Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
บันทึกลับปักษาสวรรค์ (จินตนิยายสามก๊ก)
•
ติดตาม
5 มิ.ย. 2021 เวลา 03:37 • นิยาย เรื่องสั้น
4.3. ถล่มวังทำลายปราสาท
เหี้ยนเต้ วัยหนุ่ม - เล่าสือ ราชโอรสขบถ - งักจิ้น ขุนพลเสือดำ
ในหลายปีที่ผ่านมา เหล่าทหารกองทัพเมืองเหนือและกองทัพชนเผ่าได้ถูกแบ่งแยกกระจัดกระจายกันออกไปตามหัวเมืองต่างๆอย่างจงใจตั้งแต่แรกเริ่ม เพื่อป้องกันการลุกฮือก่อความวุ่นวายในลักษณะเช่นนี้ โดยเฉพาะเมื่อเกิดเหตุการณ์วุ่นวายจนแทบจะควบคุมไม่ได้ในสงครามเซ็กเพ็กครั้งล่าสุด
หากแต่ฝ่ายตรงข้ามคล้ายมีการตระเตรียมกันมาอย่างดี สื่อสารด้วยวิธีการรวดเร็ว จึงสามารถแจ้งข่าวระดมพลกันมาอย่างเร่งด่วนได้เกินความคาดหมาย กองกำลังจำนวนหลักร้อยหลักพันจากทุกทิศทุกทางจึงฝ่าความมืดยามราตรี มุ่งหน้าตรงมายังปราสาทนกยูงได้อย่างพร้อมเพรียงกัน
บนเส้นทางหลวงมุ่งหน้าสู่เมืองลกเอี๋ยงที่พวกหลวงจีนเภาเจ๋งต้องใช้เดินทางเพื่อไปยังวัดม้าขาวก็ย่อมต้องพบปะเผชิญหน้ากับกลุ่มผู้ก่อการร้ายด้วยเช่นกัน เพราะถือเป็นเส้นทางหลักในการเชื่อมโยงกับขุมกำลังรัฐบาล ดังนั้น ขบวนของพวกผู้ก่อการขบถจึงมีจำนวนมากเป็นพิเศษ ทำหน้าที่คล้ายเป็นด่านสกัดกั้นเคลื่อนที่ ตรวจค้นเข้มงวดรัดกุมต่อผู้คนที่ต้องการผ่านทางออกไป
หลวงจีนเภาเจ๋งพอจับเค้ารางความเชื่อของคนท้องถิ่นได้แล้ว จึงนัดแนะให้พวกหลวงจีนลูกศิษย์ทั้งหลายตั้งสติมั่น เร่งฝีเท้าเดินไปข้างหน้าพร้อมกับเปล่งเสียงสวดมนตร์ อีกทั้งกะเกณฑ์ให้ชาวบ้านรายทางที่มีศรัทธาเข้าร่วมเดินขบวนพิธีไปด้วยกัน และโปรยข้าวสารอาหารแห้งให้เป็นธรรมทาน
พวกกองกำลังต่างถิ่นขบวนแรกที่กำลังเคลื่อนสวนมาตามทางหลวง เผอิญสองข้างทางกระหนาบด้วยแนวผาสูงไม่อาจหลบหลีกกันได้ คนทั้งสองขบวนจึงชะงักงันห่างกันอยู่ประมาณหนึ่งร้อยก้าว พอมองเห็นหน้าตาผู้คน และความเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงข้าม
เจ้าสัวจงฮิว ผู้นำสหพันธ์การค้าหมาป่าเงิน พร้อมกับกลุ่มพ่อค้าใหญ่ ซึ่งเป็นอาคันตุกะรับเชิญฝ่ายพลเรือนในงานพิธีการใหญ่ ได้รับการชี้แนะมาจากกุนซือปีศาจมาตั้งแต่แรก จึงรีบก้าวเดินออกมาด้านหน้าขบวนของฝ่ายตนเอง คุกเข่าลงข้างทาง และกราบไหว้ถวายสิ่งของให้เห็นเป็นตัวอย่าง พร้อมทั้งส่งเจ้าสัวเกียงกวง นักเจรจาต่อรองแห่งวงการสีเทาให้รีบอธิบายกับฝ่ายตรงข้ามให้เข้าใจในพิธีการทางพุทธศาสนาในรูปแบบใหม่นี้โดยเร็ว
ผู้นำกองกำลังที่ใส่ผ้าคลุมหน้ายังไม่ทันตั้งตัวเตรียมใจ หลวงจีนเภาเจ๋งก็รู้จังหวะรุกเร้า รีบเร่งเดินนำหน้าขบวนทื้งระยะห่างกับหลวงจีนบ้อกี๋ ผู้เป็นเจ้าอาวาสวัดม้าขาวเพียงหนึ่งก้าว ทำให้ภาพของพระภิกษุอาวุโสที่ดูเปี่ยมด้วยเมตตาบารมี กำลังเคลื่อนที่ฝ่ากองกำลังฝ่ายขบถเข้ามาแล้ว พร้อมเสียงสวดมนต์ที่ีคล้ายดังกังวานกว่าเดิม จนสะท้อนก้องไปทั่วขุนเขาป่าไม้ สอดรับกับเสียงสรรเสริญที่ดังประสานขึ้นจากด้านหลัง
เหล่าทหารนอกด่านมีความเชื่อเรื่องบาปบุญคุณโทษ และเวทมนต์ไสยศาสตร์ เป็นพื้นฐาน พบเห็นภาพน่าเลื่อมใสศรัทธาเช่นนี้ จึงพากันคุกเข่าเปิดทางให้จนทหารเมืองเหนือเองเริ่มคล้อยตามพากันคุกเข่าต้อนรับไปหมดสิ้น
ผู้นำกองกำลังกลุ่มแรกเป็นเพียงหนุ่มใหญ่ระดับหัวหน้ากอง ยังไม่มากประสบการณ์รบ รีบทรุดตัวลงพาดมือคารวะในรูปแบบคล้ายพวกชนเผ่านอกด่านด้วยความเคยชิน เภาเจ๋งยังคงสวดมนต์ไม่ขาดปาก เดินผ่านไปพร้อมโบกมือให้พร ผู้นำและเหล่าทหารด้านหน้ารับรู้ถึงแรงลมบางเบาพัดผ่านร่างกาย จนหนาวยะเยือกไปวูบนึง ราวกับสัมผัสได้ถึงพลังพุทธะอันศักดิ์สิทธิ์ จึงยิ่งเพิ่มความเคารพศรัทธามากขึ้น
เภาเจ๋งและขบวนจึงสามารถผ่านพ้นวิกฤตภัยสงครามไปได้โดยสะดวก ตัวผู้นำหนุ่มเกิดศรัทธาแรงกล้า ถึงกับสั่งการให้แจ้งข่าวต่อกลุ่มขบถที่ติดตามมาด้านหลัง ให้แสดงออกเฉกเช่นกัน ภาพพิธีกรรม “ขบวนธรรมยาตรา” จึงได้ก่อกำเนิดขึ้นเช่นนี้ และภายหลัง เภาเจ๋งจึงถือโอกาสใช้สิ่งนี้ในการประกาศพุทธานุภาพ เชื่อมโยงระหว่างสองวัดสำคัญในนิกายของตน วัดม้าขาวและวัดป่าน้อยที่สอง เป็นประจำทุกปี
นับจากนั้น ศาสนาพุทธจึงได้เริ่มแพร่หลายลงไปทั่วทุกชนชั้นในแผ่นดินแถบเหนือ วัดวาอารามต่างๆที่เคยจำกัดการรับรู้เพียงแต่เฉพาะขุนนางและคหบดี เริ่มมีที่ว่างให้หยัดยืนได้ และเปิดรับสานุศิษย์เข้าสำนักอย่างกว้างขวาง จนกลายเป็นทางเลือกให้กับผู้คนที่ไม่ต้องการเป็นทหาร หรือบาดเจ็บพิการจากการสู้รบ จนไม่ยากกลับไปอยู่บ้านเกิดเมืองนอนก็ตาม
…
กลับมาดูที่สถานการณ์อีกด้านหนึ่ง สุมาอี้กับงักจิ้นที่ย้อนมาดูแลเมืองหลวงฮูโต๋แต่คืนก่อน พยายามตรึงกำลังอยู่ด้านหน้าพระราชวัง อาศัยกองทหารติดตามที่มีจำนวนไม่มากนัก กำลังสู้รบอยู่กับเหล่าองครักษ์ในวังหลวง และกลุ่มนักแสดงที่แต่งกายสีสันฉูดฉาดบาดตา จนเกิดบาดเจ็บล้มตายเกลื่อนบริเวณ
ตัวผู้นำของขบถฝ่ายตรงข้ามถึงกับเป็น เล่าสือ พระโอรสวัยหนุ่มฉกรรจ์ของกษัตริย์เหี้ยนเต้ ที่ปกติก็เอาแต่ดื่มกินสุราเมรัย ชื่นชมระบำการแสดงจนเลี้ยงดูในวังไว้หลากหลายกลุ่ม สนุกสนานเพลิดเพลินร่วมกับพระบิดาไปวันๆ คาดไม่ถึงว่า กลับกลายเป็นการเล่นละครตบตา เล่าสือกลับฉวยโอกาสดังกล่าว สร้างกองกำลังขนาดย่อมในคราบนักแสดง อาศัยอยู่ภายในวังหลวงนั้นเอง
เมื่อกองทัพที่เร่งรีบเดินทางกลับของสุมาอี้ งักจิ้นมาถึง ยังไม่ทันได้ตั้งตัว ก็ถูกจู่โจมกระทันหัน จนตกเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำเสียที สูญเสียจำนวนคนไปเป็นอันมาก ได้แต่ประคองสถานการณ์เอาไว้ รอให้กองทหารด้านอื่นมาช่วยเหลือ สองผู้นำกลุ่มยังได้รับบาดเจ็บจนเลือดท่วมกายแล้ว
โชคดีที่เทพคุ้มครอง แฮหัวตุ้น ผู้เป็นสมุหกลาโหม นำกองกำลังเกลียวคลื่นเข้ามาช่วยได้ทัน และอาศัยจำนวนที่มีมากมายหลายเท่า สามารถกวาดล้างพวกเล่าสือได้อย่างรวดเร็ว ตัวเล่าสือเองรู้ตัวว่าสูญเสียโอกาสทองไปแล้ว ถึงกับแสดงความใจเด็ด ยินยอมเปิดจังหวะให้แฮหัวตุ้นแทงตายในการสู้รบ ไม่ยอมให้จับตัวได้
แฮหัวตุ้นนำกำลังเข้าคุ้มครองสุมาอี้ งักจิ้น ที่บาดเจ็บสาหัสอยู่ก่อนแล้ว สุมาอี้จึงรีบประเมินสถานการณ์ว่า กษัตริย์เหี้ยนเต้เอง ก็คงมีส่วนรู้เห็นด้วย เล่าสือจึงยอมเสียสละตัดตอน ไม่ให้มีภัยต่อพระบิดา หากแต่คล้ายยังมีสิ่งใดไม่ถูกต้อง เหตุไรผู้นำขบถจึงสิ้นท่าง่ายดายนัก ไม่สมกับการเตรียมการณ์สำคัญเช่นนี้
ยังไม่ทันได้ตระเตรียมอันใด หมันทอง เจ้าเมืองฮูโต๋ก็นำกำลังพลธนูรุกยิงเข้าใส่พวกแฮหัวตุ้นทั้งสามอีกรอบหนึ่ง พลางกล่าวหาคนทั้งสามว่าเป็นขบถ สังหารพระราชโอรสไปต่อหน้าต่อตา สุมาอี้ตระหนักว่า เป็นการเข้าใจผิด แต่ไม่มีโอกาสแก้ตัว จึงจำต้องส่งสัญญาณให้แฮหัวตุ้นใช้ความรุนแรงตอบโต้ คลี่คลายสถานการณ์โดยเร่งด่วน
กองทัพเกลียวคลื่นจึงรุกสังหารกองพลธนู ซึ่งเป็นเพียงกองทหารรักษาเมือง ไม่ใช่ทหารผ่านศึก เปิดทางโลหิตสายหนึ่งให้แฮหัวตุ้นบุกเข้าจับกุมตัวหมันทอง พูดคุยชี้แจงและควบคุมสถานการณ์ไว้ได้อีกครั้งหนึ่ง
ทันใดนั้น ลูกไฟก้อนใหญ่ก็ตกกระแทกใส่ขุนพลเสือดำ งักจิ้น ที่ยืนรับฟังอยู่ด้านข้าง จนตัวกระเด็นไปชนกำแพง ใบหน้าไหม้เกรียมไปแถบใหญ่ สิ้นใจตายไปในทันที และตามมาด้วยลูกไฟอีกหลายลูกเฉียดผ่านร่างไปอย่างหวุดหวิด ทำให้สุมาอี้ แฮหัวตุ้น ต้องรีบหาที่กำบังอย่างฉุกละหุก กองทหารเกลียวคลื่นและพลธนูรักษาการณ์ล้วนถูกการโจมตีระยะไกลล้มตายไปเป็นอันมาก เปลวไฟลุกลามติดไปทั่วทั้งบริเวณด้านหน้าของพระราชวัง และบ้านเรือนโดยรอบ
ทั้งสองกวาดตามอง เห็นตันฮกกำลังสั่งการให้กองทัพฟ้าลั่นจำนวนหนึ่ง โจมตีใส่พวกเดียวกันเองเสียแล้ว โดยเฉพาะสุมาอี้ยิ่งแค้นเคืองเป็นทวีคูณ เพราะทั้งสองมีเบื้องหลังเป็นพวกทายาทมังกรด้วยกัน และขณะนี้ สุมาอี้คือผู้นำของเครือข่ายสุมาด้วยซ้ำ แสดงว่า ตันฮกเปิดโฉมหน้าที่แท้จริง หักหลังศิษย์พี่ใหญ่เสียแล้ว
สมุหกลาโหม แฮหัวตุ้น ผ่านประสบการณ์สงครามมานาน รีบแสดงตน ชูธงประจำตัว ห้ามปราม ไม่ให้กองทัพฟ้าลั่นโจมตีเข้ามาอีก ทำให้เกิดความปั่นป่วนในกองทัพเบื้องหน้า แสดงว่า ตันฮกอาศัยจังหวะความวุ่นวาย ใช้ป้ายประกาศิตชักจูงให้เกิดความเข้าใจผิด รอบแรก หลอกให้หมันทองจู่โจมด้วยพลธนู รอบสอง ยังหลอกให้ทหารในสังกัดให้คิดว่า กองทหารเกลียวคลื่นก่อการขบถ ไล่ล่าสังหารพวกเดียวกันเองตามที่เห็นด้วยสายตา
ดีที่แฮหัวตุ้นซึ่งเป็นญาติสนิทของท่านมหาอุปราชโจโฉ อยู่ในตำแหน่งด้านนี้ และอาศัยว่า เป็นขุนพลตาเดียวที่มีเอกลักษณ์ จดจำได้ง่ายในระยะไกล จึงใช้แสดงบารมีในกองทัพที่สั่งสมมานาน หยุดยั้งความเสียหายได้รวดเร็ว แต่ก็ผ่านช่วงวิกฤตเฉียดตาย ส่วนตันฮก กุนซือตัวแสบก็อาศัยความชุลมุนวุ่นวาย หลบหนีไปจากบริเวณนั้นแล้ว
…
ทางด้านเทพมุ่งมั่น โจหยินที่แยกตัวไปดูแลกองทหารม้าเหล็กที่ค่ายทหารอีกด้านของเมืองหลวง ก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันมากนัก เพราะเพิ่งรวบรวมกองกำลังกันได้ กองทัพฟ้าลั่นก็เคลื่อนที่เข้ามาระดมยิงทั้งก้อนหิน แท่งไม้ และลูกไฟเข้าใส่ค่ายทหาร จนเปลวไฟลุกไหม้ไปทั่วทั้งบริเวณ กระโจมค่ายและคลังเสบียงพังยับเยิน สูญเสียทั้งคนทั้งม้า ไปอย่างมากมาย
แต่เมื่อตั้งหลักตั้งสติกันได้แล้ว โจหยินเจ้าปัญญาจึงรีบเร่งสั่งการ ให้ใช้ความรวดเร็วของม้าศึก ตะลุยฝ่ากำแพงอาวุธเข้าไปจนใกล้เกินกว่าระยะหวังผลของเครื่องยิงทั้งสามรูปแบบจะทำงานได้ อานุภาพการทำลายล้างของอาวุธระยะไกลก็หมดสิ้นลง เครื่องยิงโดนทำลายไปมากมายด้วยความโกรธแค้น สุดวิสัยที่โจหยินที่ตามมาทีหลัง จะห้ามปรามได้ทัน ทั้งกองพลและอาวุธยิงจึงเสียหายไปไม่น้อย
เมื่อผ่านการสอบสวน จึงทราบว่า ทั้งหมดเป็นการทำร้ายพวกเดียวกันเองอย่างไม่รู้ตัว เพราะเป็นการทำตามคำสั่งของตันกุ๋นที่อ้างว่า กองทัพม้าเหล็กเป็นฝ่ายขบถ จึงต้องชิงโจมตีก่อน และตันกุ๋นตัวแสบก็หายสาบสูญไปแล้วเช่นกัน
เมื่อแฮหัวตุ้น โจหยิน และสุมาอี้มาพบกัน จึงประเมินสถานการณ์ได้ว่า ตันกุ๋น ตันฮก เป็นพวกขบวนการต่อต้านทรราชย์ ใช้จังหวะที่ได้รับอำนาจฉุกเฉิน ใช้ป้ายประกาศิตจากปราสาทนกยูง นำกองทัพฟ้าลั่น เอามาก่อการณ์สร้างความปั่นป่วนให้กับเมืองหลวง ทำลายล้างกองกำลังฝ่ายรัฐบาล ประสานงานกันกับกองกำลังอื่น และคงเป็นตัวการที่ปลุกระดมกองทัพชนเผ่าให้ออกไปจากค่ายประจำการณ์ และมุ่งหน้าเข้าล้อมเป้าหมายใหญ่แล้ว ซึ่งจุดประสงค์ที่แท้จริงก็คือ ตัวโจโฉ ที่ปราสาทนกยูงนั่นเอง
การโจมตีอย่างกระทันหันของตันกุ๋น ตันฮกทำให้คนทางเมืองหลวงสูญเสียเวลาไปตลอดทั้งวัน จนเกือบพลบค่ำแล้ว ทั้งสามจึงแบ่งกำลังพลส่วนหนึ่งไว้ป้องกันเมืองหลวงบางส่วน ให้โจหยิน หมันทองเป็นผู้คอยดูแล และเข้าไปกำกับควบคุมตัวกษัตริย์เหี้ยนเต้เอาไว้ด้วยกองทัพเกลียวคลื่น แล้วแฮหัวตุ้น สุมาอี้ รีบเร่งนำกองทัพม้าเหล็กที่เคลื่อนที่ได้เร็วกว่า เร่งไปช่วยแก้ไขสถานการณ์ให้กับโจโฉ
นับว่า มาถึงขั้นนี้ แฮหัวตุ้น โจหยิน เริ่มไม่กล้าปล่อยให้คนนอกคุมสถานการณ์ตามลำพังอีกต่อไป จึงยอมแยกย้ายกันเอง และให้สุมาอี้ติดตามเป็นกำลังเสริมอยู่ข้างกายแทน ทั้งๆที่กุนซือเต่าสมถะก็ได้รับบาดเจ็บอยู่ไม่น้อย
…
กลับมาที่ปราสาทนกยูงช่วงบ่ายแก่ๆ ฝ่ายโจโฉตกอยู่ในสภาพคับขันอีกครั้ง กองทัพชนเผ่า และกองทัพผีดิบ ใช้เวลาตลอดทั้งวัน ทะยอยเสริมกำลังกันเข้ามาจากทุกสารทิศจนผู้คนมากมายนับหมื่น รายล้อมปราสาทไว้ทุกด้านเป็นชั้นๆ ผลัดเปลี่ยนกันเข้ามาพังประตูปราสาท และจุดไฟเผาทำลาย สร้างความเสียหายให้กับกำแพงอย่างต่อเนื่อง ราวกับกองทัพที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี ยังดีที่กำแพงปราสาทถูกสร้างขึ้นอย่างแข็งแรง ราวกับเป็นประตูเมือง จึงยังพอทนทานได้สักพักใหญ่
ภายใน โจโฉที่ยังบาดเจ็บสาหัส ถูกผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นทหารองครักษ์ เตรียมปะปนไปพร้อมกองทหารองครักษ์ที่เหลือ มีโจสิด เอียวสิ้ว กาเซี่ยง ที่สัดส่วนพอใกล้เคียงกันกับโจโฉ กำลังใส่ชุดขุนนางลำลอง หวังจะใช้เวลาค่ำคืน เปิดประตูเมืองหลบหนีไปสี่ทิศทาง ล่อลวงฝ่ายตรงข้ามสับสน ส่วนนางเปียนสี และโจหิม อาจจะต้องเสี่ยงโชคชะตาเอาเองแล้ว
…
ยามสนธยา ฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีแล้ว ทางกำแพงด้านตะวันตก กลับมีกลุ่มคนจำนวนมาก พยายามฝ่าเข้ามา และกำลังต่อสู้อยู่กับกองทัพที่ล้อมรอบอยู่อย่างดุเดือด เคาทูมองเห็นธงเป็นแซ่แฮหัว แสดงว่า ต้องเป็นคนของตระกูลแฮหัวมาช่วย
ที่แท้ เป็นแฮหัวป๋า ลูกคนโตของแฮหัวเอี๋ยน นำน้องชายอีกสามคน ร่วมมือกันกับ โจจิ๋น โจฮิว ลูกโจหอง กะเกณฑ์กองกำลังส่วนตัวประจำบ้านของตนเอง และเหล่านักสู้ประจำบ้านในบริเวณใกล้เคียงได้หลายร้อยคน รอจังหวะเข้ามาช่วยแก้ไขสถานการณ์ให้กับโจโฉผู้เป็นอา
แต่กองกำลังอาสาสมัครเพียงหยิบมือ ย่อมไม่อาจต้านทานกองทัพทหารนับหมื่นที่ได้รับการฝึกฝนมาแล้ว จึงตกเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำเสียที น้องชายทั้งสามของแฮหัวป๋าล้วนทะยอยเสียชีวิตในที่รบด้วยฝีมือของผู้นำกลุ่ม ส่วนคนอื่นๆก็เริ่มจะย่ำแย่แล้ว
…
กาเซี่ยงมองดูสถานการณ์คับขันของกองทัพน้อยทางด้านนอก และเห็นว่ามืดค่ำแล้ว น่าจะเป็นจังหวะกำลังดีที่พอฝ่าวงล้อมไปได้ จึงสั่งการให้ทุกคนทำตามแผนการณ์ ให้เปิดประตูปราสาทพร้อมกันทุกด้านก่อนที่จะพลาดโอกาสสุดท้ายไป
ระลอกแรก โจโฉที่ปลอมแปลงโดยโจสิด กับองครักษ์เคาทู นำทหารจำนวนหนึ่ง จะตีฝ่าออกไปทางด้านตะวันตก คล้ายออกไปช่วยเหลือพวกแฮหัวป๋า ระลอกที่สอง โจโฉปลอมโดยเอียวสิ้ว นำพ่อบ้านเทียลิดและทหารส่วนหนึ่ง มุ่งหน้าหลบหนีไปทางเมืองกุนจิ๋วตะวันออก ระลอกที่สาม โจโฉปลอมโดยตนเอง นำทายาทโจหิมและทหารส่วนหนึ่ง ตีฝ่าออกไปทางเมืองหลวงฮูโต๋ด้านใต้
แล้วสุดท้าย นางเปียนสีค่อยนำโจโฉ ปะปนไปกับกองทหารม้าเท่าที่มี คล้ายจะข้ามแม่น้ำฮวงโหออกไปทางเหนือ เพื่อให้เส้นทางอื่นๆได้หลอกล่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นก่อน และที่จริงเป็นเส้นทางที่ไม่เหมาะสมในการหลบหนีที่สุด เพราะยิ่งวิ่งไปไกลจากความช่วยเหลือมากยิ่งขึ้น
แผนการล่อหลอกเหมือนจะเป็นไปตามที่ต้องการ กองทหารเร่งร้อนจะจับตัวโจโฉเพียงคนเดียว เมื่อมีการส่งเสียงร้องบอกต่อๆกัน ทหารฝั่งอื่นก็จะมุ่งมาทางนั้นจนเกิดช่องว่างมากขึ้นเรื่อยๆ
ทั้ง เคาทูองครักษ์ เทียลิดพ่อบ้านใหญ่ และโจหิมทายาทน้อย เป็นตัวดึงดูดที่ดี ทำให้ฝ่ายตรงข้ามเชื่อสนิทใจ และหลั่งไหลกันเข้ามาทางนั้น จนทางเหนือว่างลงถนัดตา นางเปียนสีจึงประคองโจโฉบนหลังม้าตัวเดียวกัน กึ่งวิ่งกึ่งเดิน ออกไปจากปราสาทพร้อมกับกองทหารจำนวนหนึ่งแล้ว
ความเสี่ยงของโจโฉคล้ายมีไม่น้อย เพราะไม่มีคนสำคัญคอยคุ้มครอง หากแต่ที่จริง กระตั้ว-กาเซี่ยงยังมีแผนสำรองพร้อมใช้งานอยู่ก่อนแล้ว เคาทู เทียลิดที่นำกำลังทหารออกไปด้วยจำนวนหนึ่ง ล่อหลอกฝ่ายตรงข้ามได้ไม่นาน ตัวมันจึงจำต้องมุ่งหน้าลงใต้ให้ได้โดยเร็ว เพราะยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่สามารถคลี่คลายวิกฤตครั้งนี้ได้
…
กระตั้ว-กาเซี่ยง ในคราบของโจโฉตัวปลอม กำลังหลบหนีออกมาทางใต้ เกือบถูกทหารรับจ้างสังหาร ยังดีที่หน่วยปักษาสวรรค์ลงมือช่วยเหลือได้ทันเวลา เกาทัณฑ์กรีดร้องของหัวขวานสร้างความตื่นตระหนกต่อผู้คนได้เป็นอย่างดี พอผสานกับการลงมือของสองยอดยุทธ์ อินทรีมือเหล็กกับเหยี่ยวดำ จึงสมควรลงมือช่วยผู้คนได้ไม่ยากนัก
เมื่อครู่ เหยี่ยวดำและหมอฮัวโต๋ เพิ่งสมทบกับอินทรีมือเหล็ก และหัวขวาน รวมเป็นสี่คน พากันติดตามดูเรื่องราวอย่างใกล้ชิด จนพบกับเบาะแสของกระตั้ว-กาเซี่ยง ทำให้หน่วยปักษาต้องรีบช่วยเหลือก่อน เพื่อรับฟังข้อมูลเส้นทางหลบหนีที่แท้จริงของโจโฉ เพราะเวลานี้ โจโฉยังไม่สมควรตาย
โดยทั่วไป กลุ่มขบถที่รุมล้อมจะเห็นเป็นพวกทหารชนเผ่าและทหารแดนเหนือ หากแต่กลุ่มขบถทิศใต้ส่วนใหญ่กลับเป็นอดีตกองทัพภูตมรณะที่ผสมผสานระหว่างนักสู้พเนจร ทหารรับจ้าง จึงมีจำนวนคนไม่มาก แต่ล้วนมีฝีมือการต่อสู้สูงส่งจนได้รับการวางตำแหน่งให้คุ้มครองเส้นทางด้านใต้ ซึ่งอาจจะเป็นช่องทางการหลบหนีกลับเมืองหลวง แต่ก็เป็นทิศทางที่ชัดเจนเกินไป ตัวผู้นำใหญ่จึงทิ้งให้ลูกสมุนคนสนิทคอยควบคุมแทน
นกฮูกเป็นเพียงหมอพิษ หัวขวานเป็นอัจฉริยะนักประดิษฐ์ ไร้วิทยายุทธ์ต่อสู้ เหลือเพียงอินทรีมือเหล็ก หัวหน้าหน่วยกับเหยี่ยวดำนักฆ่าเท่านั้นที่เป็นสุดยอดฝีมือ ในเวลานี้นับว่า กำลังคนเปราะบาง จึงไม่มีเวลาขบคิดมากความ รีบดำเนินตามแผนการช่วยเหลือตัวประกันกลางกองทัพ
หัวขวานรีบยิงเกาทัณฑ์กรีดร้อง สิ่งประดิษฐ์ใหม่ซึ่งส่งเสียงดังสนั่น ทำลายประสาทหู ดึงดูดความสนใจของผู้คนให้เสียสมาธิไปช่วงเวลาหนึ่ง แล้วอินทรีรีบส่งสัญญาณให้เหยี่ยวดำ ใช้ความรวดเร็ว ลอยตัวฝ่ากองทัพจู่โจมไปที่ตัวผู้นำประจำกองทัพทันที
ผู้นำทิศใต้ซึ่งใส่ชุดขุนศึกและหน้ากากลักษณะเดียวกันกับที่เหยี่ยวดำเคยพบเห็น จึงแยกแยะได้ไม่ยาก เหยี่ยวดำใช้วิชาตัวเบาวิ่งไปตามหัวคน เปิดเส้นทางสายโลหิตขึ้นก่อน ทำเอากองทัพนักสู้ที่เป็นระดับยอดฝีมือแท้ๆปั่นป่วนวุ่นวาย คาดไม่ถึงว่า คู่ต่อสู้จะแกร่งกร้าวห้าวหาญได้เช่นนี้
พออินทรีมือเหล็กบุกตะลุยมาอีกทางหนึ่ง จึงทำให้กองทัพแตกกระจายโดยง่าย เปิดช่องให้เข้าถึงตัวผู้นำกลุ่มได้พร้อมเพรียงกัน การลงมือประสานกันของอินทรีและเหยี่ยวดำจึงเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง สองคนกระชากร่างผู้นำขาดกระจายเป็นสองซีก หน้ากากหลุดกระเด็นออกไป เห็นเป็นบุคคลที่ร่ำลือกันว่า ตายไปนานแล้วคนหนึ่ง
เป็นเตียวเอี๋ยน อดีตเจ้าเมืองเปงจิ๋วเหนือ และเคยเป็นลูกสมุนสำคัญพรรคฟ้าเหลือง ผู้นำคนแรกแห่งชุมโจรทะเลทรายนามกองทัพภูตมรณะนั่นเอง
พอเห็นหัวหน้าถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยมอำมหิตเช่นนี้แล้ว เหล่านักรบรับจ้างทั้งหลายก็หมดแรงจูงใจในการต่อสู้ ละทิ้งกองทัพอารักขาโจโฉตัวปลอม รีบแยกย้ายกันหลบหนีเอาตัวรอด ในขณะที่กองทัพแฮหัวตุ้นโผล่มาบนทางหลวงในระยะไกลแล้ว
อินทรีก็ไม่รอช้า รีบตรงเข้าคว้าตัวโจโฉตัวปลอม ซึ่งก็คือ กาเซี่ยง ออกไปจากบริเวณนั้นโดยเร็ว เพื่อสอบถามเรื่องราวเบื้องลึก กระตั้ว-กาเซี่ยงจึงรีบแจ้งเบาะแสให้พรรคพวกรีบไปช่วยโจโฉตัวจริงกับนางเปียนสีที่ฝั่งตรงข้ามของปราสาทเมืองใหม่
อินทรีและเหยี่ยวดำรับทราบข้อมูลแล้ว จึงเปลี่ยนแผนกระทันหันอีกครั้ง ทิ้งนกฮูก-ฮัวโต๋ กับหัวขวานให้คุ้้มครองกระตั้ว-กาเซี่ยงหลบหนีกลับคืนสู่กองทัพรัฐบาลให้ได้เสียก่อน ค่อยกลับไปรอที่กระท่อมรังนก แล้วทั้งสองก็รีบอ้อมปราสาทไปทางด้านเหนือโดยเร็ว
…
ย้อนมาทางฝั่งเหนือ เหตุการณ์เหมือนจะเป็นไปด้วยดีตามแผนการณ์ โจโฉยังแอบซ้อนแผนเปลี่ยนชุดหลบหนีมากับนางเปียนสีตามลำพัง ปล่อยให้กองทหารติดตามนั้นล่อลวงพวกขบถไปอีกทางหนึ่ง หมายจะใช้แม่น้ำฮวงโหหลบหนี ทันใดนั้น เสียงฝีเท้าม้าสิบกว่าตัวดังขึ้นอย่างเร่งร้อนจากเบื้องหลังจนอ้อมมาขวางทาง
ผู้นำขบถที่สวมหน้ากากในชุดขุนศึกจ้องมองจนจดจำโจโฉได้ จึงส่งเสียงหัวร่อ “นึกอยู่แล้วว่า จิ้งจอกเฒ่าอย่างเจ้าต้องมาไม้นี้ เฮอะ เฮอะ แผนส่งเสียงซ้ายจู่โจมขวา หลอกข้าไม่ได้หรอก ในที่สุด เจ้าพระยาปราบอุดร โจโฉ ก็มีวันนี้จนได้ สมกับที่ข้ายอมทนซ่อนตัวมานานหลายปีแล้ว”
ผู้นำขบถปลดผ้าออก เห็นเป็นชายกลางคน วัยใกล้เคียงกับโจโฉคนหนึ่ง โจโฉเบิ่งตามองแบบไม่เชื่อสายตา คนผู้นี้น่ะหรือคือผู้นำขบถ ที่ทำลายล้างปราสาทนกยูงของมันแทบย่อยยับในครั้งนี้ “เป็นเจ้าได้อย่างไรกัน”
ผู้นำขบถ ถึงกับเป็นทัวปาลี่เวย หัวหน้าเผ่าเซียนเปย ผู้ที่เคยพ่ายแพ้ต่ออำนาจบารมีของมันเอง ตั้งแต่ศึกกัวต๋อครั้งก่อน และยังเป็นบิดาของนางเอียนซี ลูกสะใภ้ของมันเอง คนนอกด่านที่เหมือนไม่มีพิษภัยอันใดตลอดช่วงเวลาเกือบสิบปีที่ผ่านมา กลับกลายมาเป็นผู้ก่อการขบถเข้าจนได้
…
บันทึก
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
ภาค 4 - อาชาตะวันตก
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย