7 มิ.ย. 2021 เวลา 03:57 • หนังสือ
#10 เล่ม 3 บทที่ 2 หน้า 64 ~ 68
N : อดีตเกี่ยวข้องกับอนาคตยังไงครับ❓
G : เมื่อเธอรู้เกี่ยวกับอดีต เธอก็อยู่ในวิสัยที่จะรู้เกี่ยวกับอนาคตทั้งหมดที่อาจเกิดขึ้นของตัวเอง เธอหันมาหาฉันเพื่อถามว่าต้องทำอย่างไรชีวิตถึงจะดีขึ้น มันจะเป็นประโยชน์ต่อเธอที่จะรู้ว่าเธอมาอยู่ในจุดที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ได้อย่างไร
⏺️ ฉันจะพูดให้เธอฟังถึง "พลังอำนาจ" และ "ความเข้มแข็ง"
▶️ รวมถึง 'ความแตกต่าง' ระหว่างสองอย่างนี้
⏺️ ฉันจะคุยกับเธอถึงสิ่งที่เรียกว่า "ซาตาน" ที่พวกเธอได้สร้างขึ้น ที่มาที่ไป และทำไมพวกเธอถึงได้สร้างเจ้าสิ่งนี้ขึ้นมา
▶️ รวมไปถึงทำไมพวกเธอถึงได้ตัดสินใจว่าพระเจ้าของพวกเธอต้องเป็นเพศ "ชาย" ไม่ใช่เพศ "หญิง"
⏺️ ฉันจะบอกกับเธอถึง "สิ่งที่ฉันเป็นจริงๆ" ไม่ใช่สิ่งที่ผู้แต่งคติปรัมปราความเชื่อต่างๆของพวกเธอบอกว่าฉันเป็น
⏺️ ฉันจะอธิบาย "สภาวะที่แท้จริง" ของฉันให้เธอฟังในแบบที่จะทำให้เธอยินดีละวางตำนานความเชื่อตามปรัมปราของพวกเธอแล้วหันมานำความจริงในระดับจักรวาลเข้ามาแทนที่
⏺️ ฉันจะบอกเธอถึงความเป็นไปที่แท้จริงของจักรวาล
▶️ รวมถึงความสัมพันธ์ของมันที่มีต่อฉัน
⏺️ ฉันต้องการให้เธอรู้เกี่ยวกับชีวิตว่ามันทำงานอย่างไร รู้ถึงกระบวนการการทำงานของมัน และเหตุผลว่าทำไมมันถึงมีกระบวนการการทำงานอย่างนั้น
ในบทนี้จะคลอบคลุมเรื่องเหล่านี้ทั้งหมด
เมื่อเธอได้รับรู้เรื่องทั้งหมดเหล่านั้นแล้ว เธอจึงจะตัดสินใจได้ว่า เธอปรารถนาที่จะขจัดสิ่งใดที่เผ่าพันธุ์ของพวกเธอได้ก่อขึ้นในช่วงเวลาที่ผ่านมาทิ้งไป เพราะการสนทนาในเล่มสามนี้ จะเกี่ยวข้องกับ "การสร้างโลกใหม่" และ "การรังสรรค์ความเป็นจริงขึ้นมาใหม่"
✴️เธออาศัยอยู่ในคุกที่ตัวเธอเองได้สร้างขึ้นไว้กักขังตัวเองมานานเกินไปแล้ว ลูกเอ๋ย มันถึงเวลาแล้วที่จะปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระ✴️
💢 เธอขุมขังอารมณ์ตามธรรมชาติทั้ง 5 ของตัวเอง คอยกดทับจนพวกมันเปลี่ยนสภาพเป็นอารมณ์ที่ผิดธรรมชาติ ซึ่งนำพาความทุกข์โศก ความพินาศย่อยยับ และการทำลายล้างให้เกิดขึ้นในโลกของเธอ 💢
รูปแบบทางพฤติกรรมในช่วง 100 ปีที่ผ่านมาบนโลกใบนี้ก็คือ การไม่ยอม "ปลดปล่อย" อารมณ์ของตัวเองออกมา หรือการไม่ยอมทำตามอารมณ์ของตัวเอง (ต้องกดมันเอาไว้)
💢ถ้ารู้สึกเศร้าก็จงรีบกลับเป็นปกติ 💢ถ้ารู้สึกโกรธก็จงเก็บมันเอาไว้ในใจ
💢ถ้ารู้สึกอิจฉาใครก็จงละอายตัวเอง
💢ถ้ารู้สึกกลัวก็จงเอาชนะมันให้ได้
💢ถ้ารู้สึกรักก็จงควบคุมมัน จงปิดกั้นมันเอาไว้ จงรอก่อนอย่าเข้าไป จงถอยห่างออกมา ...จงทำทุกวิถีทางเพื่อห้ามไม่ให้มันแสดงตัวออกมาได้อย่างเต็มที่ ณ ที่นั่นเดี๋ยวนั้น
มันถึงเวลาแล้วที่จะปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระ❗
ซึ่งความจริงก็คือ ✴️เธอได้คุมขังตัวตนอันศักดิ์สิทธิ์ของตัวเองเอาไว้ และมันถึงเวลาแล้วที่จะปลดปล่อย "ตัวตนของเธอ" ให้เป็นอิสระ✴️
N : ผมเริ่มจะตื่นเต้นแล้ว เราจะเริ่มกันยังไงดีครับ❓ เริ่มจากตรงไหนก่อนดี❓
G : เรามาทำความเข้าใจกันก่อนคร่าวๆว่าสิ่งต่างๆเป็นอย่างที่เป็นอยู่นี้ได้อย่างไร เพื่อการนั้นเรามาย้อนเวลากลับไปในยุคที่สังคมของพวกเธอได้จัดตั้งระบบของตัวเองขึ้นมาใหม่ เป็นยุคสมัยที่ผู้ชายขึ้นมาเป็นใหญ่ในสังคม และได้สร้างข้อกำหนดว่า "การแสดงอารมณ์ความรู้สึกถือเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม"★ หรือในบางกรณี "แค่มีอารมณ์ความรู้สึกขึ้นมาก็ถือว่าใช้ไม่ได้แล้ว"
★ เริ่มยุคที่เหตุและผลต้องอยู่เหนืออารมณ์ ห้ามถูกอารมณ์ความรู้สึกครอบงำ ~ แอดมิน
1
N : พระองค์หมายความว่ายังไงครับที่บอกว่า "ในยุคที่สังคมได้จัดตั้งระบบของตัวเองขึ้นมาใหม่" เรากำลังพูดเรื่องอะไรกันอยู่ครับเนี่ย❓
G : ประวัติศาสตร์ในยุคแรกเริ่มของพวกเธอ 🔸วิถีชีวิตบนดาวเคราะห์ดวงนี้มีผู้หญิงเป็นใหญ่ในสังคม🔸 หรือเรียกได้ว่าเป็น "ระบบการปกครองแบบแม่ปกครองลูก" (matriarchal) ต่อมาได้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ผู้ชายขึ้นมามีสถานะเหนือกว่าในทางสังคมแทน (patriarchy)
💢เมื่อการเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นพวกเธอได้เริ่มที่จะไม่แสดงถึงอารมณ์ความรู้สึก เพราะถือว่าเป็นการแสดงออกถึง "ความอ่อนแอ"💢
💥และในช่วงเวลานี้เองที่ผู้ชายได้สร้างสิ่งชั่วร้ายที่เรียกว่า "ซาตาน" (มาร) และ "พระเจ้าที่มีลักษณะเป็นเพศชาย" ขึ้นมา💥
N : ผู้ชายเป็นผู้สร้างซาตานขึ้นมาอย่างนั้นหรือครับ❓
G : ถูกต้อง โดยเนื้อแท้แล้ว "ซาตาน (Satan)" คือ 💥ประดิษฐกรรมที่ผู้ชายสร้างขึ้น💥
ในท้ายที่สุดทั้งสังคมก็คล้อยตามไปในแนวทางนี้ การปฏิเสธอารมณ์ความรู้สึก และการสร้าง "สิ่งชั่วร้าย" ขึ้นมานั้น 💥เป็นส่วนหนึ่งของการก่อกบฏของพวกผู้ชายที่มีต่อระบบทางสังคมที่มีผู้หญิงเป็นใหญ่💥
ในยุคนั้นเป็นยุคที่ "ผู้หญิงปกครองทุกอย่างไปตามอารมณ์ความรู้สึกของพวกเธอ" ผู้หญิงได้ยึดครองอำนาจรัฐและตำแหน่งทางศาสนาที่มีอำนาจทั้งหมดไว้ รวมไปถึงอิทธิพลทั้งหมดในทางการค้า วิทยาศาสตร์ การศึกษา และการแพทย์
N : แล้วผู้ชายมีอำนาจในเรื่องไหนบ้างครับ❓
G : ไม่มีเลย ผู้ชายต้องพิสูจน์ตัวเองว่ามีค่าพอที่จะมีชีวิตอยู่ เพราะนอกจากความสามารถในการผสมพันธุ์และแบกหามของหนักแล้ว ผู้ชายก็แทบจะไม่มีความสำคัญอะไรเลย พวกเขาเป็นเหมือนมดงานหรือผึ้งงานที่มีหน้าที่ทำงานที่ต้องใช้แรงกายอย่างหนัก และมีหน้าที่คุ้มครองความปลอดภัยของพวกเด็กๆ รวมถึงมีหน้าที่ผลิตลูก
ต้องใช้เวลาหลายร้อยปีกว่าที่ผู้ชายจะเริ่มขยับขยายบทบาทของตัวเองและเริ่มมีที่ยืนในสังคม หลายร้อยปีผ่านไปกว่าที่ผู้ชายจะได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมในกิจกรรมต่างๆของชุมชน กว่าจะมีสิทธิแสดงความคิดเห็นและออกเสียงในการตัดสินใจเรื่องต่างๆของชุมชน เพราะพวกผู้หญิงมองว่าผู้ชายไม่ฉลาดพอที่จะเข้าใจเรื่องพวกนั้น
N : โห นึกภาพไม่ออกเลยจริงๆครับว่าจะมีสังคมแบบไหนกันที่ออกกฏห้ามคนทั้งชนชั้น (วรรณะ★) ไม่ให้มีสิทธิแม้แต่จะลงคะแนนเสียงโดยดูจากแค่ว่าพวกเขามีเพศอะไร
★คงคล้ายๆกับชนชั้นของคนในประเทศอินเดียยุคก่อนที่แบ่งออกเป็น พราหมณ์ กษัตริย์ แพศย์ ศูทร จัณฑาล ~ แอดมิน
G : ฉันชอบอารมณ์ขันของเธอในเรื่องนี้นะ ชอบจริงๆ ฉันขออธิบายต่อนะ
N : เชิญครับ
G : ต้องใช้เวลาหลายร้อยปีก่อนที่ผู้ชายจะคิดเรื่องการมีตำแหน่งระดับผู้นำเท่านั้นถึงจะทำให้พวกตนมีสิทธิออกเสียง ส่วนตำแหน่งที่มีบทบาทและมีอำนาจอื่นๆในสังคมพวกตนก็ยังคงไม่มีสิทธิเหมือนเดิม
N : ในที่สุดผู้ชายก็ได้รับตำแหน่งที่ทำให้มีสิทธิในสังคมเสียที ได้ยกระดับตัวเองจากชนชั้นแรงงานที่เป็นแค่คนคอยผลิตลูกและเป็นเหมือนแรงงานทาสขึ้นมาจนได้ ก็ต้องยกความดีความชอบให้กับผู้ชายเลยนะครับที่ไม่แม้แต่จะใช้กำลังกับฝ่ายหญิงเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งใหญ่ แต่ยังคงให้ความเคารพ ให้อำนาจ และให้บทบาทที่มนุษย์ทุกคนควรได้รับ โดยไม่เอาเรื่องเพศเข้ามาเกี่ยวข้อง
G : มีอารมณ์ขันอีกแล้วนะ
N : โอ้ ขอโทษครับ ผมพูดถึงดาวเคราะห์ดวงอื่นอยู่หรือเนี่ย❓
G : กลับเข้าเรื่องกันดีกว่า แต่ก่อนที่เราจะพูดถึงเรื่อง "สิ่งชั่วร้าย" ถูกสร้างขึ้นมาได้อย่างไร
เรามาคุยเรื่อง 🔸อำนาจ🔸 กันก่อน
💢เพราะนี่คือเหตุผลที่แท้จริงที่อยู่เบื้องหลังการสร้างสิ่งชั่วร้ายที่เรียกว่า "ซาตาน" ขึ้นมา💢
N : พระองค์กำลังชี้ให้เห็นว่าในสังคมทุกวันนี้ผู้ชายนั้นมีอำนาจทั้งหมดอยู่ในกำมือใช่ไหมครับ❓ ผมจะขอชิงพูดก่อนที่พระองค์จะอธิบายเรื่องนี้และจะบอกกับพระองค์ว่าทำไมผมถึงคิดอย่างนั้น
พระองค์บอกว่าในยุคที่ผู้หญิงเป็นใหญ่ในสังคม นั้น ผู้ชายก็เป็นเหมือนพวกผึ้งงานที่ต้องคอยทำงานรับใช้ราชินีผึ้ง พวกเขาต้องทำงานที่ใช้แรงกายอย่างหนัก มีหน้าที่ผลิตลูก และต้องคอยดูแลรวมถึงคุ้มครองความปลอดภัยให้กับพวกเด็กๆด้วย
ซึ่งผมก็รู้สึกประมาณว่า "แล้วมันมีอะไรเปลี่ยนไปตรงไหน❓ เพราะผู้ชายก็ยังทำหน้าที่อย่างนั้นอยู่ในตอนนี้❗" ผมเชื่อเลยว่าผู้ชายจำนวนมากจะต้องพูดว่า ไม่เห็นจะมีอะไรเปลี่ยนไปตรงไหนเลย เว้นแต่ผู้ชายจะเริ่มได้รับค่าตอบแทนสำหรับการคง "บทบาทที่ไม่มีใครเห็นค่า" นี้ไว้ และใช่ครับตอนนี้ผู้ชายมีอำนาจมากขึ้น
G : จริงๆแล้ว มีอำนาจเกือบทั้งหมดเลยต่างหาก
N : โอเคครับ มีอำนาจเกือบทั้งหมด แต่ที่มันน่าตลกก็คือทั้งสองเพศต่างคิดว่าตัวเองกำลังรับผิดชอบหน้าที่ที่ไม่มีใครเห็นค่า โดยที่อีกฝ่ายเอาแต่นั่งเสพสุข ผู้ชายก็ขุ่นเคืองที่ผู้หญิงพยายามแย่งอำนาจบางอย่างของพวกตนกลับไป โดยบอกว่าพวกตนจะต้องแย่แน่ๆถ้ายังต้องทำสิ่งที่กำลังทำอยู่นี้แก่สังคมต่อไป โดยอำนาจเพียงน้อยนิดที่จะมีสิทธิทำสิ่งต่างๆได้ยังไม่มีเลย
ผู้หญิงก็ขุ่นเคืองที่ผู้ชายยึดอำนาจทุกอย่างเอาไว้ โดยบอกว่าพวกตนจะต้องแย่แน่ๆถ้ายังต้องทำสิ่งที่กำลังทำอยู่ให้กับสังคมนี้ต่อไป โดยไม่มีสิทธิมีเสียงหรืออำนาจอะไรเลยเหมือนเดิม
G : เธอวิเคราะห์ได้ถูกต้องแล้ว ทั้งผู้ชายและผู้หญิงก็เลยถูกกำหนดให้ต้องก่อความผิดพลาดแบบเดิมและย่ำแย่ต่อไปในวงจรทุกข์ไม่สิ้นสุดที่พวกตนได้สร้างขึ้น
จนกว่าจะมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเข้าใจว่า :
✴️ชีวิตไม่ใช่เรื่องของพลังอำนาจจากภายนอกแต่เป็นเรื่องของพลังอำนาจที่อยู่ภายใน (ความรู้สึกเข้มแข็งจากภายใน)✴️
และจนกว่าทั้งสองฝ่ายจะเข้าใจว่า :
✴️ชีวิตไม่ใช่เรื่องของการแบ่งแยกแต่เป็นเรื่องของความเป็นหนึ่ง✴️
✴️เพราะ "ความเข้มแข็งภายใน" จะเกิดขึ้นได้แค่ในภาวะแห่งความเป็นหนึ่ง และจะมลายหายไปในภาวะแห่งการแบ่งแยก ซึ่งมันจะก่อให้เกิดความรู้สึกอ่อนแอและไร้ซึ่งพลัง จนนำไปสู่การแย่งชิงอำนาจกันในที่สุด✴️★
★ เพราะรู้สึกไร้พลัง จึงต้องช่วงชิงพลัง และเข้าใจผิดว่าอำนาจจากภายนอกก็คือพลัง เข้าใจผิดว่าอำนาจจากภายนอกสามารถเข้ามาเติมเต็มความรู้สึกที่ไร้พลังของตนได้ ~ แอดมิน
...
...
...

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา