7 มิ.ย. 2021 เวลา 03:53 • นิยาย เรื่องสั้น
4.4.โฉมหน้าจอมบงการ
ม้าเท้ง จอมลวงโลก - ทัวปาลี่เวย ผู้นำเซียนเปย - กองซุนอวด ทายาทคนดัง
โจโฉ ที่บาดเจ็บชายโครงยังไม่หายดี กับนางเปียนสี ตกอยู่ในวงล้อมของทหารฝ่ายตรงข้ามสิบกว่าคนที่รายล้อมกันเข้ามาแล้ว ทัวปาลี่เวย ผู้นำขบถสั่งการให้ทหารนำตัวคนทั้งสองลงจากหลังม้าก่อน จึงค่อยวางใจยิ่งขึ้น ถึงกับลงจากหลังม้าด้วยเช่นกัน แล้วเดินเข้ามาใกล้ๆ เหมือนพูดคุยกับคนคุ้นเคยกัน
“โจโฉเอย เจ้าคงไม่นึกฝันว่าเป็นข้า แต่ว่า ใครกันเล่าจะมีอำนาจบารมีเพียงพอที่จะสามารถควบคุมกองทัพชนเผ่า และกองทัพผีดิบได้ เจ้าไม่คิดหรือว่า ทำไมกองทัพทั้งสองที่มีจำนวนมากมายหลายสิบหมื่น จึงยอมสยบอยู่ภายใต้ธงของแผ่นดินฮั่นมาเนิ่นนาน ตั้งแต่ครั้งที่อ้วนเสี้ยวตายในศึกกัวต๋อ ทำไมกองทัพทั้งสองยอมสงบนิ่งอยู่ในเมืองหลวง คล้ายรอคอยสิ่งใดอยู่เนิ่นนาน ทำไมกองทัพทั้งสองจึงก่อการวุ่นวายในศึกผาแดง จนกองทัพร้อยหมื่นของเจ้าแทบล่มสลาย และทำไมกองทัพทั้งสองจึงสามารถหลุดรอดจากค่ายทหาร นัดแนะกันมาทำลายปราสาทของเจ้าได้เช่นนี้ ทุกอย่างเป็นไปตามแผนการของข้าทั้งสิ้น ตัวข้ารอคอยจังหวะที่เหมาะสมมานานแล้ว ได้แต่แฝงตัวรอคอยอยู่ในกองทัพอันยิ่งใหญ่ของเจ้า ด้วยบทบาทของขุนศึกชั้นรอง เจ้าย่อมไม่ได้สนใจเพื่อนเก่าอย่างข้าได้หรอก ฮ่าฮ่าฮ่า”
โจโฉนึกตามอย่างแค้นเคืองในใจ ที่แท้ ศัตรูเก่าถึงกับมาเหยียบจมูก แอบซ่อนตัวชักใยอยู่ในกองทัพของตนเอง อีกทั้งยังซ่องสุมบ่อนทำลายตนเองมาแล้วด้วย นึกไม่ถึง ที่พวกตนเข้าใจว่า กองทัพผีดิบนั้นมีปัญหาจากพิษร้ายอันใด แต่ที่จริง กลับเป็นจริงบ้าง เท็จบ้าง กลายเป็นพวกทรยศแฝงตัวเข้ามาก่อกวนไปเสียได้ แสดงว่า การอาละวาดก่อกวนในศึกผาแดงช่วงหลังๆนั้น ก็เป็นแผนการใต้ดินของคนผู้นี้เอง เพื่อเป็นการแก้แค้นที่ตนเองจงใจล่อลวงกองทัพชนเผ่าลงไปสังหารกลางน่านน้ำไต้กังเสียมากมาย
ผู้นำขบถ ยังกล่าวต่อ “ที่จริง ช่วงแรกที่เจ้าชนะศึกกัวต๋อ รวบรวมไพร่พลจากชนเผ่าทางเหนือ และทหารหัวเมืองเข้ามาในกองทัพนั้น ช่างตรงกับแผนการที่ข้ารอคอยพอดี ข้าจึงเข้าไปติดต่อนัดแนะขุนศึกทั้งหลายจนหมดสิ้น แล้วพวกเราก็เพียงแต่รอคอยจังหวะที่เหมาะสม นั้นก็คือ ภายหลังจากที่เจ้าปราบศึกผาแดง เอาชนะพวกซุนทางใต้ได้ พวกข้าก็จะเข้าควบคุมยึดอำนาจเจ้าเสียในทันที
น่าเสียดายที่เจ้ากลับหลอกลวงพวกข้าหลายสิบหมื่น ลงเรือไปตายกลางลำน้ำ ทำให้จำนวนผู้ก่อการลดน้อยถอยลง จนต้องเปลี่ยนแผน หวังใช้กองทัพผีดิบ เสี่ยงปะทะกับกองทัพของเจ้าโดยตรงที่ดินแดนเกงจิ๋วนั้นเสียเลย แต่พวกเจ้าก็ยังดวงดีที่มีกำลังทหารกล้าแข็ง กองทัพผีดิบมีอาการคลุ้มคลั่งกำเริบ สูญเสียการควบคุม ถูกสังหารอย่างหนักหน่วง ข้าจำต้องถอยร่นมาสร้างแผนใหม่ที่เมืองหลวงในครั้งนี้ ด้วยความร่วมมือของกุนซือคนสนิทของเจ้าสองคน ตันก๋ง และตันฮก จึงทำให้เจ้ามีวันนี้จนได้ ฮ่าฮ่าฮ่า”
โจโฉหัวใจหล่นวูบ ที่แท้ ตันกุ๋น ซึ่งที่จริงคืออดีตตันก๋ง และตันฮก คือตัวเชื่อมโยงที่ทำให้เกิดแผนลูกโซ่สัมพันธ์ครั้งนี้ขึ้น มันนึกถึงการที่มันมอบป้ายประกาศิตส่งคนทั้งสองไปดูแลกองทัพฟ้าลั่น ไม่บอกก็เดาได้ว่า ต้องไม่เกิดเรื่องดีขึ้นที่เมืองหลวงแล้ว
“มันสองคนช่วยเชื่อมโยงให้ตัวละครหลายๆคนเข้ามาสร้างสีสันให้กับเหตุการณ์ครั้งนี้ ลิเตียน น้องชายแท้ๆของลิโป้ ที่พลัดพรากจากกันตั้งแต่วัยเด็ก เรื่องราวนี้ถูกสีบทราบโดยตันก๋ง จึงนำมาเป็นไม้แรก สร้างความปั่นป่วนภายในปราสาท เล่าสือ พระโอรสของเหี้ยนเต้ ที่ชิงชังในตัวเจ้ามานาน ได้รับการติดต่อจากตันฮก ให้ก่อการณ์ขึ้นในวังหลวง แล้วตันฮก และตันก๋ง ก็ช่วยเสริมส่งทำลายวัง ทำลายกองทัพเกลียวคลื่น ม้าเหล็กของเจ้า ด้วยกองทัพฟ้าลั่นของเจ้า จนกองทัพพยัคฆ์เสือดาวแห่งรัฐบาลฮั่นอันเกรียงไกรแทบล่มสลายไปเอง ช่างเหมาะเจาะกระไรเช่นนี้ ฮ่าฮ่าฮ่า”
โจโฉยิ่งคิดตาม ยิ่งไม่ถูกต้อง จึงอดไม่ได้ ต้องแทรกถาม “เจ้าเป็นหัวหน้าชนเผ่าป่าเถื่อนแดนเหนือ สามารถเกลี้ยกล่อมกองทัพเมืองเหนือ และชนเผ่าได้ ยังพอทำเนา แต่เหตุไรจึงสามารถชักจูงกุนซือตันก๋ง ตันฮก และคนอื่นๆได้ถึงเพียงนี้”
“ฮ่าฮ่าฮ่า สมแล้วที่เป็นเจ้าพระยาปราบอุดรผู้ยิ่งใหญ่ หัวหน้าเผ่าเซียนเปยย่อมไม่มีน้ำหนักเพียงพอ หากแต่ตัวข้ายังมีอีกหนึ่งฐานะที่สำคัญยิ่งกว่า จนพวกมันต้องยอมรับนับถือ” ว่าแล้ว ผู้นำขบถก็ปลดหน้ากากหนังมนุษย์ออกอีกชั้นหนึ่ง ยังคงเห็นเป็นชายวัยใกล้เคียงกับโจโฉเช่นเดิม แต่ใบหน้าเหมือนซีดขาวกว่าคนปกติ คล้ายไม่ได้รับแสงแดดมานาน และกลับดูแล้วสัตย์ซื่อสมถะยิ่งกว่าเดิมซ้ำ
โจโฉตกตะลึงยิ่งไปกว่าเดิม ราวกับเห็นภูตผีปีศาจ “เป็นเจ้าได้อย่างไร ม้าเท้ง เจ้ามันตายไปนานแล้วนี่นา”
ม้าเท้ง เจ้าเมืองเสเหลียง สนิทสนมคุ้นเคยกับโจโฉในช่วงศึกพันธมิตรสิบแปดเจ้าเมือง พร้อมกับม้าฮิว ลูกชาย ถูกพวกอ้วนเสี้ยวลอบสังหารตายกลางป่า ในขณะที่กำลังเดินทางเข้ามารายงานตัวที่เมืองหลวงเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว ซึ่งถือเป็นแผนการยืมดาบฆ่าคนของมันเอง นึกไม่ถึงว่า ที่จริง ม้าเท้งจอมลวงโลก กลับยินยอมอดกลั้น ซ่อนตัวมาเป็นเวลายาวนานถึงเพียงนี้
ม้าเท้งคล้ายอารมณ์ดี จึงพูดระบายความรู้สึกที่เก็บกดมานานอย่างใจเย็น “ต้องเท้าความไปตั้งแต่ครั้งอดีตที่ม้าอ้วนยี่ บิดาของข้าที่ปลอมปนเข้าไปเป็นพวกโจรผ้าเหลืองของเตียวก๊ก แต่ถูกฝ่ายรัฐบาลที่ปลอมเข้ามาเป็นไส้ศึก ใช้เกาทัณฑ์ลอบยิงตายก่อนหลบหนีไป ตัวข้ามาพบที่เกิดเหตุ พบเห็นเพียงกล่องเล็กใบหนึ่งของศัตรูทำตกอยู่ จึงเก็บเอาไว้ และภายหลัง เตียวก๊กกลับคาดเดาได้ว่า ท่านพ่อเป็นไส้ศึกเช่นกัน ข้าจึงต้องรีบพาครอบครัว หลบหนีภัยการเมืองไปนอกด่านทางเหนือ
ภายในกล่องเล็กที่ข้าเก็บได้นั้น บรรจุก้อนทรงกลมแปลกประหลาดอยู่สามลูก ซึ่งอีกหลายปีภายหลัง ตัวข้าค่อยค้นพบวิธีใช้ก้อนกลมนั้นโดยบังเอิญ มันคือแผ่นหน้ากากที่แนบเนียน และพิสดารมาก เพราะมันไม่เพียงแค่เปลี่ยนใบหน้าผู้คนได้เหมือนจริง แต่ยังถึงกับสามารถเปลี่ยนสภาพให้แก่ขึ้นตามอายุของผู้สวมใส่ได้ด้วย
เมื่อข้าได้รับคำสั่งของเจ้าให้เข้าเมืองหลวง เบื้องแรก จึงคิดจะใช้แผนหลอกซ้ายจู่โจมขวา ใช้หน้ากากชุดแรกที่ถูกค้นพบโดยบังเอิญ จ้างวานนักรบคนสนิทสร้างม้าเท้งตัวปลอมเดินทางมาพบท่านอย่างโจ่งแจ้ง หากแต่ตัวข้าแอบซ่อนตัว ติดตามมาด้วยอย่างลับๆ เพื่อช่วยแก้ไขหลุมพรางที่เจ้าวางไว้ และรอคอยจังหวะหมายจะเข้าถึงเมืองหลวง ลอบสังหารเจ้าในกระบี่เดียว น่าเสียดายที่อ้วนเสี้ยวนำคนมาสอดแทรกระหว่างทาง สังหารม้าเท้งตัวปลอม และม้าฮิว ลูกชายแท้ๆของข้าไปเสียก่อน ทำให้ข้าต้องเปลี่ยนแผนการไปตามสถานการณ์
ในเมื่ออ้วนเสี้ยวท้าทายอำนาจของข้า เป้าหมายแรกของข้าจึงเปลี่ยนเป็นขุมกำลังอ้วนเสี้ยวทางเหนือแทน ข้าอาศัยหน้ากากชิ้นที่สอง ลอบสังหารทัวปาลี่เวย หัวหน้าเผ่าเซียนเปยแล้วปลอมเป็นตัวมันแทน คลุกคลีตีสนิทกับพวกนอกด่านซงหนู อูหวน และคนของอ้วนเสี้ยว รวมทั้งกองทัพภูตมรณะแห่งทะเลทราย เอาไว้หมดสิ้น สร้างความสัมพันธ์ฉันท์ญาติกับอ้วนเสี้ยวผ่านนางเอียนซี บุตรสาว กับอ้วนฮี บุตรชายของมัน หวังจะผลักดันให้มันจัดการกับเจ้าให้ได้ แล้วค่อยหักหลังมันในภายหลัง
แต่แล้ว ในศึกกัวต๋อที่ข้ามีส่วนผลักดันให้เกิดขึ้นในทางลับ อ้วนเสี้ยวกลับดำเนินแผนผิดพลาด จนพ่ายสงครามและตัวตาย เหล่าทายาททั้งสามคนก็ล้วนไม่เอาไหน กระจัดกระจายกันออกไป จนทำให้ขุมกำลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในแดนเหนือล่มสลายไปอย่างรวดเร็วเกินคาดคิด แต่ยังดีที่ทัวปาลี่เวยคุ้นเคยกับเตียวเอี๋ยนแห่งเปงจิ๋วเหนือ จึงพอสามารถเชื่อมโยงต่อกับกองซุนอวด กองซุนของ สองพี่น้องสกุลกองซุนที่เจ้าวางตัวให้ควบคุมภาคเหนือได้อีกทอดหนึ่ง
ในขณะที่ข้ากำลังรวบรวมระดมพลทหารเมืองเหนือ และชนเผ่าต่างๆเตรียมเสี่ยงตายกับเจ้าอีกรอบ จังหวะพอดีที่เจ้าลงมือทำลายชนเผ่าพื้นเมืองทั้งหมด โดยเริ่มจากเผ่าอูหวน และเปิดเผยแนวทางที่จะรวบรวมกองทัพเมืองเหนือและชนเผ่าลงใต้ จึงทำให้ข้าเห็นหนทางแก้แค้นอีกครั้ง แทนที่จะก่อการเลยในทันที จึงสู้อดทนรอคอยต่อไป
เสริมส่งให้เอียนซี ลูกสาวม่ายมาเป็นลูกสะใภ้ของเจ้าแทน เพื่อให้ตัวข้าเคลื่อนไหวเข้าออกเมืองหลวงได้สะดวก จนมาถึงศึกเซ็กเพ็กแดนใต้ แต่ก็อย่างที่เล่าไปแล้วว่า เจ้ามันโชคดี ทำให้แผนการของข้าล้มเหลว ก่อนจะดำเนินการได้ตลอดรอดฝั่งทั้งสิ้น กองทัพชนเผ่าและกองทัพฝ่ายเหนือถูกทำลายย่อยยับแทบสิ้นซากที่มณฑลเกงจิ๋วนั่นเอง
ในที่สุด ยามจนตรอก ไม่อาจใช้แผนสงครามกองทัพได้อีกต่อไป ข้าจึงมองไปยังคนสนิทสนมที่อยู่ใกล้ตัวของท่านแทน คนที่ทนอยู่กับท่านอย่างจำยอม อย่างเช่น ตันก๋ง ตันฮก หรือแม้แต่เหี้ยนเต้ก็ตาม จึงกลายเป็นหมากสำคัญในกระดานของข้า อาศัยฐานะทัวปาลี่เวย ผู้นำชนเผ่าอ่อนด้อย แต่จงรักภักดีต่อราชวงศ์ฮั่น พร้อมต่อต้านทรราชย์โจโฉ เชื่อมโยงไปยังหมากตัวอื่นๆที่มีความแค้นทางตรงหรือทางอ้อมก็ตาม อย่างเช่น ลิเตียน เล่าสือ ตันก๋งจนกลายเป็นภาพใหญ่ในวันนี้
พวกข้าจัดฉากสร้างสถานการณ์ก่อกวนให้วุ่นวายพร้อมๆกันหลายแห่ง จนกองกำลังอันเกรียงไกรของเจ้าแยกกระจัดกระจาย ทางเหนือไปเมืองเตียงอัน ต้านรับม้าเฉียว ไปเมืองกิจิ๋ว ต้านรับกองซุนของ ทางใต้ไปเมืองอ้วนเซีย หับป๋า ต้านรับพวกเล่าปี่ ในเมืองหลวงเอง ก็แยกย้ายเฝ้าระวังค่ายทัพ พระราชวัง และเมืองหลวง จนสุดท้าย อยู่เหลือข้างกายตัวเจ้าเพียงไม่กี่คน ช่างเปราะบางยิ่งนัก
หากเจ้าตายไปในวันนี้ ข้าก็เพียงใช้หน้ากากชิ้นสุดท้าย ปลอมตัวเป็นเจ้า ยึดครองอำนาจทั้งหมดที่เจ้าสะสมมาตลอดทั้งชีวิต สืบต่อปณิธานอันยิ่งใหญ่แทนเจ้าสืบต่อไป สกุลม้าจะสวมรอยแทนที่สกุลโจในที่สุด ฮ่าฮ่าฮ่า”
ต้องนับว่า ม้าเท้งเป็นเจ้าพ่อนักเลงที่ซ่อนคมอย่างแท้จริง ภายใต้เค้าหน้าสัตย์ซื่อ ทำตัวผิดที่ผิดทาง เหมือนสะเปะสะปะในศึกสิบแปดเจ้าเมือง ถึงกับหลอกลวงคนได้ทั้งแผ่นดิน ซ่อนตัวดำเนินแผนการลับอย่างต่อเนื่องยาวนาน เพื่อฉกฉวยโอกาสที่เหมาะสม และเกือบก่อการสำเร็จมาหลายครั้งหลายครา หากมิใช่สวรรค์ไร้เมตตา จนสถานการณ์พลิกผันไปเสียก่อน
ม้าเท้ง นักเลงบ้านนอก กลายเป็นจอมวางแผนที่ผลักดัน และอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์สำคัญมากมายในช่วงเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมา อ้วนเสี้ยว โจผี เล่าปี่ ซุนกวน จนถึงกษัตริย์เหี้ยนเต้ ก็ล้วนเคยเป็นหมากในกระดานของยอดอาชาเหล็กคนนี้ทั้งสิ้น
อีกอย่างที่นึกไม่ถึง ก็คือ กล่องใบเล็กที่ม้าเท้งเก็บได้จากไส้ศึกคนนั้น ก็คือ แผ่นหน้ากากพิสดารขององค์กรย้อนเวลา และเมื่อกลับมาตกอยู่กับม้าเท้ง จอมวางแผน จึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการวางแผนก่อการร้ายไปเสียแล้ว
โจโฉฟังเรื่องเล่าอันยืดยาวของม้าเท้งอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง พอดี ผู้นำกลุ่มทิศตะวันออกนำคนสิบกว่าคนมาถึงพร้อมปลดหน้ากากออก ในขณะที่ม้าเท้งแอบสวมหน้ากากทัวปาลี่เวยกลับคืน ถึงกับเป็นกองซุนอวดที่แสร้งตายเพื่อก่อกวนสถานการณ์ ตอกย้ำคำพูดของม้าเท้งที่สร้างความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับขุมกำลังต่างๆมากมายจริงๆ
กองซุนอวดรีบรายงานต่อ “ทัวปาลี่เวย” ว่า มันจับตัวกลุ่มโจโฉตัวปลอม ซึ่งก็คือเอียวสิ้วกับพ่อบ้านเทียลิดได้แล้ว พบเห็นว่ามีกองทัพเมืองหลวงมาช่วยเหลือแล้ว ทางทิศใต้คล้ายมีปัญหาเสียหาย จึงรีบล่วงหน้ามารายงานสถานการณ์ก่อน
มาถึงตอนนี้ โจโฉถึงกับเงยหน้าหัวร่อเสียงดัง เพราะค้นพบช่องโหว่ในแผนการร้าย “ฮ่าฮ่าฮ่า ผิดแล้ว ผิดแล้ว ม้าเท้ง ถึงเจ้าจะปลอมใบหน้าเป็นตัวข้าได้ แต่คนใกล้ชิดกับตัวข้ามีตั้งมากมาย สุดท้าย ก็ต้องพบสิ่งผิดปกติเข้าจนได้ เจ้าหลอกลวงคนตั้งมากมายไม่ได้ดอก เรื่องราวคงไม่ง่ายดายปานนั้น”
ม้าเท้งสบตานิ่ง ปล่อยให้โจโฉได้หัวเราะจนหนำใจ ค่อยกล่าวบ้าง “หากเราทำการเพียงลำพัง เรื่องนี้ย่อมยากอยู่ แต่ถ้ามีคนใกล้ชิดของเจ้า อยู่เคียงข้าง คอยชี้แนะแก้ไขให้ คงจะไม่มีปัญหาแล้วกระมัง ซึ่งที่จริงแล้ว คนข้างกายเจ้า นางเตียวเสี้ยน ก็เป็นคนหนึ่งที่อยู่กับเจ้าอย่างจำยอม มิใช่หรือ”
โจโฉ ใบหน้าเปลี่ยนสี หันไปหานางเปียนสี ผู้เป็นภรรยา หรือ อดีตนางเตียวเสี้ยน ของลิโป้ อย่างหวาดระแวง ในขณะที่ นางเปียนสี เตียวเฟิง ยังคงก้มหน้านิ่งเฉยอยู่ จนยากจะคาดเดา ม้าเท้งจึงเฉลยความต่อ “เจ้าคงลืมไปว่า การที่โจผี โจเจียง สองทายาทของเจ้าลงไปรักษาเมืองทางใต้ จนต้องมีขุนพลชั้นดีอย่าง อิกิ๋ม เตียวเลี้ยว ตามลงไปดูแลนั้น เป็นความคิดอันประเสริฐของผู้ใด”
แน่นอน โจโฉย่อมไม่ลืมความคิดอันประเสริฐของนางเปียนสี ที่ช่วยลดอาการปวดหัวของมัน ด้วยการแยกสองทายาทลงใต้ ไม่ให้อยู่ทะเลาะกันเองในเมืองหลวง ถึงตอนนี้ โจโฉเริ่มคล้อยตามคำพูดของม้าเท้ง เคลื่อนกายออกห่างจากนางเปียนสี ในขณะที่นางเปียนสีเองที่ก้มหน้านิ่งเมื่อครู่ กลับมีอาการสั่นสะท้านเล็กน้อย
นางเปียนสีกำลังหัวเราะอย่างบ้าครั่งจนเสียจริตสตรีผู้สูงศักดิ์ไปอีกคนแล้ว “ถูกต้อง คนหวาดระแวงอย่างเจ้า มีหรือจะไว้วางใจคนข้างกาย วันหนึ่ง เจ้าก็พร้อมจะเข่นฆ่าสังหารผู้คน เพื่อป้องกันตัวเองไว้ก่อน ข้าจึงต้องชิงลงมือจัดการกับเจ้าก่อน มาถึงตอนนี้ น้ำที่เจ้าดื่มจากกระบอกไม้ไผ่ของข้าตอนที่ออกจากเมือง คงจะออกฤทธิ์แล้วกระมัง”
โจโฉเริ่มมีอาการหัวหมุน ตาลาย มือเท้าเหน็บชา หมดสิ้นเรี่ยวแรง ค่อยๆทรุดตัวลงกับพื้น ท่ามกลางสายตาของศัตรูที่ร้ายกาจ อย่าง ม้าเท้ง เตียวเสี้ยน และกองทหารสิบกว่าคน ขุนศึกผู้เกรียงไกร คงถึงเวลาที่ต้องยอมรับความพ่ายแพ้แล้วกระมัง
“ตอนนี้ สิ่งสุดท้ายที่ข้าต้องการ คือ เลือดสดๆของเจ้าเท่านั้น” ม้าเท้งเสริมคำพร้อมชักกระบี่ออกช้าๆ แล้วแทงเข้าใส่กลางท้องของโจโฉหมดสิ้นหนทางต่อสู้อย่างสิ้นเชิง
ทันทีที่เข่าทั้งสองของโจโฉแตะกับพื้นดิน พลันปรากฏเสียงกรีดร้องโหยหวน น่าตกใจ พร้อมกับเงาคนในชุดสีขาวโพลน ดูรูปร่างสูงใหญ่ แต่แข็งทื่อคล้ายคนตาย ล่องละลิ่วเข้ามาแต่ไกล พิจารณาชุดหลวมกว้างพริ้วตามสายลม ผมสยายน่าสะพรึงกลัว ใบหน้าที่ซีดขาว รวมทั้งเสื้อผ้าร่างกายเปรอะเปื้อนด้วยเลือดสดๆ มือทั้งสองข้างจนถึงท้องแขน ยังปกคลุมไปด้วยเปลวไฟเรืองแสงสีเขียวที่กำลังลุกโชน นี่มันภูตผีปีศาจในเรื่องเล่าสยองขวัญชัดๆ เหล่าทหารนับสิบคน จึงแตกฮือเปิดวงล้อมออกเป็นช่องว่างขนาดใหญ่
ติดตามมาด้วย เสียงระเบิดดังสนั่นหลายครั้งพร้อมกับกลุ่มควันสีขาวทึบครอบคลุมไปทั้งบริเวณ ม้าเท้งสัมผัสถึงพลังกระแทกที่กดดันเข้ามาจากปีศาจในชุดขาว และกองทหารเริ่มส่งเสียงร่ำร้องเหมือนโดนทำร้ายบาดเจ็บ ยิ่งทำให้เกิดความชุลมุนอลหม่าน มันจึงรีบแทงกระบี่เข้าไปในตำแหน่งที่ปีศาจพุ่งเข้ามา แต่สัมผัสได้เพียงความว่างเปล่า ฤานี่คือยมทูตมารับวิญญาณคนตายในยามค่ำคืน
เมื่อสายลมพัดผ่านจนกลุ่มควันจางหาย ทั้งปีศาจ ทั้งโจโฉก็หายสาบสูญไปแล้ว พร้อมกับทหารสิบกว่าคนที่ล้มตายแน่นิ่งคล้ายถูกของแข็งกระแทกใส่จนคอหักตาย ทหารที่เหลืออยู่ หน้าซีดเสียขวัญ แต่ยังคงไม่หลบหนีไปไหนด้วยความจงรักภักดีต่อเจ้านาย
ม้าเท้งคิดทบทวนครู่หนึ่ง จึงหยิบวัตถุสิ่งหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ เป็นก้อนกลมสีขาว เอามาบีบนวดจนบี้แบน และแผ่พลังปราณใส่จนเกิดความร้อน และค่อยๆเรืองแสงจนเป็นสีแดงสว่าง จากนั้น มันจึงหยิบกระบี่ที่เปื้อนเลือดของโจโฉ ป้ายใส่ให้เลือดซีมซับเข้าไป เพียงชั่วอึดใจ ก้อนกลมสีขาวกลับเปลี่ยนสภาพเป็นแผ่นใบหน้าของโจโฉขึ้นมาแล้ว
นี่คงเป็น แผ่นหน้ากากพิสดาร ที่พวกหน่วยปักษาสวรรค์ใช้กันนั่นเอง ในอดีต ฮองตงหยิบฉวยมาจากเผ่าโบราณ แต่หาทางใช้ไม่สำเร็จ กลายเป็นม้าเท้ง ผู้ได้รับตกทอดมา กลับค้นพบวิธีการจนได้ ที่แท้ ก็ต้องทุบตีให้บี้แบน แผ่พลังให้ร้อนขึ้นก่อนให้ถึงกำหนด แล้วค่อยใส่เลือดสดๆของเจ้าของใบหน้าลงไปนั่นเอง
หมายเหตุ แผ่นหน้ากากพิสดาร เปลี่ยนหน้าโดยการใช้เลือด เป็นแนวคิดที่พัฒนาจากการโคลนนิ่งมนุษย์ และตอบโจทย์ว่า เหตุใด นักย้อนอดีตจึงสามารถทำใบหน้าของคนในยุคสมัยนั้นได้อย่างแนบเนียน และหน้ากากยังสามารถเปลี่ยนแปลงไปตามอายุขัยได้ด้วย
ม้าเท้งปลดหน้ากากทัวปาลี่เวย หยิบหน้ากากใหม่มาสวมใส่แทน พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงคล้ายกับโจโฉว่า “ฟ้าเริ่มสว่างแล้ว คงต้องเลยตามเลยไปก่อน เรามีเจ้าอยู่ข้างกาย พอช่วยยืนยันได้ว่า เราคือโจโฉตัวจริง ถึงภายหลัง มันจะโผล่มาก่อกวน ก็ตีขลุมใส่ความ ให้มันกลายเป็นตัวปลอมไปเสีย ตอนนี้ ก็ถือว่า เข้าสู่แผนการขั้นต่อไปแล้ว”
นับว่า ม้าเท้งมีพรสวรรค์ในการปลอมตัวไม่น้อย ลำดับถัดมา ร่างกายกลับบังเกิดเสียงเกรียวกราว ลดขนาดความสูงใหญ่ลงเทียบเท่ากับโจโฉ แสดงว่า ม้าเท้งต้องเคยศึกษาวิชาหดกระดูกแปรสภาพทางตะวันตกมาก่อน
ว่าแล้ว ม้าเท้งในคราบของโจโฉเต็มรูปแบบ ก็ตวัดกระบี่ฟันคอกองซุนอวดที่กำลังเผลอตัวจนขาดกระเด็น และกระโจนเข้าใส่เหล่าทหารที่ยังหลงเหลือ กวาดกระบี่ซ้ายที ขวาที ถึงกับเข่นฆ่าพวกเดียวกันเองจนหมดสิ้น แล้วไม่ลืมหันกระบี่แทงใส่ชายโครงตนเองจนเลือดชุ่มโชก ให้ดูเหมือนโจโฉที่ได้รับบาดเจ็บมาเบื้องต้น แล้วค่อยโรยตัวยาประสานแผลให้กับตนเองอย่างใจเย็น
“ปิดปากพวกนี้เสียให้หมดสิ้น คงเหลือเพียงเจ้าและข้าเท่านั้น ที่ล่วงรู้ความจริงเรื่องนี้” โจโฉ หรือ ม้าเท้ง ยิ้มพลางทำแผลไปพลาง จนนางเปียนสีรู้สึกสะพรึงกลัวในใจ ในความเลือดเย็นเหี้ยมโหดของม้าเท้ง หรือว่านางกำลังหนีเสือปะจระเข้เข้าให้แล้ว
จากนั้น ม้าเท้งและเตียวเสี้ยน หรือ คราบร่างจำแลงของโจโฉกับนางเปียนสี จึงกลับขึ้นม้าศึกตัวเดิมร่วมกันอีกครั้ง หลบหนีอ้อมเส้นทางต่อไปเพื่อกลับสู่เมืองหลวง พร้อมกับซักซ้อมวางแผนเรื่องการปลอมตัวครั้งยิ่งใหญ่นี้อย่างละเอียด
เหยี่ยวดำกับอินทรีที่หลบซ่อนในพุ่มไม้ห่างออกไป ลอบปาดเหงื่อต่อพฤติกรรมที่อำมหิตของม้าเท้งในครั้งนี้ พลางมองโจโฉที่นอนหายใจรวยรินคล้ายจะสิ้นใจได้ทุกเมื่อ อินทรีจึงต้องรีบป้อนยาเม็ดคุ้มครองชีวิตให้กินประทังอาการไปก่อน
แน่นอน ภูตผีปีศาจชุดขาว ก็คือฝีมือของหน่วยปักษาสวรรค์ที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือโจโฉอีกครั้ง โดยสถานการณ์ที่คับขันจวนตัว การล่อหลอกด้วยความเชื่อโบราณจึงมีประสิทธิภาพสูงสุดในการพลิกแพลงจัดการ
อินทรีมือเหล็กปล่อยชุดที่สวมใส่ให้ดูหลวมกว้างออกกว่าปกติ ใช้แป้งขาวประหน้าให้ดูซีดขาว แล้วสยายผมออกปรกใบหน้า ป้ายซ้ำเสื้อผ้าร่างกายด้วยเลือดคนตายที่มีอยู่มากมาย ในขณะที่เหยี่ยวดำช่วยหยิบเอาผงฟอสฟอรัสที่พกติดตัวเป็นประจำ มาลูบไล้ทั่วแขนที่เป็นโลหะ แล้วจุดเป็นเปลวไฟสีเขียวเรืองแสง สร้างเสริมความพิสดารให้กับปีศาจตนนี้ในแรกเห็น คนธรรมดาย่อมทำไม่ได้ แต่มันทำได้ เพราะสวมใส่ถุงมือใยเหล็กคลุมทับอวัยวะที่ขาดหายบกพร่อง เป็นการป้องกันไว้อีกชั้นหนึ่งนั่นเอง
เมื่อสร้างรูปลักษณ์ให้ประหลาดพิกลแล้ว จึงยิงเกาทัณฑ์กรีดร้องนำหน้า จากนั้น อินทรีก็อาศัยกระบวนท่า “อินทรีผงาดฟ้า” ที่เคยฝึกฝนอยู่กับเหยี่ยวดำ เพื่อนำมาใช้ในยามฉุกเฉิน
เคล็ดลับของท่าอินทรีผงาดฟ้า เริ่มจากการที่เหยี่ยวดำจะนอนหงาย และย่อเท้ารอจังหวะถีบส่ง แล้วให้อินทรีกระโดดเหยียบขึ้นไปบนเท้าของเหยี่ยวดำ อินทรีจะอาศัยแรงถีบของสหาย และแรงผลักเท้าของตนนั้น เป็นพลังบวกทำให้สามารถกระโดดได้ไกลขึ้นกว่าปกติหลายเท่านัก ดูเผินๆ คล้ายตัวคนกำลังเหินบินสู่ท้องฟ้า
ครั้งนี้ มันดัดแปลงท่าร่างให้ดูแข็งทื่อ กางแขนลอยละลิ่วเข้าสู่วงล้อมการต่อสู้ เมื่อท่วงท่าเช่นนี้ถูกใช้ในจังหวะที่ผสมผสานกันกับการควบคุมลมปราณ ร่างกายจึงลอยเข้ามาได้ในระยะไกลเกินคนธรรมดาสามัญจะทำได้ พอหลอกลวงผู้คนโบราณได้ไม่ยาก นอกนั้น ก็เพียงพึ่งพาระเบิดควันปิดบังสายตาและฝีมือที่สูงส่งพอตัวของอินทรีมือเหล็ก คว้าเอาตัวโจโฉออกมาได้ในชั่วเวลาเพียงวูบเดียว แม้แต่ขุนศึกระดับม้าเท้ง กองซุนอวดที่อยู่ใกล้ๆ ก็ไม่อาจป้องกันได้ทันเวลา
จ้าวอินทรีค่อยๆเทแป้งขาวที่เหลืออยู่ไปตามช่วงแขนท่อนบน ถึงแม้ความร้อนจะทำอันตรายถุงมือใยเหล็กไม่ได้ แต่ความร้อนที่ส่งผ่านโลหะ ยังคงสร้างความเจ็บปวดให้กับตัวมันไม่น้อย จนต้องอาศัยความเย็นของแป้งมาบรรเทาลงบ้าง
“จากนี้ คงต้องพาโจโฉไปให้นกฮูกรักษาอาการบาดเจ็บอีกแล้ว ส่วนเรื่องราวข้างหน้า ค่อยว่ากันอีกที เดี๋ยวเจ้าแยกไปแจ้งกับกระตั้วให้รู้ตัวไว้ก่อนว่า มีความผิดพลาดอย่างไร มันจะได้รู้จักป้องกันตัว และแก้ไขตามสถานการณ์ได้ เวลาเท่านั้นเป็นบทพิสูจน์” จ้าวอินทรีสั่งความ แล้วทั้งสองจึงแยกย้ายกันไป
แต่อินทรีคงลืมไปว่า คนที่สามที่นอนแน่นิ่งอยู่กับพื้นนั้น ยังพอรับฟังคำพูดได้ แม้ว่า โจโฉจะไม่ทราบเรื่องราวได้ชัดเจนก็ตาม แต่ประโยคสุดท้าย กลับรู้สึกคุ้นหูยิ่งนัก

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา