9 มิ.ย. 2021 เวลา 00:10 • นิยาย เรื่องสั้น
4.6. ปราบกระต่ายเจ้าเล่ห์
ตันกุ๋น กุนซือจอมโหด - ตันฮก กิเลนพิสดาร - ลกซุน พยัคฆ์คะนอง
ตันกุ๋น กุนซือจอมโหด และตันฮก กุนซือกิเลนพิสดาร ผู้เป็นบุตรชาย นั่งปรึกษากันอยู่ในห้องลับแห่งหนึ่ง หลังจากที่ก่อกวนกองทัพเกลียวคลื่นและม้าเหล็กด้วยกองทัพฟ้าลั่นแล้ว ทั้งสองก็เข้ามาหลบซ่อนอยู่ในที่นี้ เพื่อรอคอยข่าวความเคลื่อนไหวจากทัวปาลี่เวย อดีตผู้นำเซียนเปย คนที่อยู่เบื้องหลังในการขบถในครั้งนี้
หากแต่ด้วยความรอบคอบและความระมัดระวังตัว พวกมันจึงมิได้เปิดเผยสถานที่ลับออกไป แม้จะเป็นพวกเดียวกันเองก็ตาม เฉกเช่นเดียวกันกับความสัมพันธ์พ่อลูก ซึ่งยังคงมีแต่คนในเครือข่ายสุมาเท่านั้นที่รับรู้
“ยังดีที่คนทั่วไปไม่มีใครล่วงรู้ว่า พวกเราเป็นพ่อลูกกัน คนอื่นจึงคาดการณ์ว่า พวกเราแยกย้ายกันซ่อนตัว แต่ที่จริง กลับมาอยู่ด้วยกันที่นี่อย่างสุขสบาย” ตันก๋งกล่าว ในขณะที่ล้มตัวลงนอนพักกายที่พื้นห้อง ซึ่งมีฟางหญ้าปูไว้ประปราย
“ข้ายังกังวลใจว่า ยังมีอีกคนที่อาจจะเดาใจพวกเราได้ ท่านคงไม่ลืมสุมาอี้ ผู้เป็นหัวหน้าเครือข่ายสุมาคนปัจจุบันหรือนะ” ตันฮกเผยความในใจ
“ต่อให้มันล่วงรู้ความสัมพันธ์ของเรา แต่ก็คงเดาสถานที่แห่งนี้ไม่ออกหรอก” ตันก๋งยังคงมั่นใจ “แต่หากเจ้าไม่มั่นใจ พรุ่งนี้ พวกเราจะหลบหนีไปที่อื่นเสียเลยก็ย่อมได้”
ไม่ทันขาดคำ ผนังกำแพงหินด้านหนึ่งก็พังครืนลงมาด้วยแรงกระแทกของท่อนไม้ซุงขนาดใหญ่ จนฝุ่นหินเศษไม้คละคลุ้งไปทั่วห้อง กองทหารจำนวนหนึ่งพร้อมด้วยขุนพลโจหยิน แฮหัวป๋า ก้าวเข้ามาล้อมพื้นที่เอาไว้อย่างแน่นหนา และแล้ว ด้านนอกที่ดูคล้ายห้องหนังสือโล่งกว้าง ค่อยปรากฏเงาร่างของกุนซือสองคนขึ้น เป็นสุมาอี้ และเอียวสิ้ว
“ท่านเอียวสิ้ว ยอดเยี่ยมนัก เพิ่งมาประจำการเป็นคนสนิทของโจสิดได้ไม่นาน ก็สังเกตความผิดปกติในโครงสร้างของห้องหนังสือใหญ่ที่ปราสาทแห่งนี้ และสามารถเชื่อมโยงเข้ากับตันกุ๋น ผู้ที่ควบคุมวางแผนก่อสร้างปราสาทจนได้ เพียงชั่วอึดใจ ก็สามารถนำพวกเรามาได้ถูกทาง ค้นพบห้องลับจับพวกมันได้รวดเร็วเช่นนี้ เจ้าพระยาปราบอุดร ต้องปูนบำเหน็จให้ท่านอย่างงดงามเป็นแน่” สุมาอี้กล่าวยืดยาว แต่บรรยายสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างรวบรัด เหมือนบอกเป็นนัยให้ตันก๋ง ตันฮก ล่วงรู้ความผิดพลาดที่เกิดขึ้น ไม่ต้องให้คาดเดาเปะปะจนเสียการณ์ใหญ่
แน่นอน สุมาอี้ย่อมหวาดระแวงไม่น้อยว่า ตันก๋ง ตันฮก ยามจนตรอก จะเปิดโปงตนเอง จึงอาสากำกับกองทหารมาพร้อมกับเอียวสิ้ว กุนซือหัวไว ปากไว ผู้เปิดโปงที่ซ่อนตัวด้วยทันที และรีบเฉลยความนัย ก่อนที่คนทั้งสองจะแว้งกัดเข้าก่อน
หากแต่เอียวสิ้วรับฟังแล้วยังหน้าแดงวูบเล็กน้อย เพราะที่จริง ผู้ที่พบเห็นห้องลับแห่งนี้ก็คือพ่อบ้านใหญ่เทียลิด ซึ่งเป็นคนละเอียดรอบคอบเป็นนิจ และคาดเดาได้ว่า ตันกุ๋นอาจนำมาใช้เพื่อหลบซ่อน จึงเพียงอาศัยให้มันเป็นกระบอกเสียงมาบอกกล่าวกับผู้อื่น ก่อนที่จะแยกทางกันไปเมื่อวันก่อน เอียวสิ้วมุ่งหน้าเข้าเมืองหลวง ส่วนเทียลิดแอบจับตาดู มิให้ฝ่ายตรงข้ามรู้ตัวหลบหนีไปก่่อน
ต้องย้อนกลับไปช่วงเวลาคุมงานก่อสร้างงานปราสาทนกยูงทองแดง ตันกุ๋นเป็นคนดูแลการก่อสร้างตามลำพัง พบเห็นโอกาส จึงแอบสั่งการให้อ้วนยู ปราชญ์สร้างสรรค์ ออกแบบจัดทำห้องลับเป็นที่ซ่อนตัวอยู่ภายในห้องหนังสือ อ้างว่าเป็นคำสั่งของโจโฉโดยตรง หากโจโฉพบเห็นก่อน มันก็เพียงอ้างเหตุระวังภัยจึงแอบสร้างห้องลับให้ แต่หากไม่มีใครพบเห็น จุดนี้กลับเป็นที่หลบซ่อนชั้นดีของพวกมันเอง
“ฮ่าฮ่าฮ่า กระต่ายแสนกลย่อมมีหลายโพรง คิดหรือว่า นี่คือจุดจบของพวกเรา” ตันก๋งผู้มีความคิดลึกซึ้ง มองไปที่พื้นเบื้องหน้า พลันประกาศกร้าว พร้อมยื่นมือกระตุกกลไกบางอย่างให้เคลื่อนไหว จนเกิดเสียงสะท้อนเกรียวกราวดังเป็นทอดๆ
การจ้องมองลงต่ำ และเนื้อความประกาศมีคำว่าโพรง คล้ายเงื่อนงำอยู่ที่พื้น จนบางคนอดชำเลืองมองตามไม่ได้ แต่ที่จริง ขื่อเพดานของห้องลับกลับถล่มลงมา พร้อมก้อนหินขนาดเท่าหัวเด็กทารกหลายสิบก้อน หล่นกระแทกเหล่าทหารบาดเจ็บสลบไสลไปสิบกว่าคน ยังดีที่โจหยินรีบคว้าตัวสุมาอี้ เอียวสิ้ว หลบไปด้านนอก เพื่อความปลอดภัย แต่สุมาอี้ยังทันสะบัดมีดสั้นพุ่งสวนเข้าไปภายในได้อีกหนึ่งมีด ก่อนถูกลากตัวออกไป
พอก้อนหินขาดตอนและฝุ่นควันจางลง พวกโจหยินส่งทหารเข้าไปสำรวจ ก็ไม่พบกุนซือทั้งสองเสียแล้ว นอกจากกองเลือดหย่อมใหญ่ แสดงว่า ภายในนั้น มีโพรงกระต่ายจริง ตามคำของตันก๋งอย่างแน่นอน แต่ยามกระทันหัน กลับเสาะหากลไกไม่พบ
สุมาอี้รีบแจ้งให้โจหยิน แฮหัวป๋า นำทหารแยกกันออกไปสำรวจรอบๆปราสาททางทิศตะวันออก และตะวันตกในทันที ส่วนตนเอง พร้อมกับเอียวสิ้วก็นำทหารไปส่วนหนึ่ง ตามหาทางทิศเหนือเช่นกัน เพราะทิศใต้เป็นเมืองหลวง คนหลบหนีไม่น่าจะมุ่งตรงไปเข้าถ้ำเสือ
“ในเมื่อมีโพรงกระต่าย เราก็ออกไปไล่ล่ากระต่ายในป่าไม้นอกเมืองกันเถิด” สุมาอี้รีบสั่งการอย่างรวดเร็ว ก่อนจะแยกกันไปตรวจค้นเป็นสามทิศทาง
ตันก๋งที่มีมีดสั้นปักคาไหล่ และตันฮก ปีนป่ายออกมาจากโพรงลับอย่างทุลักทุเล เป็นขอบคูคลองรอบกำแพงทางด้านทิศเหนือ ซึ่งตันก๋งเคยประเมินไว้ตั้งแต่เริ่มก่อสร้างแล้วว่า น่าจะเป็นทิศทางที่ปลอดภัยที่สุด เพราะอยู่ใกล้กับคอกม้าประจำปราสาท หากออกมาทางนี้ ก็ชิงม้าหลบหนีขึ้นเหนือให้พ้นกำแพงด่านไปก่อน ย่อมจะติดตามได้ยากแล้ว
เพียงก้าวผ่านประตูคอกม้าเข้ามาได้ไม่กี่ก้าว เสียงทหารก็ไล่ติดตามมาข้างหลังแล้ว ต้องยอมรับว่า ทหารเกลียวคลื่นของฝ่ายโจโฉ เคลื่อนไหวได้รวดเร็วยิ่งนัก ทั้งสองหันไปมอง เห็นเป็นสุมาอี้และเอียวสิ้ว เป็นผู้นำกองทหารมา หากเป็นเหตุการณ์ปกติ สุมาอี้อาจจะละเว้นพวกมันได้ แต่เมื่อมีกุนซือมากปัญญาอย่างเอียวสิ้วติดตามมาด้วย สุมาอี้คงไม่กล้าเปิดเผยตัวตน ออกหน้าช่วยเหลือพวกมันเป็นแน่
นี่เป็นเพราะทั้งสองพ่อลูกไม่รู้ว่า ผู้ที่ปามีดสั้นสวนเข้ามาทำร้ายในช่วงเวลาชุลมุนนั้น ก็คือสุมาอี้ มิเช่นนั้น คงไม่ได้ประเมินด้วยความคิดดีงามเช่นนี้
ตันฮกผลักดันตันก๋ง ผู้เป็นบิดา ขึ้นม้า แล้วค่อยขึ้นคร่อมม้าอีกตัวหนึ่ง พร้อมจะออกเดินทาง แต่ตันก๋งคล้ายเปลี่ยนใจกระทันหัน จึงชิงกล่าว “เจ้าหลบหนีไปเถอะ เราทั้งแก่ชราทั้งบาดเจ็บเช่นนี้ คงไม่สะดวกที่จะเดินทางต่อไป แต่พอจะขัดขวางถ่วงเวลาเอาไว้ได้บ้าง เหลือขุนเขาแมกไม้ ไม่ต้องวิตกว่าไร้ฟืนไฟ ขอให้เจ้ารักษาตัวด้วย เจ้าลูกชาย”
กล่าวจบคำ ตันก๋งก็เหวี่ยงแส้ม้า ตีใส่ม้าของตันฮกจนพุ่งทะยานไปทางด้านหน้าอย่างรวดเร็ว ตันฮกหันกลับมาสบตาบิดาที่ยังคงฝืนยิ้มโบกมืออำลา มันตระหนักถึงความรุนแรงของสถานการณ์ ไม่จำเป็นกล่าวคำใดๆอีก จนหายลับเข้าไปในป่าไม้เบื้องหน้า คล้ายจะเก็บภาพความทรงจำครั้งสุดท้ายเอาไว้
ตันก๋งบังคับม้าวนไปรอบๆคอกกว้าง พยายามดึงรั้งสิ่งของรอบข้างขวางเส้นทางเอาไว้ เตรียมตัวจะชวนเจรจากับสุมาอี้ ถ่วงเวลาให้กับตันฮกให้ได้นานที่สุด แต่เสียงเอียวสิ้วกลับล่องลอยมาตามสายลมก่อน “ท่านเจ้าพระยาสั่งให้จับตาย ไม่ต้องละเว้นชีวิตมันทั้งสองคน ใครมีส่วนลงมือสังหาร จะได้รับรางวัลกันถ้วนหน้า”
แน่นอนว่า เอียวสิ้วเห็นว่าตนเองมีชนักติดหลัง มีส่วนสมรู้ร่วมคิดกับพวกขบถด้วยเช่นกัน จึงไม่แน่ใจว่าสองกุนซือจะมีความเชื่อมโยงกับพวกขบถมากน้อยเพียงไร อาจทำให้เภทภัยอาจมาถึงตัวเอง ทางที่ดีคือรีบชิงปิดปากเลยจะดีกว่า มันจึงต้องรีบประกาศให้จับตายเอาไว้ก่อน
และแล้ว อาวุธระยะไกลทั้งเกาทัณฑ์ ทวน หอกซัด มีดสั้น ล้วนพุ่งเข้าใส่ทั้งคนทั้งม้าดั่งห่าฝน ตันก๋งพยายามหลบหลีก แต่ติดที่ได้รับบาดเจ็บอยู่ก่อน จึงเคลื่อนไหวไม่ถนัด โดนอาวุธหนักเบาปักตรึงเข้าไปอีกหลายแห่ง ม้าใหญ่ที่ช่วงชิงมานั้นก็บาดเจ็บทรุดตัวล้มลง ทำให้ตัวมันกลิ้งหล่นไปกับพื้นสองสามรอบ แต่ก็ยังยันกายลุกขึ้นขวางกองทหาร ทั้งๆที่มีอาวุธคาอยู่เต็มร่าง เพื่อซื้อเวลาให้กับบุตรชายให้ได้มากที่สุด
กองทหารเกลียวคลื่นไม่หยุดยั้งความเร็วลงสักนิด แต่พุ่งผ่านตัวมันไปคล้ายว่ามันไม่มีตัวตน ต่างมุ่งหน้าเข้าสู่ป่าไม้ ตามล่าตันฮกต่อไป รวมทั้งเอียวสิ้วด้วย สุดท้าย ค่อยมีบุคคลหนึ่งรั้งม้าชะลอดูมันอยู่อย่างใจเย็น เป็นสุมาอี้ กุนซือเต่าสมถะ
“นี่คงเป็นวาระสุดท้ายของเจ้าแล้ว ท่านอา” สุมาอี้มองดูตันก๋งที่อยู่ตรงหน้า เห็นภาพในอดีต เข้ามาในความทรงจำ คนผู้นี้คือตันกุ๋นที่เป็นคนใกล้ชิดของสุมาเต๊กโช บิดาผู้ล่วงลับ เป็นตันก๋ง กุนซือคู่คิดในกองทัพของโจโฉร่วมกับตัวมัน ซุนฮก กุยแก และกาเซี่ยง เป็นพระอาจารย์คู่ชิงดีชิงเด่นของทายาทโจเจียงโจสิด และบทบาทสุดท้าย เป็นกุนซือผู้ก่อตั้งกองทัพฟ้าลั่น ทุกย่างก้าวล้วนสามารถเข้าถึงขั้วอำนาจ ขุมกำลังสำคัญทั้งสิ้น แสดงให้เห็นความสามารถในการวางแผนของกุนซือจอมโหดผู้นี้
เมื่อภาพเหล่านั้นผ่านเข้ามาในความทรงจำ สุมาอี้ จึงกล่าวย้ำขึ้น “ท่านเป็นบุคคลอันตรายจริงอย่างที่ท่านพ่อเคยกล่าวไว้ หากเป็นพวกพ้อง ควรเก็บไว้ข้างกาย หากเป็นศัตรู ก็ต้องรีบกำจัดทิ้ง”
สุมาอี้โน้มตัวลงไปจับมีดสั้นของตนเองที่ยังปักคาหัวไหล่ของตันก๋ง พร้อมกับถีบส่งเข้าที่หน้าอกไปอีกคราหนึ่ง จนตันก๋งกระเด็นกลิ้งล้มฟุบไปกับพื้นดิน “เพียงแค่นี้ กุนซือสูงวัยไม่ควรรอดชีวิตแล้ว” มันจึงชักม้ามุ่งสู่ป่าไม้เช่นเดียวกันกับคนอื่นๆ
เมื่อสิ้นเสียงฝีเท้าม้าของสุมาอี้พักใหญ่ บริเวณหน้าปราสาทยังคงเงียบงันว่างเปล่า บ่าวไพร่ทหารอารักขาล้วนหลีกเลี่ยงความยุ่งยาก เก็บตัวทำหน้าที่อยู่ทางด้านอื่น ตันก๋งจึงค่อยๆยันตัวลุกขึ้นอย่างแช่มช้า
นอกจากบาดแผลที่หัวไหล่อันเกิดจากมีดสั้นในห้องลับ และแรงถีบกระแทกที่กลางอกเมื่อครู่แล้ว ดูเหมือนมันไม่รู้สึกอะไรกับอาวุธอื่นๆที่ปักใส่อยู่เลย เพียงเดินกำลังภายในชั่วครู่ อาวุธทั้งหลายถึงกับร่วงหล่นลงมาเองโดยเหลือเพียงร่องรอยเสื้อผ้าที่ฉีกขาด และหย่อมเลือดเล็กน้อยเต็มไปทั่วร่างจนคล้ายมนุษย์โลหิตคนหนึ่ง แต่แววตาสีหน้ากลับดูมุ่งมั่นมีพลังเช่นเดิม พร้อมจะก้าวเดินหลบหนีออกไปแล้ว
เสียงปรบมือดังขึ้นจากทางด้านหลัง พร้อมกับสำเนียงที่คุ้นหู “พลังระฆังทองอันยอดเยี่ยม คาดไม่ถึงว่า ท่านผู้เป็นขุนนางฝ่ายบุ๋น แต่กลับฝึกสำเร็จวิชาพิสดารมาได้ถึงขั้นนี้”
พลังระฆังทอง เสื้อผ้าเหล็ก ล้วนเป็นวิชาคุ้มครองร่างกายให้แข็งแกร่ง ทนทานต่ออาวุธนานาชนิด พลังระฆังทองเกิดจากการใช้กำลังภายในปกป้องจุดสำคัญ ผู้ฝึกปรือพัฒนาเพียงลมปราณ แตกต่างจากพลังเสื้อผ้าเหล็กที่เกิดจากการฝึกฝนร่างกายภายนอก กล้ามเนื้อโครงสร้างร่างกายจึงมีร่องรอยชัดเจน อย่างเช่นที่จิวท่ายฝึกปรือสำเร็จ
ตันก๋งสะดุ้งสุดตัว หันไปดู เห็นเป็นชายหนุ่มในชุดนักศึกษา ยืนห่างออกไปไม่ไกลตั้งแต่เมื่อไรไม่ทราบ เป็นหนึ่งในทายาทมังกร ศิษย์น้องคนเล็กสุด ป้อเอี๋ยน หรือ ลกซุน กุนซือพยัคฆ์คะนอง
“หลานซุน เจ้ามาถึงที่นี่ได้อย่างไรกัน” ตันก๋งลองหยั่งเชิง ถึงแม้พลังระฆังทองคุ้มครองร่างกายได้อย่างเหลือเชื่อ แต่อาวุธทั้งหลายก็ยังทะลุผ่านผิวหนังตื้นๆ เรียกเลือดเนื้อ และบั่นทอนพลังชีวิตมันไปไม่น้อย
“พวกท่านก่อการร้าย ใช้กองกำลังทหารห้ำหั่นทำลายล้างโจโฉ พวกเราฝ่ายกังตั๋งก็ก่อการลับ ใช้การค้าขาย ควบคุมอำนาจทางเศรษฐกิจอยู่เช่นกัน โลซกเป็นอดีตพ่อค้าวาณิช จึงเลียนเยี่ยงลิปุดอุย คิดกลืนกินแผ่นดินฮั่น โดยไม่ต้องเสียเลือดเนื้อ จึงได้ส่งข้ามาดำเนินแผนการธุรกิจในครั้งนี้” ลกซุนอธิบายอย่างใจเย็น คล้ายมีแต้มต่อที่เหนือกว่า
หากลกซุนกล่าวเช่นนี้ แสดงว่า ผลงานด้านเศรษฐกิจของสหพันธ์การค้าหมาป่าเงินที่โดดเด่น และเยี่ยมยอดนั้น ที่แท้ ก็เป็นการสอดประสานงานกันอย่างไร้ที่ติระหว่าง พี่ใหญ่ สุมาอี้ กับ น้องเล็ก ลกซุน แห่งกลุ่มทายาทมังกร โดยมีซุนกวน และเสนาบดีโลซกแห่งกังตั๋ง สองศิษย์เอกของเจ้าสัวเกียวชวนผลักดันอยู่เบื้องหลังอีกทอดหนึ่ง ผนวกกับความร่วมมือของเจ้าสัวจงฮิว และเกียงกวง ซึ่งล้วนเป็นคนคุ้นเคยของเจ้าสัวเกียวทั้งสิ้น มิน่าเล่า จึงไม่มีกระแสต่อต้านจากกลุ่มการค้าดั้งเดิมเลยแม้แต่น้อย
ขุนศึกทั้งหลายต่างทุ่มเทช่วงชิงอำนาจทางการเมืองด้วยกำลังทหาร แต่สุมาอี้กับลกซุนกำลังสร้างสมรภูมิใหม่ซ้อนทับอยู่อีกมิติหนึ่ง เป็นพลังเศรษฐกิจที่มีอำนาจ และทรงอิทธิพลไม่แพ้กันเลย และถึงกับมีความก้าวหน้าเหนือล้ำขุมกำลังอื่นๆไปแล้วหลายขั้นนัก
ตันก๋งกวาดตามอง ไม่เห็นกำลังเสริมซ่อนตัวอยู่อีก ลำพัง ลกซุน ไม่น่าจะเป็นปัญหาอันใด อย่างมาก มันก็ยังพอหลบหนีได้อยู่ดี “เจ้ามาเพียงคนเดียว ไม่สุ่มเสี่ยงไปดอกหรือ”
ลกซุนแย้มยิ้ม พลางตอบ “อาจารย์ผู้ล่วงลับตั้งฉายาให้ข้าเป็นพยัคฆ์คะนอง ย่อมมีที่มาที่ไป การสุ่มเสี่ยงก็นับเป็นจุดเด่นประการหนึ่งของตัวเรา”
มันหยุดคำเล็กน้อย ค่อยเริ่มเดินพลางกล่าวพลาง พร้อมสะบัดพัดจีบในมือ คล้ายบัณฑิตร่ายกวีชมสวน “คิดไม่ถึง การเดินทางมาทำธุระครั้งนี้ กลับเป็นเวลาพอดีกับที่พวกท่านลงมือก่อการใหญ่จนล้มเหลว พี่ใหญ่กำลังรวบรวมคนจะออกมาจัดการกับท่าน เราจึงติดต่อขอติดตามมาด้วย ทางหนึ่ง อ้างเพื่อลอบช่วยเหลือพี่ใหญ่ อีกทางหนึ่ง ก็เพื่อมาพบหน้าท่านเป็นครั้งสุดท้าย พี่ใหญ่จึงจัดฉากให้ท่านนอนตายอยู่ตามลำพัง โดยไม่มีทหารเฝ้าระวังเช่นนี้ เพราะรู้อยู่ว่า ข้าจะคอยดูแลจัดการท่านต่อให้เอง”
ตันก๋งลอบเกร็งพลัง เตรียมชิงลงมือ แต่แล้ว กลับรู้สึกอ่อนเปลี้ย คล้ายมีหนอนเล็กๆชอนไชเข้าไปทั่วร่างกาย ทั้งแสบคัน ทั้งเจ็บปวด จนอดใจไม่ให้เกาไม่ได้ แต่เหมือนยิ่งเกา ก็ยิ่งเปิดบาดแผลให้กว้างขึ้น ล้มกลิ้งไปกับพื้น สุดท้าย ถึงกับรู้สึกเหน็บชาคล้ายเป็นอัมพาต ไม่อาจเคลื่อนไหวร่างกายหรือมือเท้าได้แล้วด้วยซ้ำ
ลกซุนมองเห็นความเปลี่ยนแปลงด้วยความตื่นเต้น แต่่แสร้งนิ่งเฉย ค่อยๆเฉลยว่า “นี่คือพิษหนอนคุณไสยที่ข้าได้รับมาจากเผ่าเย่ทางใต้ ตัวผงพิษไร้กลิ่นไร้สี ลอยตามกระแสลมเข้าสู่ร่างกาย ผ่านทางบาดแผลที่เจ้ามีอยู่เต็มร่างกาย ข้านึกหาวิธีจัดการกับพลังระฆังทองของเจ้ามาเนิ่นนานแล้ว ในที่สุด การลงใต้ปราบเผ่าเย่ ได้ค้นพบหนอนพิษชนิดนี้โดยบังเอิญ จึงไหว้วานยอดคนด้านพิษร้าย จัดทำมากำนัลแก่เจ้าโดยเฉพาะ”
ลกซุนหยุดอีกครั้ง แล้วตัดสินใจกล่าวต่อ “ตันก๋งเอย เจ้าคงจำเหตุการณ์สังหารล้างตระกูลที่บ้านลิแปะเฉียได้กระมัง ตัวข้านี่แหละคือ ปลาน้อยรอดร่างแหในครั้งนั้น ชื่อแซ่จริงของข้าก็คือ ลิป้อเอี๋ยน บุตรชายคนเล็กของลิแปะเฉียที่ถูกเจ้ากับโจโฉฆ่าตายสิ้นทั้งครอบครัวเมื่อยี่สิบปีก่อน”
ตันก๋งตาเหลือกลาน แต่ไม่สามารถกล่าวคำใดๆได้แล้ว คาดไม่ถึงว่า คนตรงหน้ารอคอยแก้แค้นตนเองมานานหลายสิบปีได้เช่นนี้ มันสองพบเห็นกันหลายครั้งหลายครา มีแต่ร่องรอยแย้มยิ้มสนิทสนม กลับมิอาจล่วงรู้ความนึกคิดในใจได้เลย ความหนักแน่นเยือกเย็นของลกซุนย่อมเหนือล้ำเกินกว่าผู้คนทั่วไปแล้ว
ลกซุนเคลื่อนไหวอีกครั้ง หยิบเอาอาวุธต่างๆที่เมื่อครู่ตันก๋งทำตกหล่นอยู่ตามพื้นดินมากมาย ปักคืนใส่ร่างของตันก๋งอีกครั้งทีละเล่มๆ จนเต็มไปทั่วทั้งร่างกายเช่นเดิม สร้างความเจ็บปวดให้ตันก๋งจนแทบขาดใจตาย พลังระฆังทองของมันเสื่อมสลายไปเสียแล้วด้วยพิษร้ายที่แทรกซึมเข้ามา จึงมิอาจเดินพลังคุ้มครองร่างกายได้อีก
“ลูกผู้ชายล้างแค้นสิบปี ไม่สาย การกระทำครั้งนี้แม้โหดเหี้ยม แต่ก็เป็นเพราะตัวเจ้าเองที่อำมหิตกับข้าก่อน ต่อไป ถือว่า เลิกแล้วกันไปเถอะ” ลกซุนกล่าวทิ้งท้าย พร้อมปักทวนลึกเข้าไปที่กลางอกของตันก๋งเป็นครั้งสุดท้าย ยุติชีวิตของกุนซือจอมโหดจริงๆแล้ว
ตันก๋ง บุคคลต้นแบบของโจโฉ ที่กล้าลงมือทำร้ายผู้มีพระคุณ จนทำให้เกิดประโยคสำคัญ “ยอมทรยศคนทั่วหล้า ดีกว่าถูกใครมาหักหลัง” จึงมีจุดจบลงเช่นนี้ด้วยฝีมือการล้างแค้นของอัจฉริยะหนุ่มทายาทผู้ตายนี่เอง
ลกซุนมองพิจารณาดูร่างของผู้ตาย ไม่ปรากฏร่องรอยของพิษร้ายใดๆ คล้ายกับมีเพียงบาดแผลอาวุธทางผิวหนังเท่านั้น จึงพึงพอใจกับผลงาน นึกชมเชยอิ๋นฉางที่สร้างยอดพิษมาให้ แล้วจึงเดินหายเข้าไปทางด้านหลังของปราสาทนกยูงที่ยังคงว่างเปล่าไร้ผู้คน
ลกซุนลัดเลาะเข้าไปในพื้นที่ด้านหลังใกล้กับห้องครัว จึงหยิบห่อผ้าทรงยาวที่สะพายหลังมานั้น หย่อนทิ้งลงไปในบ่อน้ำใหญ่ที่ใช้ในการทำอาหาร และดื่มกินภายในปราสาทนกยูง โจโฉก็เป็นฆาตกรที่ลงมือฆ่าล้างตระกูลของมันอีกคนหนึ่งเช่นกัน ดังนั้น เลือดก็ต้องล้างด้วยเลือด วัตถุในห่อผ้านี้จะตอบแทนพวกมันอย่างสาสมทีเดียว
ลกซุนยังมีภารกิจลับอีกประการหนึ่งที่เมื่อครู่ ไม่ได้บอกกล่าวให้ตันกุ๋นรับรู้ นั่นคือ จูกัดกิ๋นซึ่งเป็นคนช่างสังเกต ได้ค้นพบข้อมูลว่า การที่ศึกปราบสกุลอ้วนทางเหนือยืดเยื้ออยู่หลายปีนั้น เป็นเพราะช่วงเวลาดังกล่าว มณฑลภาคเหนือหลายแห่งเกิดปัญหาขาดแคลนเสบียงอาหารอย่างรุนแรง ไม่เพียงพอต่อการเดินทัพสู้รบต่างเมืองด้วยสาเหตุจากภัยพิบัติทางธรรมชาติที่มีผลกระทบต่อผลิตผลการเกษตรโดยตรง
ที่จริง ผู้คนทั่วไปคงจะปล่อยผ่านไปเพียงแค่นี้ หากแต่ลกซุนติดใจสงสัย จึงพยายามถามไถ่จากปราชญ์หยั่งรู้ เคาก้าน และปราชญ์สร้างสรรค์ อ้วนยู จนพบเงื่อนงำบางประการ ช่วงเวลานั้น ปรากฏเป็นฝูงตั๊กแตนจำนวนมากพลัดถิ่นฐานมาจากแหล่งใดไม่ปรากฏ แต่กลับวนเวียนทำลายพืชพรรณของชาวไร่ชาวนาอย่างต่อเนื่องตั้งเนิ่นนาน
กองทัพพยัคฆ์เสือดาวอันเกรียงไกรของโจโฉจึงไม่อาจเดินหน้าต่อไปด้วยขาดแคลนเสบียงอาหารอย่างหนัก ได้แต่อ้างเหตุฝึกฝนกองทหาร และค้นคิดวิธีการกำจัดแมลงร้าย โดยใช้เหล่าทหารลงไปร่วมทำงานกับชาวไร่ชาวนา เปลือกนอก เหมือนกับช่วยลงแรงเพาะปลูก แต่ที่จริง เพื่อเฝ้าประจำพื้นที่ ใช้สวิงใหญ่ที่อ้วนยูคิดค้นเป็นอาวุธ คอยสู้รบกับกองทัพแมลงร้ายที่วนเวียนกัดกินพืชผลการเกษตรนั่นเอง
ลกซุนที่มีความรอบรู้ทางด้านงานประดิษฐ์คิดค้นอยู่แล้ว ย่อมไม่อาจปล่อยผ่านเบาะแสที่น่าสนใจเช่นนี้ จึงเดินทางมาด้วยตนเอง ทางหนึ่ง ติดต่อประสานงานทางการค้าขายกับสุมาอี้ จงฮิว อีกทางหนึ่ง คือการหาต้นตอของภัยพิบัติในครั้งนั้นจากปากคำของบุคคลที่อยู่ในเหตุการณ์จริงๆ จนพบชาวนาชราที่บอกเล่าเรื่องราวได้ชัดเจน
การอาละวาดของฝูงตั๊กแตนเกิดขึ้นมาแล้วสามครั้ง ครั้งแรก เกิดขึ้นในปีที่หุบเขาต้องห้ามถือกำเนิด เซียนปีศาจเริ่มปรากฏกาย ความรุนแรงยังไม่มากนัก พื้นที่ไร่นาเสียหายบางส่วน กลับทำให้คนสกุลอ้วนที่เป็นขุนนางหลายสมัย และมีรกรากตระกูลอยู่แถบนี้ สามารถแผ่ขยายอิทธิพลฝังรากลึก กลายเป็นคนสำคัญระดับท้องถิ่นมายาวนาน
ครั้งที่สอง เป็นปีที่หุบเขาเกิดเหตุรุนแรง เซียนปีศาจแสดงอาถรรพ์สังหารผู้บุกรุก ติดตามมาด้วยกองทัพใหญ่ของแมลงร้ายที่ทำให้เดือดร้อนกันทั่วหน้า ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างหลายมณฑล จนทำให้กองทัพโจรโพกผ้าเหลืองใช้เป็นข้ออ้างในการก่อเหตุปลุกระดม สามารถยึดครองพื้นที่ภาคเหนือได้หลายแห่ง
และครั้งสุดท้าย ในช่วงที่เกิดสมรภูมิรบกัวต๋อซึ่งเป็นดินแดนติดกันกับหุบเขาเซียนปีศาจ บางคนเห็นเหล่าเซียนออกมาสังหารทหารแตกทัพที่มารบกวนพื้นที่ แล้วกองทัพสัตว์ตัวเล็กแต่รวมกลุ่มมหาศาลยิ่งทวีคูณความร้ายกาจ สร้างความเสียหายได้อย่างหนักหน่วงหลายมณฑลมากขึ้นกว่าเดิม และยังปรากฏติดต่อกันมาตั้งหลายปีด้วย เป็นสาเหตุให้ระบบเศรษฐกิจของหัวเมืองทางเหนือทรุดโทรมลงอย่างหนัก ไม่อาจฟื้นคืนความรุ่งเรืองในอดีต และไม่มีทรัพยากรมากพอที่จะก่อการเพื่อเรียกร้องดินแดนกลับคืน
กลับกลายเป็นว่า การมาเยือนของฝูงตั๊กแตนดังกล่าว ส่งผลกระทบต่อความเปลี่ยนแปลงของแผ่นดินฮั่นไม่น้อยเลย บารมีสกุลอ้วน การถือกำเนิดโจรฟ้าเหลือง และความล่มสลายของขุมกำลังกิจิ๋ว ล้วนแต่เป็นผลพวงมาจากพวกมันสัตว์ตัวเล็กๆเหล่านี้
ลกซุนได้รับฟังแล้วกลับเชื่อมั่นว่า สาเหตุเภทภัยต้องมีความเกี่ยวพันกันกับดินแดนเซียนในตำนานที่กล่าวถึงจริง อาจจะมีกลุ่มคนพิสดารแอบแฝงอยู่เบื้องหลัง แต่น่าจะมิใช่เรื่องภูตผีปีศาจอันใด จึงได้แต่ตั้งเป้าหมายเอาไว้คร่าวๆว่า ต้องหาทางปลีกตัวเดินทางเข้าไปสำรวจหุบเขาต้องห้ามให้ได้สักคราหนึ่ง

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา