13 มิ.ย. 2021 เวลา 12:57 • ธุรกิจ
“ถ้าธุรกิจของคุณไม่ได้อยู่บนอินเทอร์เน็ต นั่นแสดงว่าธุรกิจของคุณกำลังจะเจ๊ง”
5
นี่คือสิ่งที่ บิล เกตส์ เคยกล่าวเอาไว้ และ วันนี้คำกล่าวนั้นก็เริ่มเป็นความจริงให้เห็นขึ้นมาทุกที แต่ที่น่าเศร้าไปกว่านั้นคือ คนส่วนใหญ่ยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในชะตากรรมแบบที่ บิล เกตส์ เคยกล่าวเอาไว้
เพราะคิดว่าธุรกิจของตัวเองไม่จำเป็นต้องทำออนไลน์ก็ได้ ก็ฉัน ขายรถ เปิดร้านเสริมสวย ร้านสักคิ้ว ร้านทอง ร้านอาหาร ร้านกาแฟ ฯลฯ ไม่ได้ขายเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า หรือ เครื่องสำอาง เสียหน่อย ถึงจะต้องทำออนไลน์ เพราะถึงยังไงลูกค้าก็ต้องมาซื้อหน้าร้านอยู่ดี ดังนั้นออนไลน์ไม่ใช่เรื่องจำเป็นเลย
ที่ตอนนี้ยอดขายหายไป ก็เป็นเพราะเศรษฐกิจไม่ดีไง ไหนจะโควิด-19 อีก ใครๆ เขาก็เป็นกันทั้งนั้นแหละ !!
2
ซึ่งก็ไม่ผิดครับ ถ้าจะคิดแบบนั้น แต่ถ้าคุณฟังเรื่องนี้จบ ความคิดของคุณจะเปลี่ยนไปทันที !!
1
วันก่อนเพื่อนของผมคนหนึ่ง เธอบ่นว่าอยากต่อขนตา แน่นอนว่าถ้าเป็นเมื่อก่อน เธอคงต้องขับรถวนเพื่อหาดูว่าแถวนั้นมีร้านต่อขนตาไหม ถ้าร้านไหนทำเลติดถนน ทำป้ายใหญ่ๆ เด่นๆ ก็จะได้ลูกค้าไป ซึ่งลูกค้าอย่างเราเมื่อเจอร้านไหน ก็ต้องเข้าไปใช้บริการร้านนั้น แล้วค่อยไปเสี่ยงดวงดูอีกทีว่าร้านนี้จะต่อขนตาออกมาได้สวยไหม
1
แต่เธอกลับไม่ทำอย่างนั้นครับ เพราะเพื่อนผมคนนี้เธอหยิบมือถือขึ้นมา แล้วค้นหาร้านต่อขนตาที่มีอยู่ในระแวกนั้น อ่านคอนเทนต์ อ่านรีวิว แล้วเปรียบเทียบดูว่าร้านไหนทำออกมาดี ทำออกมาสวย ในราคาที่คุ้มค่า และ ดูน่าเชื่อถือ โดยไม่ยอมเอาเบ้าหน้าของตัวเองไปเสี่ยงดวง ซึ่งเธอก็ค้นหาและพิจารณาร้านต่างๆ อยู่ประมาณ​ 2 ชั่วโมง จนดูเหมือนว่าเธอได้ร้านที่ถูกใจแล้ว
ทันใดนั้นเธอก็เงยหน้าขึ้นมา แล้วทำหน้าตาน่าสงสาร แล้วพูดกับผมว่า “แก… ช่วยพาฉันไปต่อขนตาหน่อยนะ พรุ่งนี้ฉันต้องไปงานลูกรับบัณฑิตน้อยแล้ว นะนะนะ”
1
“ไหงเป็นงั้นล่ะ โดนจนได้เรา” แต่ผมก็ไม่ได้ติดขัดอะไร เพราะตอนนั้นก็ว่างอยู่พอดี แถมอยากไปดูด้วยว่าร้านต่อขนตาที่ว่านี้มันเจ๋งขนาดไหน ถึงทำให้เพื่อนผมตัดสินใจได้
ผมจึงขับรถตาม GPS เพื่อพาเพื่อนรักคนนี้ไปต่อขนตาครับ สิ่งที่ผมอยากจะบอก คือ ร้านนี้ไม่ต่างกับอยู่ในรูเลย เพราะมันเข้าซอยไปลึกมากๆ ผมขับรถเข้าซอยนี้ ออกซอยโน้น จนในที่สุดก็มาเจอร้านต่อขนตาที่อยู่ตรงท้ายซอยพอดี
สิ่งที่ผมเห็น คือ ร้านนี้ไม่ใช่ร้านต่อขนตาทั่วไป เพราะเขาใช้พื้นที่บ้านของตัวเองเปิดให้บริการ ไม่ได้มีป้ายใหญ่ ไม่ได้ลงทุนอะไรมากไปกว่าป้ายธงญี่ปุ่นเล็กๆ ตัวเดียวที่วางอยู่หน้าร้าน แต่สิ่งที่แตกต่างคือ ร้านนี้คิวแน่นมาก ทุกคนที่มาจะต้องจองคิวเอาไว้ก่อน ซึ่งตอนที่ผมมาถึงที่ร้านประมาณ บ่าย 3 ลูกค้าที่เพิ่งจะใช้บริการเสร็จก็ขับรถออกไป ซึ่งเมื่อผมเข้าไปนั่งรอเพื่อนที่โซฟา ก็บังเอิญเห็นสมุดบันทึกการจองของร้านนี้ จึงพบว่ามีการจองคิวยาวไปถึง 3 ทุ่ม
3
หลังจากเพื่อนของผมต่อขนตาเสร็จ แล้วจ่ายเงินให้กับเจ้าของร้าน เธอเดินออกมาพร้อมรอยยิ้มที่ฉีกไปถึงหู บ่งบอกถึงความพึงพอใจที่เธอมีต่อร้านนี้
2
ซึ่งแน่นอนว่าตอนที่ผมจะถอยรถออก ก็มีลูกค้าคิวต่อไปเดินทางมาถึงพอดี แล้วเดินเข้าไปใช้บริการ
คราวนี้คุณเห็นอะไรไหมครับ ทำไมร้านที่อยู่ในซอยลึก ป้ายไม่เด่น ทำเลไม่ดี ถึงมีลูกค้าเข้ามาใช้บริการอย่างไม่ขาดสาย
นั่นก็เพราะว่า พฤติกรรมของลูกค้าเปลี่ยนไปแล้วครับ แน่นอนว่าสุดท้ายเขาจะต้องไปใช้บริการที่หน้าร้านก็จริง แต่ก่อนที่ลูกค้าจะไปถึงหน้าร้าน เขาจะ ค้นหาข้อมูล อ่านคอนเทนต์ ดูรีวิว เปรียบเทียบ ก่อน แล้ว “ตัดสินใจตั้งแต่บนออนไลน์” ว่าเขาจะไปใช้บริการที่ร้านไหน แล้วถึงจะเดินทางไปที่หน้าร้าน
นั่นหมายความว่า ถ้าวันนี้คุณไม่ได้อยู่บนออนไลน์ พอลูกค้าค้นหาข้อมูล เขาก็จะไม่เจอร้านของคุณ ลูกค้าก็จะไม่มีทางเดินไปหน้าร้านคุณได้อย่างแน่นอน
ที่ผมมั่นใจอย่างนั้นก็เพราะหลังจากที่ผมพาเพื่อนไปต่อขนตาเสร็จ ผมก็ลองขับรถสำรวจดูร้านต่อขนตาในระแวกนั้น สิ่งที่ผมเห็นคือ มีร้านต่อขนตาเยอะมาก ตกแต่งร้านก็สวยมาก แต่แทบไม่มีคนเดินเข้าร้านเลย กลายเป็นว่าเพื่อนผมกลับไปจบที่ร้านที่อยู่ต่างอำเภอแถมยังอยู่ท้ายซอยซะอย่างนั้น
บทสรุปของเรื่องนี้ คือ การที่ร้านของคนส่วนใหญ๋ไม่มีลูกค้า ยอดขายตก ไม่ได้เป็นเพราะเศรษฐกิจไม่ดี แต่เป็นเพราะลูกค้าหายไปซื้อร้านอื่นต่างหาก
เห็นไหมครับว่า การทำออนไลน์ ไม่ได้สำคัญเฉพาะกับสินค้าที่ขายบนออนไลน์เท่านั้น แต่ออฟไลน์ก็สำคัญมากเช่นกัน เพราะทุกวันนี้คนจะตัดสินใจซื้อผ่านการ พิจารณา ข้อมูลบนออนไลน์ เกือบทั้งหมด ต่อให้ร้านจะเป็นออฟไลน์ก็ตาม แต่ลูกค้าส่วนใหญ่ก็จะดูข้อมูลและตัดสินใจมาตั้งแต่ที่บ้านเรียบร้อยแล้วว่าอยากจะซื้ออะไร ที่ร้านไหน ถึงจะเดินไปซึ้อสินค้าที่หน้าร้าน
มาถึงตรงนี้คุณคงรู้ตัวแล้วใช่ไหมครับว่า ถ้าคุณไม่ทำออนไลน์ตั้งแต่วันนี้ คุณอาจจะเป็นเหมือนอย่างที่ บิล เกตส์ เคยพูดเอาไว้ เพราะตอนนี้พฤติกรรมของลูกค้าเปลี่ยนไปแล้ว ที่สำคัญคือ มันจะเปลี่ยนแล้วเปลี่ยนเลย และ ไม่มีวันกลับมาเหมือนเดิมอีก
2
และถ้าคุณอ่านมาถึงตรงนี้ ผมขอแสดงความยินดีกับคุณด้วยครับ เพราะคุณกำลังจะเป็นหนึ่งในคนที่รอดพ้นจากสิ่งที่ บิล เกตส์ เคยพูดเอาไว้ เมื่อได้เข้ามาเรียนในคลาส Online Signature เหมือนอย่างพี่ๆ น้องๆ ในคลาส Online Signature อีกกว่า 100 ชีวิต
2
เพราะเนื้อหาทุกอย่างในคลาสนี้ได้ผ่านการ “ทดสอบ” มาหมดแล้วไม่มีมโน
หนึ่งในเคสที่รอดพ้นจากวิกฤตนี้ ด้วยเนื้อหาทั้งหมดจากคลาส Online Signature ที่ผมได้นำไปทดสอบ คือ หัวหน้าทีมของตัวแทนประกันชีวิตค่ายหนึ่ง ซึ่งเดิมทีการขายประกันจะหาลูกค้าจากคนใกล้ตัว การแนะนำ และ การวอคอิน เป็นหลัก แน่นอนว่าสมัยก่อนวิธีนี้สามารถทำได้ดี
ซึ่งตอนแรกที่ผมเข้าไปปรับกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ บอกตามตรงครับว่าไม่มีตัวแทนประกันคนไหนเชื่อ ว่าสินค้าอย่างประกันชีวิตจะต้องทำออนไลน์ด้วย เพราะที่ผ่านมาพวกเขาปิดการขายแบบเจอหน้ากันมากกว่า แล้วก็ทำแบบนี้มานานแล้วด้วย ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไร นอกจากโดนลูกค้าปิดเครื่องหนีเท่านั้น แต่โชคดีที่มีหัวหน้าทีมของประกันค่ายนี้ที่ “เชื่อ” และ อยากให้ผมเข้ามาปรับทิศทางให้ จึงติดต่อให้ผมเข้าไปช่วย โดยที่ผมเองไม่ได้ขอรับค่าตอบแทนใดๆ
1
อย่างที่บอกครับว่าตอนแรกไม่มีใครเชื่อ เพราะคิดว่าการทำออนไลน์มันเสียเวลา สู้เอาเวลาไปโทรหาลูกค้าดีกว่าเพราะมันคือสิ่งเดียวที่สร้างรายได้ให้กับพวกเขาได้
แต่พอผมเริ่มอธิบายให้พวกเขาเห็นภาพว่า ปัจจุบันพฤติกรรมของคนซื้อประกันเปลี่ยนไปแล้ว ที่เขาปิดเครื่องหนี ไม่ใช่เพราะเขาไม่อยาก “ซื้อประกัน” แต่พวกเขาไม่อยาก “ถูกขายประกัน”
คือ ธรรมชาติของมนุษย์ไม่ชอบ “ถูกขาย” ครับ แต่พวกเขา “ชอบซื้อ”
ไม่มีใครชอบให้นักขายประกันโทรมารบกวน โทรมาโน้มน้าว แล้วบีบให้ตัดสินใจซื้อเร็วๆ หรอก เพราะไม่มีใครเชื่อคำพูดของนักขายประกันครับ ลูกค้าชอบที่จะนั่งอ่านรีวิวเองจากคนที่เคยซื้อประกันแล้ว เพราะมันดูน่าเชื่อถือมากกว่านักขายพูดเอง ลูกค้าชอบที่จะศึกษาช้อมูลเปรียบเทียบกรมธรรม์ต่างๆ อ่านข้อมูลศึกษารายละเอียดเยอะๆ แล้วตัดสินใจเอง จากนั้นก็ค่อยติดต่อไปซื้อประกัน ไม่ใช่การถูกนักขายบีบให้ซื้อทางโทรศัพท์ภายในเวลา 5 นาที
1
คำถาม คือ แล้วที่ไหน คือ ที่ๆ ลูกค้าจะเข้ามาอ่านรีวิว อ่านข้อมูล อ่านประโยชน์ ของประกันล่ะ ?
ใช่ครับ !! บนออนไลน์ไง
แล้วถ้าเขาอ่านบนออนไลน์จนตัดสินใจได้แล้ว คนที่เขาจะโทรหาเพื่อซื้อประกันเป็นคนแรก ก็คือ คนจากแหล่งที่เขาได้อ่านข้อมูลยังไงล่ะ
ดังนั้น ใครที่ทำธุรกิจประกันแล้วไม่ได้เอาตัวเองขึ้นไปอยู่บนออนไลน์ คุณก็จะหายไปจากวงโคจรในชีวิตของลูกค้าทันที เพราะเมื่อลูกค้าเสิร์ชหาแล้วไม่เจอ เขาก็ไม่รู้ ไม่เห็น สุดท้ายเขาก็ไม่ซื้อกับคุณจริงไหม
ซึ่งการที่ยอดขายประกันของบางคนหายไป ไม่ใช่เพราะคนซื้อประกันน้อยลงแต่อย่างใด เพียงแต่เขาไปซื้อกับคนอื่นต่างหาก เผลอๆ หลังจากที่ลูกค้าส่วนใหญ่ปิดเครื่องหนีไป เขาก็ไปอ่านข้อมูลบนออนไลน์ต่อนั่นแหละ แล้วสุดท้ายก็โทรไปซื้อจากคนอื่น
พอผมพูดจบ ตัวแทนประกันทุกคนก็เริ่มเปิดใจ โดยมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า “จริงด้วย !! ที่ผ่านมาลูกค้าที่โทรเข้ามาซื้อเอง จะปิดการขายได้ง่ายกว่าคนที่เราโทรไปขาย เพราะคนเหล่านี้เขาศึกษามาอย่างดี และ ตัดสินใจมาแล้ว”
หลังจากทุกคนเปิดใจ และ ให้ผมเข้าไปดูแลเรื่องการตลาดออนไลน์ ประมาณ 4 เดือน ทุกอย่างก็ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
จากที่ตัวแทนประกันต้องนั่งโทรศัพท์ไปขาย 100 คน ปิดการขายได้ 1 คน กลายเป็นนั่งเฉยๆ แล้วรอให้ลูกค้าที่อ่านข้อมูล คอนเทนต์ รีวิว และ อื่นๆ จนตัดสินใจได้แล้วโทรเข้ามาซื้อเอง
ผลก็คือ การขายประกันของทีมนี้ ใช้เวลาลดลง เหนื่อยน้อยลง ทำงานน้อยลง แต่ได้ยอดขายมากขึ้น
นี่แหละครับ คือ เหตุผลที่ผมไม่อยากให้คุณพลาดคลาสนี้ เพราะเทรนด์ในตลาด และ ผลการทดสอบของผมก็แสดงให้เห็นแล้วว่า “ถ้าธุรกิจของคุณไม่ได้อยู่บนอินเทอร์เน็ต นั่นแสดงว่าธุรกิจของคุณกำลังจะเจ๊งจริงๆ”
1
และที่สำคัญ คือ ผมเคยเห็นคนพลาดเรื่องนี้มาแล้ว เพราะเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ตอนผมเริ่มทำออนไลน์ใหม่ๆ ก็มีเพื่อนๆ รุ่นเดียวกันหลายคนเคยหาว่าผม “บ้า”
แต่ผ่านมา 2 ปี คนเหล่านั้นถึงรู้ตัว ว่าคนที่พลาด คือ พวกเขาเอง
1
และผมเองก็ไม่อยากให้มีใครพลาดเพราะมองข้ามเรื่องเหล่าอีกแล้ว
1
แน่นอนว่า เมื่อคุณตัดสินใจ “ลุย” ไปกับผมแล้ว คุณจะไม่ใช่คนที่พลาดแบบนั้น
✅ ถ้าคุณอยากโตไปด้วยกัน ทักมาได้เลยครับที่ Line : @samounglai
✅ ผมมีราคาพิเศษให้สำหรับ 20 คนแรก ที่ทักเข้ามา
✅ และ ใครมีหนังสืองานประจำสอนทำธุรกิจ เวอร์ชั่นพร้อมลายเซ็น สามารถใช้เป็น “ส่วนลดเพิ่มได้อีก 500 บาท”
✅ แล้วพบกันในคลาสครับ ^^
โฆษณา