4 มิ.ย. 2021 เวลา 04:05 • หนังสือ
#9 เล่ม 3 บทที่ 1 หน้า 57 ~ 63
...
สังคมไหนก็ตามที่ไม่ถือว่าการมีลูกตั้งแต่อายุยังน้อยเป็นเรื่อง "ผิด" (เพราะบรรดาผู้อาวุโสในชนเผ่าเป็นคนช่วยเลี้ยงดู ฉะนั้นจึงไม่สร้างความรู้สึกว่าต้องแบกภาระความรับผิดชอบอันหนักอึ้ง) ในสังคมนั้นจะไม่มีการกดทับเรื่องทางเพศ ไม่มีการข่มขืน ไม่มีความเบี่ยงเบนและความผิดปกติทางสังคมอันเกี่ยวเนื่องกับเรื่องทางเพศ
N : มีสังคมแบบนั้นบนโลกนี้ด้วยหรือครับ❓
...
...
...
G : มีสิ แม้ว่ากำลังจะหายไปแล้วก็ตาม พวกเธอพยายามกำจัดและเปลี่ยนแปลงสังคมพวกนั้นเพราะพวกเธอคิดว่าพวกเขาเป็นพวกคนเถื่อนไร้อารยธรรม
สังคมของพวกเธอที่พวกเธอเรียกว่าสังคมศิวิไลซ์นั้น จะถือว่าเด็ก (ภรรยา หรือสามี หรืออะไรก็ตามในทำนองนี้) เป็นสินทรัพย์ เป็นสมบัติส่วนตัว ฉะนั้นใครมีลูกก็ต้องเป็นคนเลี้ยงลูกเอง เพราะพวกเขาต้องดูแลสิ่งที่ตัวเอง "เป็นเจ้าของ"
รากความคิดที่เป็นต้นตอของปัญหาสังคมมากมายของพวกเธอนั้นก็คือ คู่ครองและลูกหลานคือสมบัติส่วนตัว เป็นสิ่งที่พวกเธอ "เป็นเจ้าของ"
เราจะกลับมาทำความเข้าใจแนวคิดทั้งหมดในเรื่อง "กรรมสิทธิ์" นี้กันอีกทีในภายหลังในตอนที่เราได้สืบค้นและพูดคุยกันถึงสิ่งมีชีวิตที่มีวิวัฒนาการขั้นสูง
แต่ในตอนนี้ ขอให้คิดพิจารณาในเรื่องนี้สักครู่หนึ่งก่อนว่า :
✴️ใครคือคนที่มีความพร้อมทางอารมณ์อย่างแท้จริง ที่จะสามารถเลี้ยงดูเด็กได้ในช่วงอายุที่พวกเขามีความพร้อมทางกายภาพที่จะมีเด็ก❓
✴️ความจริงก็คือ คนส่วนใหญ่ยังไม่พร้อมที่จะเลี้ยงลูกแม้ว่าตัวพวกเขาเองจะอายุถึง 30 - 40 ปีแล้วก็ตาม และก็ไม่ควรถูกคาดหวังให้ต้องพร้อมด้วย พวกเขายังไม่ได้ใช้ชีวิตในฐานะผู้ใหญ่ที่แท้จริงนานพอที่จะสามารถถ่ายทอดภูมิปัญญาหรือความเข้าใจในวิถีชีวิตอันลึกซึ้งให้แก่เด็กได้
N : ผมเคยได้ยินอะไรทำนองนี้มาก่อนเหมือนกัน ดูเหมือน มาร์ค ทเวน ก็พูดเรื่องนี้ มีคนบอกว่าเขาเคยแสดงความเห็นไว้ว่า "ตอนผมอายุ 19 ผมรู้สึกว่าพ่อช่างไม่รู้อะไรเลย แต่ตอนที่ผมอายุ 35 ผมกลับรู้สึกทึ่งว่าชายชราคนนี้ได้เรียนรู้อะไรมามากเหลือเกินในชีวิต"
G : เขาจับใจความได้อย่างสมบูรณ์แบบ
✴️ชีวิตในช่วงต้นวัยของพวกเธอนั้นไม่ได้มีไว้ให้พวกเธอได้สอนสั่งความจริง แต่เป็นช่วงเวลาที่มีไว้ให้พวกเธอได้ค้นหา ค้นคว้า รวบรวม และเก็บเกี่ยวความจริง✴️
💢พวกเธอจะเอาความจริงจากไหนไปสอนเด็กในเมื่อตัวเองยังไม่มีเลย💢
💢มันไม่มีทางเป็นไปได้อยู่แล้ว💢
💢สุดท้ายพวกเธอก็จะสอนได้แค่ความจริงเท่าที่ตัวเองรู้ ซึ่งก็คือ ความจริงของคนอื่น ความจริงของพ่อ ความจริงของแม่ ความจริงของขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรม ความจริงของศาสนา...💢
💢ความจริงของทุกสิ่งทุกอย่างเว้นแต่ความจริงของเธอเอง💢
✴️พวกเธอยังคงเสาะหามันอยู่เลย✴️
และเธอก็จะยังคงเสาะแสวงหา ค้นคว้า ทดลอง ค้นพบ ล้มเหลว ก่อร่างและปรับแต่งความจริงของตัวเอง รวมถึงแนวคิดที่เธอมีต่อตัวเองไปจนถึงช่วงอายุราวๆ 50 ปีของการใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้นั่นล่ะ
✨จากนั้นความจริงที่เป็นของเธอจึงเริ่มตกผลึกได้ในที่สุด✨
และบางที🔸ความจริงที่สำคัญที่สุด🔸 ที่เธอสามารถทำความเข้าใจได้ก็คือ :
✴️ความจริงไม่ใช่สิ่งคงที่✴️
✴️ความจริงก็เหมือนกับชีวิตตรงที่มันสามารถเปลี่ยนแปลงได้ เติบโตได้ และวิวัฒนาการอยู่ตลอดเวลา✴️
✴️และ ณ ขณะที่เธอคิดว่ากระบวนการแห่งการวิวัฒน์ได้จบสิ้นลงแล้ว มันก็ไม่ได้เป็นแบบนั้นหรอก มันเป็นเพียงแค่การเริ่มต้นที่แท้จริงเท่านั้น✴️
N : ใช่ครับ ผมถึงจุดนั้นแล้ว ตอนนี้ผมอายุเลย 50 ปีมาแล้ว
G : ดีแล้ว ในตอนนี้เธอได้กลายเป็นผู้อาวุโสผู้ชาญฉลาดแล้ว มันถึงเวลาแล้วที่เธอควรจะเลี้ยงดูเด็ก หรือถ้าจะให้ดียิ่งกว่านั้นก็อีก 10 ปีนับจากนี้
🔸ผู้อาวุโสควรมีหน้าที่อบรมเลี้ยงดูเด็กๆ พวกเขาถูกมุ่งหมายให้มาทำหน้าที่นี้🔸
ผู้อาวุโสเป็นผู้ที่เข้าใจความจริง...และเข้าใจชีวิต เข้าใจว่าอะไรคือสิ่งสำคัญและอะไรไม่ใช่ เข้าใจว่าอะไรคือความหมายที่แท้จริงของคำว่า ความซื่อสัตย์ ความจริงใจ ความซื่อตรง มิตรภาพ และความรัก
N : ผมเข้าใจประเด็นที่พระองค์กำลังชี้ให้เห็นตรงนี้นะครับ แต่มันก็ยากที่จะยอมรับ เพราะพวกเราจำนวนมากยังเป็น "เด็ก" และเป็น "ผู้แสวงหาความจริง" กันอยู่เลยในตอนที่ตัวเองมีลูก แต่ก็ต้องเริ่มสอนลูกแล้ว ดังนั้นพวกเราก็เลยคิดออกแค่ว่า เราจะสอนลูกในสิ่งที่พ่อแม่สอนเรามาอีกที
G : ฉะนั้น บาปของพ่อแม่จึงตกทอดไปยังลูกหลาน ยาวนานไปได้ถึง 7 ชั่วรุ่น
N : เราจะเปลี่ยนมันได้ยังไงครับ❓
เราจะหยุดวงจรนี้ยังไงดี❓
G : ให้ผู้สูงอายุที่น่านับถือเป็นคนเลี้ยงดูเด็ก พ่อแม่จะมาหาลูกเมื่อไหร่ก็ได้ หรือจะเลือกอยู่กับลูกก็ได้ แต่จะไม่ปล่อยให้พ่อแม่ต้องรับหน้าที่อบรมเลี้ยงดูเด็กอยู่ฝ่ายเดียว แต่ทั้งชุมชนจะต้องตอบสนองต่อความจำเป็นทั้งทางร่างกาย ทางสังคม และทางจิตวิญญาณของตัวเด็ก โดยมีผู้สูงอายุคอยอบรมสั่งสอนและถ่ายทอดค่านิยมในการใช้ชีวิตให้
หลังจากนี้เมื่อเราพูดคุยกันถึงวัฒนธรรมอื่นๆในจักรวาล เมื่อนั้นเราจะพูดถึงรูปแบบการใช้ชีวิตแบบใหม่บางอย่าง แต่มันจะไม่เป็นไปตามรูปแบบการใช้ชีวิตในปัจจุบันที่พวกเธอได้สร้างขึ้น
N : พระองค์หมายความว่ายังไงครับ❓
G : หมายความว่า ไม่ใช่เพียงแค่รูปแบบการอบรมเลี้ยงดูเด็กของพวกเธอเท่านั้นที่ขาดประสิทธิภาพ 💢แต่เป็นวิถีการใช้ชีวิตทั้งหมด💢
N : ขออีกครั้งได้มั้ยครับว่าพระองค์หมายความว่ายังไง❓
G : พวกเธออยู่แยกห่างจากกัน สมาชิกในครอบครัวของพวกเธออยู่แยกขาดจากกันไปคนละทิศละทาง ชุมชนขนาดเล็กของพวกเธอแตกฉานซ่านเซ็นเพื่อเข้าสู่ชีวิตในเมืองใหญ่ มีผู้คนมากขึ้นในเมืองอันใหญ่โตโอฬาร แต่กลับมี "กลุ่มชน" กลุ่มคน หรือเผ่าชนที่สมาชิกในกลุ่มเห็นว่าต้องมีความรับผิดชอบต่อส่วนรวมน้อยลง
ผลที่เกิดขึ้นก็คือ ผู้สูงอายุหายไปจากวิถีชีวิตของพวกเธอ ไม่อยู่ในสายตาไม่ว่ากับเรื่องอะไร ถูกกันออกไปจากวิถีชีวิต
ที่เลวร้ายยิ่งกว่าการแยกตัวจากผู้สูงอายุก็คือ พวกเธอผลักไสพวกเขา ทำให้พวกเขากลายเป็นคนชายขอบของสังคม ทำให้พวกเขากลายเป็นคนชั้นสองที่ไร้ค่า เอาพลังอำนาจของพวกเขาออกไป และแม้กระทั่งโกรธเคืองพวกเขา
ใช่แล้ว คนในสังคมบางส่วนถึงขั้นโกรธแค้นผู้สูงอายุที่อยู่ท่ามกลางพวกเขา โดยบอกว่าผู้สูงอายุเหล่านี้คือปลิงของระบบที่คอยเรียกร้องเอาแต่ผลประโยชน์ที่คนหนุ่มสาวต้องเป็นคนจ่ายในสัดส่วนที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆเมื่อเทียบกับรายได้ของพวกตน
N : จริงครับ นักสังคมศาสตร์บางคนได้คาดการณ์ถึงภาวะสงครามระหว่างวัย โดยโทษผู้สูงอายุว่าเอาแต่เรียกร้องมากขึ้นและมากขึ้นในขณะที่ตนเองทำประโยชน์ได้น้อยลงและน้อยลง ซึ่งในตอนนี้มีจำนวนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นเยอะมาก คนรุ่น "เบบี้บูม"★ ก็กำลังเข้าสู่วัยชรา และผู้คนในยุคนี้โดยเฉลี่ยก็มีอายุยืนขึ้น
★Baby boomers : คนรุ่นที่เกิดหลังช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ~ ผู้แปล
G : ถ้าผู้สูงอายุไม่ได้ทำประโยชน์อะไร
💢นั่นเป็นเพราะพวกเธอไม่ยอมให้พวกเขาทำ💢
💢พวกเธอกำหนดให้พวกเขาต้องเกษียณจากการทำงาน ในช่วงเวลาที่พวกเขาสามารถทำสิ่งดีๆบางอย่างให้กับองค์กรได้อย่างแท้จริง💢
ให้พวกเขาถอนตัวออกจากความกระตือรือร้นและการทำบางสิ่งที่มีความหมายที่สุดอย่างหนึ่งในชีวิตของพวกเขา ในขณะที่พวกเขาสามารถทำบางสิ่งที่มีความหมายในชีวิตเหล่านี้ต่อไปได้★
★ยังทำไหวและรู้สึกกำลังสนุกกับชีวิตที่ได้เอาประสบการณ์ที่ได้สั่งสมมามาใช้ แต่ทั้งสังคมกลับออกกฎมาบังคับให้เลิกทำ ~ แอดมิน
ไม่ใช่แค่เรื่องเลี้ยงดูเด็กเพียงอย่างเดียว แต่กับเรื่องการเมือง เศรษฐกิจ และแม้กระทั่งศาสนา ที่อย่างน้อยผู้สูงวัยก็มีข้อได้เปรียบบางอย่างที่หาไม่ได้ในวัยอื่น
💢สังคมของพวกเธอเป็นสังคมที่บูชาความเป็นหนุ่มสาวแต่ผลักไสผู้สูงอายุ💢
สังคมของพวกเธอเป็นสังคมแบบเอกพจน์ (โดดเดี่ยว) แทนที่จะเป็นสังคมแบบพหุพจน์ (ร่วมมือ) ความหมายตรงนี้คือ เป็นสังคมที่ต่างคนต่างสร้าง แทนที่จะเป็นการร่วมมือกันสร้างจากคนหลายๆคน
ในขณะที่สังคมมุ่งเน้นไปที่ความเป็นปัจเจกและความเยาว์วัย สังคมของพวกเธอก็ได้สูญเสียภูมิปัญญาอันยิ่งใหญ่และทรัพยากรอันมีค่ามหาศาล (ผู้อาวุโส) ไป
ในตอนนี้สังคมของพวกเธอไม่มีเลยทั้งสองอย่าง ผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนใช้ชีวิตอยู่กับอารมณ์ที่ห่อเหี่ยวและจิตใจที่บกพร่อง
N : ผมขอถามพระองค์อีกครั้งนะครับว่า พวกเราจะหยุดวงจรนี้ได้ยังไง❓
G : อย่างแรก ✨จงตระหนักและยอมรับว่ามันคือความจริง✨
พวกเธอจำนวนมากมาย
💢มีชีวิตอยู่กับการปฏิเสธ
1
💢แสร้งทำเป็นว่าสิ่งที่เห็นอยู่จะจะตรงหน้าไม่ใช่ความจริง
💢พวกเธอกำลังโกหกตัวเอง
💢ไม่ต้องการรับฟังความจริง
💢ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการพูดถึงมัน
หลังจากนี้เราจะคุยเรื่องนี้กันอีกรอบ ตอนที่เราคุยถึงเรื่องอารยธรรมของสิ่งมีชีวิตที่มีวิวัฒนาการขั้นสูง เพราะการปฏิเสธความจริงนี้...การไม่ยอมสังเกตและยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นนี้...ไม่ใช่เรื่องที่ส่งผลเพียงเล็กน้อย และหากเธอต้องการเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆได้อย่างแท้จริง ฉันหวังว่าเธอจะยอมรับฟังในสิ่งที่ฉันพูดบ้าง
ได้เวลาพูดความจริงกันแล้ว ความจริงอันเรียบง่ายและตรงไปตรงมานี่ล่ะ
เธอพร้อมหรือยัง❓
N : พร้อมครับ นี่คือเหตุผลที่ผมหันมาหาพระองค์ เป็นเหตุผลที่ทำให้เกิดการพูดคุยทั้งหมดนี้ขึ้น
G : ✴️ความจริงมักทำให้ไม่สบายใจ ความจริงจะมอบความสบายใจให้กับคนที่ไม่ประสงค์จะเพิกเฉยมันเท่านั้น เมื่อนั้นความจริงจะไม่เพียงแค่มอบความสบายใจให้แต่ยังจะให้แรงบันดาลใจด้วย✴️
N : สำหรับผม การพูดคุยกันทั้งสามภาคนี้ให้แรงบันดาลใจกับผมมาก เชิญพระองค์พูดต่อได้เลยครับ
G : มีเหตุผลให้รู้สึกมีความหวังและเบิกบานใจอยู่บ้างเหมือนกัน ฉันสังเกตเห็นว่าสิ่งต่างๆเริ่มเปลี่ยนไปจากเดิม ช่วงไม่กี่ปีมานี้เผ่าพันธ์ุมนุษย์ได้มีการพูดถึงความสำคัญของการสร้างชุมชนและการอยู่ร่วมกันเป็นครอบครัวใหญ่★ (ไม่ใช่ต่างคนต่างอยู่) มากขึ้นกว่าที่เคย
★วัฒนธรรมทางตะวันออกโดยปกติแล้วจะอยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่ ไม่เหมือนทางตะวันตกที่ลูกหลานต้องออกจากบ้านไปใช้ชีวิตอยู่ด้วยตนเองเมื่ออายุได้ 18 ปี ใครที่อายุเกิน 18 แล้วยังอาศัยอยู่กับพ่อแม่จะถูกมองว่าเป็นตัวประหลาด เกาะพ่อแม่กิน อะไรประมาณนั้น ซึ่งสังคมตะวันตกจะมองว่าวัยรุ่นที่ดีไม่ควรทำแบบนั้น และยังเป็นการทำให้ผู้สูงอายุในสังคมเป็นโรคซึมเศร้าและกลัวตายเป็นอย่างมากเพราะการต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวและไม่มีอะไรให้ทำ ~ แอดมิน
และพวกเธอก็ให้ค่าผู้สูงวัยมากขึ้นและมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เกิดการเรียนรู้คุณค่าและความหมายจากวิถีชีวิตของคนกลุ่มนี้ นี่คือความก้าวหน้าที่สำคัญ คือการก้าวไปในทิศทางที่เป็นประโยชน์กับพวกเธอเหลือเกิน
ฉะนั้นเวลานี้สิ่งต่างๆกำลัง "กลับหลังหัน" ...วัฒนธรรมของพวกเธอดูเหมือนจะเริ่มกลับตัวและกำลังก้าวเดินไปในทิศทางใหม่ จากนี้มันจะเคลื่อนไปในทิศทางนี้
เธอไม่อาจเปลี่ยนสิ่งต่างๆเหล่านี้ได้ในชั่วข้ามคืน ตัวอย่างเช่น เธอไม่อาจเปลี่ยนวิถีการเลี้ยงดูเด็กทั้งหมด (วิถีการเลี้ยงดูเด็กเป็นจุดเริ่มต้นของกระบวนการทางความคิดในปัจจุบันของพวกเธอ★) ได้อย่างฉับพลันหรือเปลี่ยนได้ในการกระทำเพียงครั้งเดียว แต่เธอสามารถเปลี่ยนแปลงอนาคตของพวกเธอได้ทีละก้าว
★ถูกเลี้ยงมายังไงก็มีกระบวนการทางความคิดหรือความเชื่อแบบนั้น ~ แอดมิน
การอ่านหนังสือเล่มนี้คือหนึ่งในย่างก้าวสำคัญของการเปลี่ยนแปลงนั้น การสนทนานี้จะวนเวียนอยู่กับประเด็นสำคัญหลายอย่างก่อนที่จะจบลง การกล่าวซ้ำไปซ้ำมานี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เพราะต้องการเน้นย้ำให้เห็นถึงความสำคัญ
ตอนนี้ เธอร้องขอแนวคิดเพื่อสร้างอนาคตของเธอใหม่ ฉะนั้นเรามาเริ่มที่อดีตของเธอกันก่อน...
(จบ)(บทที่ 1)

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา