไม่มีตัวยึด ก็เลยต้องมาเกิด มายึดกันใหม่อีก ไม่รู้จักปลดปล่อยเรื่องราวของตัวยึด มียึดมากเท่าไหร่ ความทิฐิก็มีมากเท่านั้น
เมื่อทิฐิ..มันมาก การสร้างกรรม ก็มีมากเท่านั้น เมื่อกรรมมันเกิดขึ้น ส่งผลให้เห็นตัวเองดีแล้ว อวดดี ถือดีเกิดขึ้นในจิตใจของเรา นี่แหละ คือ เรื่องราวของไอ้ตัวทิฐิ ทิฐิทำให้เราต้อง มัวหมอง มีแต่เรื่องราวของกรรม ใส่เข้าไปทุกวันๆ ในที่สุด เราก็เป็นคนที่อารมณ์ร้าย อารมณ์ไม่ดี เห็นหน้าใครก็ไม่ค่อยพอใจ คนไหนมายกย่องสรรเสริญเยินยอ เราก็พอใจในสิ่งนั้น นั่นก็คือ เรื่องที่ไม่รู้จักตัวตนของเราเองว่า เราเกิดมาเพื่อต้องการ ให้สิ่งทั้งหลายเป็นทาน ต่อไปเมื่อเราให้เป็นวัตถุ ต่อไปเราให้อารมณ์เป็นทาน
เมื่อให้อารมณ์เป็นทาน ร่างกายของเราก็มีความสุขเกิดขึ้น
การที่ไม่ให้อารมณ์เป็นทาน มันก็ทำให้ อารมณ์ของเราไปยึดเรื่องราวต่างๆเกิดขึ้น เมื่อยึดมากเข้า มันก็ทำให้ ร่างกายเราพิกลพิการไปเรื่องราวต่างๆ แม้แต่ปัญญาอะไรต่างๆ มันก็แปรเปลี่ยนไปเรื่องราวต่างๆ นั่น
ในการที่จะยุติการกระทำอย่างนั้นได้ เราก็หมั่น สะสมบุญทีละเล็กทีละน้อย แม้แต่ไม่ใช้วัตถุ เราก็ใช้กายใช้ใจของเรานี้ มานั่งเฉยๆ มาสวดมนต์ แล้วนั่งเฉยๆ ไม่มีใครสั่งสอนอะไรก็ ไม่คิดอะไร เมื่อไม่คิดอะไร นั่นก็คิดการปล่อยกรรมของเราไป
การทีนั่งเฉยไม่ได้ มันมีแต่การคิดโน่นคิดนี้ คิดเรื่องโน่นเรื่องนี้ เราก็ไปหามา อุปโลกน์ขึ้นมาเป็นอารมณ์ต่างๆให้เกิดขึ้นแก่เรา ขวนขวยไปเอาสิ่งโน่นสิ่งนี้ขึ้นมา เหมือนกับเปรตกับอสุรกาย ที่เค้ามีความหิวโหย ที่เรียกว่าเค้ามีความทุกข์อย่างหนัก มีความทุกข์ถึงขนาดนั่น จะไปอุปโลกน์ทำไม เมื่อถึงเวลาทำงานเราก็ทำไป หน้าที่ต่างๆ แต่ยังไม่ทำงานเลย อุปโลกน์ว่าจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ยังไม่รู้จักอะไรเลย นั่นก็ทำให้เรา มัวแต่คิดเรื่องราวที่ตรงกันข้ามไปหมดวิตกกังวล ในที่สุด จิตของเราก็เป็นจิตมีแต่ความทุกข์ เพราะอารมณ์ส่งมาให้
การที่หยุดยั้งความทุกข์ได้ ก็หมั่นฝึก หมั่นประพฤติปฏิบัติ ตามรอยองค์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เค้ามีให้ตั้งสี่รอย
การเดิน..จงกรม เดินนิ่งๆ ถ้าจิตไม่นิ่ง ก็บอกตัวเอง นั้นมันเป็นกรรมนะ กายของสัตว์ต่างๆ เดินโยกไปโยกมา เดินตัวงอ ตัวหงิก โอ้ย ..เหมือนอะไรก็ไม่รู้อะไรต่างๆ เราเคยใช้อารมณ์ต่างๆ ที่เราไม่มาประพฤติปฏิบัติ เราก็ใช้ไปแล้ว ใช้ไปแล้ว มันเป็นทุกข์มั้ย ก็ถามตัวเอง ตอนนี้ เราไม่อยากมีทุกข์ เราอยากให้จิตเปจิตขึ้นม เราก็ทำเฉยๆ กายก็นิ่ง เดินไปเดินมา ...เดินไปเดินมา เดินจนมีปัญญาเกิดขึ้น เห็นมั้ย ขันติ..เป็นบารมีเกิดขึ้น
เมื่อเราเดินไปเดินมา กายก็บริสุทธิ์..จิตก็บริสุทธิ์ แล้วต่อไปต้องเกิดมาเดินอีกมั้ย มันก็ไม่ต้องเกิดมาเดินอีก มานั่ง มานอน อะไรต่างๆ นั่นคือ เรื่องราวของสิ่งที่เราต้องปลดปล่อย โดยการสร้างบุญบ้าง สร้างกายของเราให้เป็นบุญอะไรอย่างนี้เป็นต้น
แล้วสิ่งที่อารมณ์พาไปเนี่ย มันสร้างตัวยึด..ยึดมากเข้าๆ..ทิฐิมันก็เกิดขึ้น แม้แต่ไปอยู่ในสถานที่ ที่ไม่สมควร ก็เช่น ไปที่ลำบากลำบนเกิดขึ้น เราเคยกินดีอยู่ดี พอไปเจอ นอนดี พอไปเจอกับข้าวก็..ดูแล้วไม่น่ากิน อ้าว..มีแต่ข้าว..กับอย่างหนึ่ง ข้าวอย่างหนึ่ง ไอ้ความกินดีอยู่ดี ความยึด..การกินดีอยู่ดี หิวจะตายก็ไม่ยอมกิน ในที่สุดร่างกายต้องได้รับ ความทุกข์เกิดขึ้น เพราะความหิว โรคภัยไข่เจ็บมันก็เกิดขึ้น
เห็นมั้ยว่า ความทิฐิของเราเป็นยังไง แม้แต่การนอน เค้าบอกไม่มี ..ก่อนนี้ เคยนอนที่นอนอย่างดี บนเตียง บนที่นอน คราวนี้ มันจะนอนอยู่ที่เสื่อก็ไม่มีให้ปู ก็เดินไปเดินมา นอนไม่ได้ เสียอีกแล้ว เพราะมีความยึดอยู่ในการนอน นอนไม่ได้เสียอีกแล้ว ร่างกายของเรา มันก็แย่ลงไปๆ เลยทั้งคืน เลยไม่ได้นอน เนี่ย..ทำให้ร่างกายทรุดโทรมไป เพราะไอ้ตัวทิฐิ ไอ้ตัวที่ไม่ยอม..ไม่ยอมที่จะให้แก่ใครเลย แม้แต่วัตถุก็ไม่ให้อารมณ์ก็ไม่ให้ พอมาเจอปัญหาที่เกิดขึ้น พอไปทำอย่างโน่นอย่างนี้ มันก็เลยต้องทุกข์ทรมานให้แก่จิตของเรา อารมณ์ก็ปั่นให้ว่า. กายของเรานะ ไปถูกต้องตรงนี้ไม่ได้ นั่งตรงนี้ไม่ได้ เดี๋ยวยุงจะกัด ที่นี่เลอะเทอะเปรอะเปื้อนอะไรต่างๆ มันเปลี่ยนแปลงไปหมด ทั้งๆที่ ที่สะอาดสะอ้าน แต่ก็บอกว่า มันเป็นที่นั่งนอนอย่างดี มันก็ไม่กล้านั่งนอน
นี่แหละ คือตัวยึดต่างๆ นั้น ไม่มีการปล่อยเลย เช่นเราปล่อย..ปล่อยวัตถุบ้าง ปล่อยเรื่องนั้น เรื่องนี้ ข้าวปลาอาหารปล่อยออไป วัตถุปล่อยออกไป ค่อยๆปล่อยออกไป ในที่สุดจิตของเรา ทิฐิ..มันตัวยึดไม่มี จะไปอยู่ตรงไหน พอประทังได้ก็ประทัง นอนได้ก็นอน อะไรอย่างนี้ นั้นก็คือ ปล่อยวางได้ นั้นเอง นี่ก็คือ สิ่งที่มันยึดมากๆ มันเป็นอย่างนั้น พอยึดมากๆ ก็ไปดูถูก ดูแคลน ติเตียนเค้า ไปเสียดสีคนนั้น คนนี้ ไปเรื่องราวต่างๆที่จะกระทำขึ้น นั่นก็เพราะ ตัวยึด..ตัวทิฐิ..มันเข้ามา ยึดเมื่อไหร่ ตัวทิฐิก็เริ่มเข้ามา มากขึ้นๆ ในที่สุด มันก็มีวาจา กล่าวร้าย ว่าคนนั้นคนนี้ ทำให้ผู้อื่นเค้าได้รับความเดือดร้อน เพราะการกล่าวของเรา ไปนินทาเค้าบ้าง เสียดสีเค้าบ้าง อะไรต่างๆ.
ในที่สุด..ตัวเรานั้นแหละ..เป็นผู้ที่เดือดร้อน คนที่ถูกนินทา หรือ คนถูกเสียดสี เค้าก็เดือดร้อน ทำให้เค้าเป็นทุกข์ เราก็เป็นทุกข์เหมือนกัน มันไม่ไปไหน มันวนอยู่อย่างนี้ มันจะไปทางไหน อยู่กับดินฟ้าอากาศ เก็บเรื่องราวต่างๆ ให้แก่เรา ทุกลมหายใจเข้าออก
เพราะฉะนั้น การที่ว่าเศษของกรรมต้องนำมาใช้ ต้องมีแต่ความทุกข์ เมื่อทุกข์เกิดขึ้น เราก็ต้องแก้ไขตัวทุกข์เกิดขึ้น ต้องนำสิ่งที่เป็นทุกข์ ออกจากจิตของเรา ให้ได้เพราะ เราเป็นผู้หามา เราก็ต้องขนมันออกไป แต่นี่ หาเข้ามาๆ ไม่มีการเอาออกเลย มันก็ทำยังไง เมื่อมันหนักมาก มันจะไปไหนเสีย มันก็ไปอบายภูมิ ไปอบายภูมิมันก็มีแต่ความหนัก เกิดมามันก็มีแต่ความหนัก หนักเพิ่มขึ้นๆ แล้วเมื่อไหร่ มันถึงจะได้รู้เรื่องรู้ราว กับคำว่า บุญกุศลบารมี ที่จะหนีกรรมได้ นั่นแหละคือ การสร้างนิสัย ให้เป็นนิสัยที่จิต คือ จิตที่เป็นจิตที่เกิดขึ้น จงจำไว้ว่า สิ่งที่เรารังเกียจ หรือ อะไรต่างๆเนี่ย ความทิฐิอะไรต่างๆ เนี่ย จิตของเรา ไปมองดู ไอ้คนง่อยเปลี้ยเสียขา จิตของเราก็คือ จิตมองจิตขึ้นมา จิตไม่รู้จิต ก็ไปดูถูกดูแคลน ทั้งๆที่ มันอาจะเกิด หมุนเวียนที่เราจะไปเกิดเป็นคนง่อยเปลี้ยเสียขาก็ได้ ในสิ่งเหล่านี้ ขอให้ทุกคน สร้างเรื่องราวดีๆ ให้แก่ตัวเอง เช่น นำกายมาสวดมนต์บ้าง มาประพฤติปฏิบัติ เค้าเรียกว่า ทิ้งกรรม ไอ้ตัวทิฐิออกไป ทิ้งวัตถุบ้าง เรื่องราวต่างๆ ภัตตาหารและมิตตาหาร เรื่องราวต่างๆ เพื่อสร้างมาเป็นบุญ สร้างมาเป็นทาน เราจะได้ไม่มีทิฐิ ไม่มีตัวยึด
ถ้าเราไม่ทำ มันก็จมอยู่กับเรา ไม่ได้ไปไหน มากเข้ามากเข้า เราก็สร้างแต่เรื่องราวของตัวทุกข์ให้แก่ตัวเอง ผลก็มาที่จิตของเรา ไอ้ที่อยู่ข้างนอกมันของสมมุติ มันอุปโลกน์ขึ้นมา แก้วแหวนเงินทอง ที่อยู่ข้างนอก ที่จริงมันเป็นกรรม เป็นจิตไปจับแก้วแหวนเงินทอง ตาที่จับแก้วแหวนเงินทอง รู้ว่าแก้วแหวนเงินทองเหล่านั้นคือกรรม เราก็จับเข้ามาที่จิตของเรา จิตของเราก็ไปยึดแก้วแหวนเงินทอง มันก็มีทุกข์ขึ้น เค้าเรียกว่า จิตจับจิตขึ้นมา นี่แหละ สิ่งที่เราไม่ศึกษาว่า ทำไม เราถึงต้องนึกเรื่องราวเหล่านี้ ตลอดเวลา
เมื่อเราไปยึด แล้วมันใส่ลงไปที่จิตมันทุกข์มั้ย เราก็ไม่รู้จักทุกข์ นั่น คือ ทุกข์ สิ่งที่เราอยากได้อยากดีอะไรต่างๆ นั่นคือ ทุกข์ แต่เราก็ไม่รู้จัก
จงรู้ว่า จิตไปแล้ว จิตก็ดึง อันนั่นเข้ามาสู่จิต ต้องทุกข์อย่างนี้. ต้องเกิดมากันเรื่อยๆ เกิดมานับชาติไม่ได้ เกิดแล้วเกิดอีก เกิดมาก็กินกับนอนเท่านั้นเอง แล้วก็แก่เฒ่าชราตายไป แล้วเกิดมาใหม่ แล้วเป็นอย่างนี้ หมุนเวียนกันไปอย่างนี้ บางทีก็ได้กายดี บางทีง่อยเปลี้ยเสียขา ดีไม่ดี ไปเกิดเป็นสัตว์ต่างๆเกิดขึ้น แล้วจะทำอย่างไร ไม่มีใครเค้ารู้จักเรา ว่าชาตินี้ เรายังรู้จัก มีสามีภรรยาบุตรพ่อแม่ ยังรู้จักกัน พอผ่านไปแล้ว ..
พอผ่านไปแล้ว ต่างคนต่างๆจาก ตายแล้ว ในที่สุด เราก็ไม่รู้จักกัน มีแต่ ..มาอีกทีหนึ่ง อาจจะเป็นผู้อุปการะ ผู้อุปถัมภ์ บางทีก็มาเป็นเจ้าเวรนายกรรมกันนี้ เราก็ต้องแก้ไขตัวเอง เรารู้ว่าเวลามันมีน้อย เกิดมาแค่แปดสิบปีร้อยปี มันก็ตายแล้วนะ เวลามีอยู่แค่นี้เอง แล้วทำความดี มันคุ้มมั้ย กับได้กายมาครบอาการสามสิบสอง คุ้มกับการที่เราทำความดีมั้ย เรารู้แล้วว่าเมื่อตายแล้วไม่สูญ เมื่อตายแล้วไม่สูญ เมื่อตายไม่สูญ มันก็มีกายใหม่ๆ ให้เราใช้ กายใหม่ๆ ก็เกิดจากกายวาจาใจของเรา สะสมอะไร ก็ไปตามที่ กรรมของเราที่กระทำไว้ เอาล่ะ แค่นี้แล้วกัน สาธุ สาธุ สาธุ
บันทึก
1
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย