8 มิ.ย. 2021 เวลา 04:04 • นิยาย เรื่องสั้น
4.5. ศึกสองยอดฝีมือ
ฮูฉูเฉียน ผู้เฒ่าเนินทราย - แฮหัวตุ้น เทพคุ้มครอง - แฮหัวป๋า ผู้นำสกุลรุ่นสอง
เป็นเวลาเช้ามืดแล้ว สมรภูมิการต่อสู้รอบปราสาทถูกสลายกำลังไปแล้วสามด้าน กองทัพแฮหัวตุ้นและสุมาอี้ที่นำกองทหารม้าเหล็กเข้ามาปราบปรามตลอดทั้งคืน ทำให้กองทหารขบถที่ขาดผู้นำกลุ่มไปแล้วทั้งสามทิศ ตั้งแต่ทิศใต้ ตะวันออก ไปถึงเหนือ ต้องพ่ายแพ้และแยกย้ายกันหลบหนีไปทีละกลุ่มๆ
กองทัพม้าเหล็กค้นพบตัวผู้หนีรอดตั้งแต่ กาเซี่ยง โจหิม เอียวสิ้ว และเทียลิดแล้วตามลำดับ บางคนได้รับบาดเจ็บสาหัส บางคนก็เพียงตระหนกตกใจ เพียงแต่ด้านเหนือยังไม่มีผู้ใดพบเห็นโจโฉเลย ยิ่งสร้างความกังวลต่อบุคคลทั้งหลายยิ่งขึ้น
กลุ่มขบถด้านตะวันตกกลายเป็นกองทัพสุดท้ายของฝ่ายตรงข้ามที่ยังหลงเหลือผู้นำกลุ่มอยู่บัญชาการ และอาจจะเป็นเพราะผู้นำกลุ่มคนนี้ได้ชื่อว่า เป็นผู้ร่วมสร้างเหตุการณ์ธรรมยาตราให้กับเภาเจ๋งเมื่อวันวานก่อนที่จะมาปักหลักโจมตีทางฝั่งตะวันตกนี้ ศรัทธาบารมีจึงคุ้มครองให้การต่อสู้ทางด้านนี้ยืดเยื้อยาวนานถึงที่สุด กลายเป็นสมรภูมิรบแดนสุดท้ายที่มีขุนพลองครักษ์เคาทูได้แสดงฝีมือรบอย่างเข้มแข็ง ปล่อยให้โจสิด และพวกแฮหัวป๋า โจจิ๋น โจฮิวที่บาดเจ็บสาหัสอยู่ก่อน ได้รายงานสถานการณ์ต่อพวกแฮหัวตุ้นที่ตามมาถึง
เมื่อแฮหัวตุ้นได้ทราบจากแฮหัวป๋าว่า หลานชายทั้งสามคนล้วนถูกผู้นำฝั่งนี้เข่นฆ่าสังหารไปก่อนหน้าด้วย ทำให้โมโหโกรธแค้นสุดขีด พอดีเห็นเคาทูกำลังเสียที ถูกผู้นำกลุ่มสาดทรายใส่ดวงตา กำลังจะถูกดาบโค้งงอทรงประหลาดฟันใส่ จึงรีบใช้เกาทัณฑ์ยิงสกัดขัดขวาง พร้อมควบม้าเข้าไปแทรกกลางวงต่อสู้ในทันที ก่อนที่เคาทูจะได้รับบาดเจ็บสาหัสไปอีกคน
“ข้าคือแฮหัวตุ้น เทพคุ้มครอง พี่ใหญ่แห่งสี่เทวะ ดำรงตำแหน่งสมุหกลาโหมแห่งราชวงศ์ฮั่น ขอประลองฝีมือตัดสินเป็นตายกันกับท่าน เพื่อล้างแค้นให้กับหลานชายผู้ล่วงลับทั้งสาม” แฮหัวตุ้นประกาศเสียงดังด้วยความองอาจตามธรรมเนียมรบโบราณ
ผู้นำกลุ่มทิศตะวันตกกวาดตามองโดยรอบ เห็นว่ากองทัพม้าเหล็กตรงเข้าบดขยี้ฝ่ายตนเองอย่างดุเดือด และสถานการณ์รบไม่เอื้ออำนวยต่อการล่าถอยแล้ว จึงตัดสินใจเด็ดขาด หวังตัดสินชี้ชะตากับฝ่ายตรงข้ามให้สมศักดิ์ศรีชายชาตินักรบ
เห็นมันตวาดสั่งการให้กองทัพหยุดมือ ปักดาบโค้งลงกับพื้นดินพร้อมปลดหน้ากากออก เป็นคนชนเผ่านอกด่านที่คุ้นเคยกันดี แต่ร่ำลือกันว่าตายไปแล้วเช่นกัน “ข้าคือฮูฉูเฉียน ผู้เฒ่าเนินทราย ยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งชนเผ่าซงหนู ขอรับคำท้าจากท่านแล้ว”
สิ้นคำประกาศ ผู้คนทั้งหลายต่างตะลึงงัน ฮูฉูเฉียนคือยอดฝีมืออันดับหนึ่งของชนเผ่านอกด่าน ครั้งก่อนที่มันบุกกระโจมโจโฉ เป็นเพราะถูกกลุ่มขุนพลห้าพยัคฆ์ร่วมมือกันจัดการจึงสามารถควบคุมตัวไว้ได้ และช่วงที่ผ่านมา ถึงแม้จะมาอยู่ร่วมกันกับกองทัพหลวง มันก็หลีกเลี่ยงไม่แสดงฝีมือที่แท้จริงให้ปรากฏ ดังนั้น จึงเร่ิมมีบางคนกังวลใจแทนขุนพลตาเดียวบ้างแล้ว
แฮหัวตุ้นโบกมือสั่งให้ทหารหยุดสู้รบเช่นกัน แล้วก้าวลงจากหลังม้า เปลี่ยนมาใช้ดาบใหญ่เป็นอาวุธ แสดงถึงการเคารพให้เกียรติต่อวิทยายุทธ์อย่างแท้จริง จึงไม่คิดอาศัยความได้เปรียบเสียเปรียบของอาชา นับเป็นการต่อสู้ที่เปิดเผยทรนง และไม่เคยปรากฏในสมรภูมิรบใดๆมานานนัก ทำให้เหล่าทหารรอบด้านต่างทรุดตัวนั่งล้อมวงให้กับการต่อสู้ของยอดฝีมืออันดับหนึ่งจากสองดินแดนในครั้งนี้
ขุนพลทั้งสองขยับดาบที่แตกต่างกันขึ้นมาอยู่ในท่วงท่าเริ่มต้น แฮหัวตุ้นประคองดาบใหญ่ตั้งฉากแน่วนิ่ง ในขณะที่ฮูฉูเฉียนซ่อนดาบโค้งแนบกับท้องแขน ใช้เวลาในการตั้งสมาธิดูท่าทีอยู่พักใหญ่ สร้างความกดดันไปรอบข้าง การตัดสินแพ้ชนะของคนระดับยอดฝีมือเช่นนี้ อาจจะเกิดขึ้นได้ในชั่วพริบตา
ทันใดนั้น ขุนพลนอกด่านที่ยืนอยู่ฟากฝั่งตะวันตก พลิกข้อมือใช้ดาบโค้งสะท้อนแสงอาทิตย์รบกวนสายตาแฮหัวตุ้นให้พร่ามัว แล้วพุ่งตัวเลียดพื้นกวาดดาบเข้าใส่อย่างรวดเร็ว หมายจู่โจมช่วงล่าง จนผู้คนฝ่ายรัฐบาลร่ำร้องโอดโอยอื้ออึง เกรงว่าขุนพลตาเดียวจะพลาดท่าเสียแล้ว
เห็นแฮหัวตุ้นลอยตัวให้พ้นรัศมีตัวดาบพร้อมตวัดดาบลงตรงเบื้องหน้า ทำให้ฮูฉูเฉียนต้องใช้มือซ้ายตบพื้นดินรั้งตัวเองเอาไว้ก่อน แฮหัวตุ้นจึงอาศัยจังหวะดังกล่าวหมุนตัวสะบัดดาบใหญ่จู่โจมเป็นกระบวนท่าฟันต่อเนื่อง ด้วยตระหนักว่าตัวเองมีพละกำลังเข้มแข็งกว่า จะได้เปรียบในการปะทะโดยตรง
ฮูฉูเฉียนผ่านพ้นวัยกลางคนมาแล้ว พอผ่านการต่อสู้มาตลอดทั้งคืน เรี่ยวแรงเริ่มถดถอยอ่อนล้า ต้องการจบสิ้นการต่อสู้ให้เร็วที่สุด จึงเสี่ยงใช้กระบวนท่าที่สร้างชื่่อให้กับตนเอง และเพิ่งใช้ได้ผลกับเคาทูเมื่อสักครู่นี้ นั่นคือ กระบวนท่า “ลมพายุทะเลทราย” เป็นการสวนกลับในระยะประชิดพร้อมสะบัดทรายในมือใส่ดวงตาคู่ต่อสู้ พร้อมตวัดดาบโค้งวงพระจันทร์ ผ่าเข้าที่กลางลำตัวในจังหวะเดียวกัน
แฮหัวตุ้นเป็นยอดฝีมือมากประสบการณ์ เมื่อครู่ย่อมเห็นกระบวนท่านี้ก่อนแล้วถนัดตา และรอคอยจังหวะนี้อยู่แล้ว จึงเบี่ยงกายหมุนตัวเป็นวงกลมเฉียดผ่านศัตรู และสวนกลับด้วยกระบวนท่าไม้ตายที่คิดค้นขึ้นมาเมื่อหลายปีก่อน เป็นกระบวนท่า “หยกกระเบื้องล้วนแหลกสลาย” คือการพุ่งตัวเข้าใส่ศัตรูในระยะประชิดเช่นกัน พร้อมแทงดาบใหญ่ชำแรกผ่านกลางหลังของฝ่ายตรงข้าม
ฮูฉูเฉียนรับรู้ในทันทีว่าพลาดท่าเสียแล้ว แต่ความคิดสุดท้ายก่อนวิญญาณหลุดลอยคือการไว้ลายรักษาศักดิ์ศรีด้วยกระบวนท่าไม้ตายที่ไม่ค่อยได้ใช้พร่ำเพรื่อนัก เป็นท่า “วงเดือนประกายโลหิต” เห็นดาบโค้งวงพระจันทร์หลุดออกจากมือ หมุนคว้างเป็นวงกลม อ้อมไปปักเข้าที่กลางหลังของแฮหัวตุ้นเช่นกัน
หากแฮหัวตุ้นมีสายตาปกติ ย่อมมีโอกาสพลิกตัวหลบให้พ้นวงดาบได้ทัน หากแต่มันตาบอดด้านซ้ายอยู่ จึงพบเห็นการโจมตีล่าช้าไปวูบหนึ่ง และพอใช้กระบวนท่า “หยกกระเบื้องล้วนแหลกสลาย” แล้ว กลับส่งแรงออกไปเพื่อการจู่โจม จนไม่อาจป้องกันตนเองได้เลย ดาบโค้งที่เจ้าของเพิ่งสิ้นชีพ จึงเฉียดผ่านชายโครงเป็นทางยาว ได้ดื่มเลือดสร้างรอยแผลแก่ศัตรูเป็นการล้างแค้น
ฮูฉูเฉียนตาย แฮหัวตุ้นบาดเจ็บสาหัส การลงมือต่อกันนับได้เพียงฝ่ายละสามกระบวนท่าเท่านั้น แต่ประสบการณ์ความอำมหิตในแต่ละกระบวนท่ากลับรุนแรงยิ่งนัก จนเป็นที่จดจำไปอีกยาวนาน บางคนยกย่องคนทั้งสอง แต่ก็มีเสียงตำหนิถึงความอำมหิตก่อนตายของขุนพลนอกด่านอยู่บ้าง
ภายหลัง แฮหัวตุ้นจึงช่วยแก้ต่างให้ว่า ที่จริงแล้ว ฮูฉูเฉียนเป็นยอดฝีมือ จึงยอมรับความพ่ายแพ้แล้ว แต่เห็นว่า กระบวนท่านี้มีอาถรรพ์รุนแรง จึงแสดงให้แฮหัวตุ้นได้เห็นถึงจุดอ่อนของกระบวนท่าดังกล่าว ไม่ได้หวังผลทำร้ายให้สาหัส มิเช่นนั้น ดาบโค้งคงตัดหัวของมันไปแล้ว ดังนั้น กระบวนท่า “หยกกระเบื้องล้วนแหลกสลาย” จึงเป็นไม้ตายสุดท้าย หากไม่จำเป็น ไม่ควรนำมาใช้ลงมือต่อกัน
เมื่อสถานการณ์ต่อสู้จบลงเช่นนี้ เหล่านักรบนอกด่านต่างลุกขึ้นยืนพร้อมชูอาวุธขึ้นชี้ฟ้า เปล่งคำปฏิญาณ “หินผาแน่วนิ่งมั่นคง เนินทรายปรับเปลี่ยนปกป้อง พี่น้องหนึ่งแข็งหนึ่งหยุ่น สมดุลย์นักรบหมาป่า” สร้างความแตกตื่นให้กับทหารฝ่ายรัฐบาลจนต้องรีบลุกขึ้นตระเตรียมป้องกันตัวบ้าง
แต่แล้วพอสิ้นเสียง พวกคนต่างถิ่นกลับสะบัดอาวุธเชือดคอตนเองตายตามผู้นำไปในทันที ภาพความน่าสะพรึงกลัวทำเอาบริเวณนั้นเงียบกริบ ตกตะลึงกับพฤติกรรมอันห้าวหาญของนักรบต่างถิ่นทั้งหลาย สมเป็นกลุ่มสุนัขป่าแห่งดินแดนทะเลทราย
ในสมรภูมิรบ ยังมีฝ่ายตรงข้ามที่มิใช่พวกชนเผ่าปะปนอยู่บ้าง ล้วนคุกเข่ายอมรับความพ่ายแพ้ กาเซี่ยงจึงรีบให้ทหารเข้าคุมตัวเอาไว้ไต่สวนในภายหลัง ส่วนฝ่ายรัฐบาลก็กลับไปตั้งหลักกันที่ปราสาทนกยูงเป็นการชั่วคราว เพื่อติดตามค้นหาโจโฉต่อไป
จากนั้น กลับเป็นม้าเร็วจากเมืองหลวง ส่งข่าวมาว่า โจโฉและนางเปียนสี ทำตามแผนของกาเซี่ยง สามารถหลบหนีกลับไปเมืองหลวงได้สำเร็จ และอยู่ในความดูแลคุ้มครองของโจหยินแล้ว
ทั้งหมดจึงค่อยถอนทัพกลับไปด้วยความโล่งใจที่ผ่านพ้นวิกฤตการณ์คับขันในเมืองหลวงไปได้ หลงเหลือเพียงพวกแฮหัวป๋าทั้งสามกับ เทียลิด พ่อบ้านใหญ่ให้ช่วยกันเก็บกวาดจัดการเรื่องราวในปราสาทต่อไป เหล่าแขกเหรื่อบุคคลสำคัญเห็นสถานการณ์คลี่คลาย จึงทะยอยกันเดินทางกลับได้อย่างปลอดภัย
ม้าเท้งในคราบโจโฉกลับคืนสู่จวนที่พักในเมืองหลวงฮูโต๋พร้อมกันกับนางเปียนสีฮูหยินในยามคับขัน จึงไม่มีใครทันผิดสังเกตอันใด ตัวมันเคยอาศัยฐานะของทัวปาลี่เวย หัวหน้าเผ่าเซียนเปย ที่เป็นพ่อตาของโจผี เดินเข้าออกบ้านพักอยู่บ่อยครั้ง พบปะองครักษ์ส่วนตัว และข้าทาสบริวารหลายคน จึงทำตัวกลมกลืนโดยง่าย ทำให้มันสามารถตั้งสติรับมือกับปัญหาอื่นๆที่สมควรต้องสะสางโดยเร็ว
ในเมื่อโจโฉและพวกถูกรุมล้อมโจมตีด้วยฝีมือของคนจากขุมกำลังต่างๆ จนขุนพลงักจิ้นและแฮหัวผู้หลานตายไปถึงสามคน ป้อมปราสาทเมื่องใหม่ล้วนเสียหายยับเยิน ดังนั้น เมื่อหลุดรอดกลับมาได้ ก็สมควรต้องมีการสืบสวนไล่ล่าคนร้ายที่หลงเหลือให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด เพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่ผู้อื่นอีก
อันวิธีการของม้าเท้ง ในการควบคุมขบวนการต่อต้านทรราชย์นั้น เป็นการพูดคุยเจรจาเฉพาะตัว โยงใยแผนการจากตัวมันเพียงผู้เดียว ทำให้แต่ละส่วนแต่ละฝ่ายไม่รู้จักกันเอง จึงคล้ายทุกคนต่างทำหน้าที่ในส่วนของตนเองโดยไม่รับรู้หรือไม่อาจประสานกันกับฝ่ายอื่นเลย มีเพียงม้าเท้งเท่านั้นที่ใช้บทบาทของหัวหน้าเผ่าเซียนเปย ทำตัวเป็นศูนย์กลางในการชักจูง และเชื่อมโยงให้เป็นไปตามภาพใหญ่ที่ตนเองวางไว้
ดังนั้น ขบถถล่มวังทลายปราสาทในครั้งนี้ จึงถูกไล่เรียงขึ้นมาตามลำดับ เล่าสือ ตัวหลักฝ่ายเชื้อพระวงศ์ ก็ตายไปแล้ว ลิเตียน ตัวแทนกลุ่มอำนาจเก่า ฮูฉูเฉียนแห่งกองทหารชนเผ่า กองซุนอวดแห่งทหารเมืองเหนือ และเตียวเอี๋ยนแห่งกองทัพมรณะ ก็สิ้นชีพแตกพ่ายยกันไปหมดสิ้นแล้ว จึงหลงเหลือเพียง ตันก๋ง ตันฮก สองกุนซือที่ยังหลุดรอด และซ่อนตัวอยู่ในที่ลับตามแผนการ
หากร่วมมือกันต่อเนื่อง ความลับที่มีผู้ล่วงรู้เพียงแค่ตัวมันกับเปียนสีสองคนก็กลายเป็นหลายคนหลายความคิดขึ้นมาได้ วันหน้า คนใดคนหนึ่งอาจจะเปลี่ยนใจ กลับมาหักหลังเอาได้ ดังนั้น หากหาทางกำจัดเสียตั้งแต่วันนี้เลย ก็น่าจะเข้าทีกว่า เพียงแต่ม้าเท้งในฐานะโจโฉ สมควรจะจัดการอย่างไรกับคนทั้งสอง
อีกประการหนึ่ง มันสืบทราบ และจดจำได้ดีว่า ม้าเทียด ม้าตงที่ถูกจับได้นั้น มีความเกี่ยวพันถึงตันก๋งหรือตันกุ๋น และสุมาอี้ สองกุนซือหลักเมื่อหลายปีก่อนด้วย เมื่อมีจังหวะ จึงถือโอกาสกำจัดตัวการเป็นการล้างแค้นเสียเลย
ณ ท้องพระโรงใหญ่ ขันทีประกาศแจ้งว่า กษัตริย์เหี้ยนเต้งดเสด็จออกว่าราชการ เปิดทางให้เจ้าพระยาปราบอุดร โจโฉ ในฐานะพระมหาอุปราช ได้ใช้เวลาดำเนินการสอบสวนเหตุการณ์ถล่มวังทลายปราสาทด้วยตนเอง และมีกาเซี่ยง กุนซือใหญ่เป็นผู้รายงานความผิดของขบถแต่ละคนที่ล้มตายกันไปแล้ว
ต่อมา กาเซี่ยงจึงเบิกตัวเจ้าเมืองฮูโต๋ซึ่งมีส่วนเกี่ยวพันในเหตุการณ์วุ่นวายภายในเมืองหลวง เห็นหมันทองมัดมือไขว้หลัง ก้าวเข้ามาสารภาพผิดว่า ตัวมันโดนตันฮกล่อลวงให้เข้าใจผิด คิดว่า แฮหัวตุ้น สุมาอี้ก่อการขบถ ล้มล้างราชวงศ์ จึงนำกองกำลังรักษาพระนครมาช่วยเหลือเล่าสือที่วังหลวง โดยมีแฮหัวตุ้น โจหยินให้การสำทับว่า ตันกุ๋น ตันฮก ได้ล่อลวงพวกตนออกมาจากที่ตั้งมั่น และถูกทำลายล้างด้วยกองทัพฟ้าลั่นเช่นกัน
ม้าเท้ง-โจโฉจึงออกประกาศจับตายในที่ประชุมทหาร ให้ไล่ล่าสังหารตันกุ๋น ตันฮก ทั้งสองกุนซือ ในฐานะหัวหน้าขบถแผ่นดิน นำพาคนขบถจากขุมกำลังต่างๆ และสร้างความวุ่นวายภายในกองทัพกับเมืองหลวง ส่วนหมันทองให้คาดโทษไว้ แต่ยังคงดำรงตำแหน่งหน้าที่เช่นเดิมต่อไป
ด้วยศักดิ์ฐานะของตันกุ๋น ตันฮก ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ย่อมสามารถเชื่อมโยงไปยังคนมีชื่อดังกล่าวได้ไม่ยาก โดยเฉพาะในช่วงการปฏิรูปที่ได้เปิดโอกาสให้กับกุนซือแต่ละคนอย่างมาก อีกทั้ง ปราสาทเมืองใหม่ล้วนอยู่ภายใต้การจัดการของตันกุ๋นมานาน จึงเป็นศูนย์กลางในการระดมเหล่าขบถมาลงมือได้อย่างเหมาะเจาะ การป้ายสีโยนบาปของม้าเท้ง-โจโฉซึ่งเป็นผู้นำตัวจริง จึงดูสมเหตุผลไม่น้อย
เพิ่งสิ้นเสียงประกาศ อีกเสียงหนึ่งตะโกนแทรกขึ้นมาจากด้านหลังท้องพระโรง “ข้าน้อยรู้ว่า พวกมันซ่อนตัวอยู่ที่ใด” ร่างผอมเล็ก และดูบอบบางราวนักศึกษาทั่วไป โบกมือ แทรกตัวเองออกมาจากแถวนายทหารทั้งหลาย เป็นเอียวสิ้ว กุนซือหนุ่มน้อยที่มีร่องรอยความบาดเจ็บ คนสนิทของโจสิดที่เพิ่งสร้างผลงานอาสาปลอมตัวเป็นโจโฉเมื่อวันก่อน
โจโฉตัวปลอมตาลุกวาว คิดขึ้นในใจ “ไอ้หนุ่มคนนี้เป็นเชื้อสายของพวกตระกูลอ้วนนี่นา น่าสนใจ น่าสนใจยิ่งนัก”
ม้าเท้งย่อมจดจำได้ เพราะเอียวสิ้วเป็นตัวประสานหลักในกลุ่มบัณฑิตฝ่ายวิชาการ ทำหน้าที่ส่งผ่านข้อมูลระหว่างจวนโจโฉกับสำนักหอสมุดใต้หล้า หมากอีกกลุ่มใหญ่ในขบวนการต่อต้านทรราชย์ที่มันวางไว้ริมกระดาน รอคอยเวลาที่จะใช้ ซึ่งข้อได้เปรียบของมันในขณะนี้ ก็คือ มันรู้จักตัวตนของเอียวสิ้วเป็นอย่างดี แต่ที่เอียวสิ้วรู้จักคือ ทัวปาลี่เวย หัวหน้าเผ่าเซียนเปยผู้ล่วงลับ นั่นเอง
เปลือกนอก ขบวนการต่อต้านทรราชย์ล่มสลาย โจโฉยังหลุดรอดกลับมาได้ ดังนั้น การที่เอียวสิ้วแทรกตัวออกมาช่วยเหลือโจโฉเช่นนี้ แสดงว่า คนแซ่เอียวอาจจะกำลังตามกระแสที่แปรเปลี่ยน ยินยอมขายพวกพ้องเดียวกันเสียแล้ว ช่างร้ายกาจนัก
ม้าเท้งลอบยิ้มอยู่ภายใน ฟังดูว่า เอียวสิ้ว บัณฑิตหนุ่มน้อยจะมีอะไรภายในน้ำเต้าบ้าง
อีกฟากฝั่งหนึ่งในวังหลวง ซากร่างของพระราชโอรสเล่าสือที่เกิดจากสนมตังกุยฮุยถูกนำมาวางทำพิธีเรียบง่าย โดยขุนนางผู้ใหญ่จุดธูปส่งวิญญาณไม่กี่คน และมีกษัตริย์เหี้ยนเต้ในวัยสามสิบเศษที่มีพระพักตร์ตึงเครียด หมองคล้ำกว่าปกติ ประทับนั่งอยู่ด้านข้างพร้อมร่ำดื่มสุราไม่ขาดปาก
ฮกอ้วน สมุหนายก ขุนนางอาวุโสที่มีศักดิ์ฐานะเป็นญาติอาวุโส จึงต้องกล่าวเตือนสติ “ฝ่าบาทไม่ต้องวิตกอันใด พระโอรสยอมเสียสละชีพ ตัดตอนเรื่องราวทั้งปวงให้แล้ว”
“ตามความเห็นของข้าน้อย อย่างไรเสีย โจโฉก็ไม่กล้าสืบสาวมาถึงฝ่าบาทหรือพระมเหสี ฮกฮองเฮาได้ดอก แม้ว่าพวกนักแสดงในสังกัดวังหลวงและองครักษ์ฝ่ายในจะมีส่วนร่วมลงมือด้วยอย่างชัดเจน แต่ก็สามารถกล่าวได้ว่า เป็นพระโอรสเล่าสือลักลอบจัดการทั้งสิ้น ขอเพียงฝ่าบาทยืนกรานเช่นนั้น การเสียสละของพระโอรสก็ไม่สูญเปล่าแล้ว” อองลอง ซึ่งมีสถานะเป็นอาจารย์ผู้สอนเล่าสือมานาน กล่าวยืนยัน
อองลอง ราชบัณฑิตเจ้าสำนักหอสมุดใต้หล้า และผู้นำลัทธิขงจื้อในนามแฝง อองซาน หนึ่งในผู้ก่อการร้าย ไต่ระดับขึ้นมาเป็นมือขวาคนสนิทของฮกอ้วน ประเมินว่ากระแสคลื่นลมทางการเมืองแม้จะรุนแรง แต่คงไม่ถึงกับทำให้องค์กษัตริย์ต้องระคายเคืองไปได้
กษัตริย์เหี้ยนเต้คล้ายรับฟังคล้ายเหม่อลอย ครุ่นคิดถึงครอบครัวที่ลาลับทีละคน สุดท้าย ถึงกับฟุบหลับลงไปกับโต๊ะด้วยความเมามายแล้ว ขันทีเตียวโถที่ยืนกำกับอยู่ด้านหลังจึงค่อยก้าวมาโบกมือ ถือเป็นสัญญาณให้แยกย้าย ทั้งหมดจึงเดินผ่านหัวหน้าองครักษ์ประจำวังหลวงที่ยืนคุ้มกันอยู่ด้านนอกประตูด้วยตนเอง ออกไปอย่างเงียบงัน
การต่อต้านทรราชย์ครั้งนี้ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงอีกครั้ง ตัวประสานหลักตกตายสูญหายหลายคน แต่คนที่เหลือยังคงต้องรักษากำลังใจกันเอาไว้ อย่างน้อย รากฐานอำนาจเก่าของสำนักหอสมุดใต้หล้า และกลุ่มประสานงานในวังหลวงก็ยังคงอยู่อย่างปลอดภัย
หลังจากที่อินทรีนำร่างของโจโฉที่มีอาการสาหัสปางตาย กลับมาที่กระท่อมรังนกแห่งใหม่ เพื่อให้นกฮูก-ฮัวโต๋ทำการรักษา เหยี่ยวดำที่แยกตัวไปแจ้งข่าวกับกระตั้ว-กาเซี่ยง ได้รับข่าวคราวสำคัญ จึงนำมาร่วมประชุมกลุ่มเล็ก โดยมีหัวขวานร่วมฟังด้วยอีกคน
“ขุนพลงักจิ้นถูกสังหารตายในเหตุการณ์ถล่มวังทลายปราสาทไปแล้ว เป็นไปได้อย่างไรกัน” อินทรีสะดุดใจในข่าวใหญ่ ลูกชายของแฮหัวเอี๋ยนสามคนตายในเหตุการณ์เดียวกัน แต่กลับไม่น่าตื่นตระหนกเท่าขุนพลพยัคฆ์ที่เพ่ิงขาดหายไปหนึ่งคน
เมื่อเร่งทบทวนเรื่องราวประวัติศาสตร์กันคร่าวๆ ตามภารกิจดั้งเดิมที่เคยได้รับมา สามตัวปัญหาที่แทรกแซงประวัติศาสตร์จนผิดเพี้ยน คือ อ้วนเสี้ยว ขงเบ้ง และโลซกตามลำดับ
อ้วนเสี้ยว ตัวปัญหาคนแรกทางภาคเหนือจบสิ้นไปก็จริง แต่ยามนี้ กลับกลายเป็นม้าเท้งแสร้งตาย สวมรอยเข้ามาแทนที่โจโฉด้วยหน้ากากพิสดาร อุปกรณ์สำคัญของหน่วยงานตนเอง ซึ่งเป็นไปได้เช่นไรก็ยังไม่ทราบชัด แต่เพราะคนหน่วยปักษาที่เปิดหน้าทรยศ ก็มีให้เห็นอยู่หลายคน อาจจะเป็นคนใดคนหนึ่งเชื่อมโยงไปสู่ม้าเท้งก็เป็นได้
ส่วนโจโฉตัวจริงนั้นเล่า ยามนี้ก็บาดเจ็บสาหัสอย่างยิ่ง นกฮูกประเมินว่า ต้องพักรักษาตัวอย่างใกล้ชิดไม่น้อยกว่าหกเดือนถึงหนึ่งปี ซึ่งกลับกลายเป็นว่า การที่มีม้าเท้งมาสวมแทนก็มีข้อดีต่อหน้าฉากประวัติศาสตร์อยู่บ้าง หากมันไม่กระทำการณ์ใดที่รุนแรงจนเกินเลย หวังได้เพียงว่า กระตั้ว-กาเซี่ยงจะพอช่วยเหลือได้บ้าง
ตัวปัญหาคนที่สองที่ใจกลางประเทศ ขงเบ้งก็ยังคงดำเนินแผนงานการเมืองให้กับสกุลจูกัดอย่างชัดเจน สร้างขั้วแบ่งแยกอิทธิพลกับเล่าปี่อย่างโจ่งแจ้ง ทำให้เกิดมุ้งเล็กมุ้งใหญ่ในขุมกำลังเกงจิ๋ว ไม่ว่าจะเป็นกวนอู จูล่ง บังทอง หรือกลุ่มบิต๊ก เล่าฮอง ก็ตาม
ยังดีที่นางแอ่น-เตียวหุยอยู่ในตำแหน่งที่ดี ชักจูงเล่าปี่ได้ง่าย จึงพอเชื่อมโยงถ่วงดุลย์กลุ่มอำนาจต่างๆไม่ให้วุ่นวายจนเกินไป อีกทั้งเป้าหมายระยะสั้นของขุมกำลังเกงจิ๋วคือการแผ่ขยายอำนาจไปยึดครองดินแดนเสฉวนให้ได้ก่อน ทำให้แต่ละคนแต่ละกลุ่มยังเก็บซ่อนวาระของตนเองเอาไว้ชั่วคราว
กลับกลายเป็นตัวปัญหาคนที่สามทางภาคใต้ที่น่ากังวลใจยิ่งนัก โลซกคล้ายสยายปีกรุกคืบไปยังช่องว่างต่างๆในขั้วอำนาจของสกลุซุน ตั้งแต่การทหารที่สิ้นไร้ขุนพลใหญ่จิวยี่ การค้าที่ไม่มีเจ้าสัวเกียวชวน การจัดการที่เตียวเจียวมีชนักติดหลัง และการบริหารที่ซุนกวนยังอ่อนประสบการณ์ จนน่าแปลกใจว่า สำนักหุบเขาปีศาจที่ซ่อนเร้นหลังฉากอยู่นั้น จะยินยอมให้เกิดภาพเช่นนี้ได้อย่างไร
จากปัญหาเฉพาะหน้าที่หน่วยปักษาสวรรค์ไม่สามารถส่งสมาชิกสอดแทรกเข้าไปได้ ทำให้พวกมันต้องพึ่งพาลกซุนหรือป้อเอี๋ยน หนุ่มน้อยที่เผอิญมีวาสนาต่อกันกับเหยี่ยวดำอย่างลึกซึ้ง แต่การควบคุมคนโบราณที่มีชื่อเสียงปรากฏบนหน้าประวัติศาสตร์เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนอย่างยิ่ง และใช่ว่า ลกซุนจะยอมเป็นหมากให้กับผู้คนได้ง่าย
อินทรีมือเหล็กในฐานะผู้นำหน่วยปักษาสวรรค์ต้องประคับประคองสมาชิกที่เหลือรอดให้เชื่อมั่นต่อภารกิจที่ได้รับมา หากแต่ตัวมันเองกลับพบพานอยู่เนืองๆว่า มีเรื่องราวปลีกย่อยที่ผิดเพี้ยนไปจากเดิม ใหญ่บ้างเล็กบ้าง เฉกเช่นในครั้งนี้ที่งักจิ้นถูกสังหารตายในสมรภูมิขบถปราสาทนกยูง เหตุการณ์ซึ่งไม่เคยถูกกล่าวถึงในบันทึกพงศาวดาร
“มิน่าเล่า องค์กรจึงไม่ยอมให้นำหนังสือใดๆจากโลกยุคอนาคตติดตัวมาด้วย หรือว่าหน่วยงานต้องการให้เราลืมเลือนเรื่องราวเก่าก่อน ปล่อยให้วังวนกาลเวลาทำหน้าที่ของมัน สอดคล้องไปกับเหตุการณ์ที่ขยายผลแปรเปลี่ยนไปเรื่อยๆด้วยผลกระทบจากพวกเราเอง” อินทรีได้แต่นึกคิดทบทวน มิกล้าบอกต่อพวกพ้องให้ฟุ้งซ่านเกินไป
โดยเฉพาะหัวขวาน สมญา สติเฟื่อง ซึ่งมีศักยภาพการทำงานสูงก็จริง แต่มีแนวโน้มที่จะแตกแถว ออกนอกกรอบกติกาได้ง่ายที่สุด ตามประวัติบันทึกแล้ว สมาชิกคนอื่นๆยังสามารถคาดเดาการตอบสนองได้ไม่ยาก แต่อัจฉริยะนักประดิษฐ์ผู้นี้กลับพลิกแพลงความคิดได้พิสดารเกินขอบเขตได้จริงๆ บางที สติเฟื่องกับสติแตกก็เป็นแค่เส้นบางๆ
...

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา