14 มิ.ย. 2021 เวลา 02:55 • ปรัชญา
ฟังธรรมยังไงให้ถึงธรรม ?
นั่งรอฟังธรรมเราก็ภาวนาของเราไป
ธรรมะนั้นแสดงตัว อยู่ตลอดเวลา
ถ้าใจเราฉลาด ใจมันเปิดรับธรรมะ
เราจะพบว่า ธรรมะมีอยู่ตลอด
ฉะนั้น ที่บอกว่านั่งรอฟังหลวงพ่อแสดงธรรม
แสดงว่ายังไม่ค่อยเข้าใจธรรมะ
หลวงพ่อจะพูดธรรมะ หรือไม่พูดธรรมะ
ธรรมะมันก็มีอยู่แล้ว อยู่ที่ใจของเราจะเปิดรับหรือเปล่า
2
ถ้ามัวแต่คิดว่าหลวงพ่อยังไม่ได้เริ่มเทศน์
ตอนนั้นยังไม่มีธรรมะจะฟัง เข้าใจผิดแล้ว
ในความเป็นจริงแล้ว ธรรมะแสดงตัวอยู่ตลอดเวลา
ทางฝ่ายมหายานเขาถึงบอกว่า
พระพุทธเจ้าแสดงธรรมอยู่ตลอดเวลา
ฉะนั้น เวลารอฟังหลวงพ่อแสดงธรรม
เราก็ฟังธรรมะในจิตใจของเราแสดงธรรมะอยู่ตลอด
เดี๋ยวก็แสดงธรรมะที่เป็นกุศล
มีศรัทธา มีวิริยะ มีสติ มีปัญญา
บางทีก็แสดงอกุศลให้เราดู
สงบแล้วก็ฟุ้งซ่านอะไรอย่างนี้
หัดฟังธรรมะที่มันแสดงอยู่ในใจเรา
ฟังทุกวันๆ มีเวลาเมื่อไรก็ฟังเมื่อนั้น
จะเจอครูบาอาจารย์หรือไม่เจอครูบาอาจารย์
ก็ฟังธรรมะในใจของเราเอง
มันแสดงเรื่องกุศลบ้าง แสดงเรื่องอกุศลบ้าง
แสดงเรื่องสุขบ้าง เรื่องทุกข์บ้าง
บางทีมันก็แสดงโลกธรรมให้ดู
มีลาภ เสื่อมลาภ มียศ เสื่อมยศ มีนินทา มีสรรเสริญ
มีสุข มีทุกข์อะไรอย่างนี้
2
ในใจเรามันก็หมุนๆๆ ไปเรื่อย
นึกถึงคำสรรเสริญของคนอื่นใจก็พอง
นึกถึงคำวิพากษ์วิจารณ์ ติเตียนของคนอื่น
ใจก็แฟบลงไปอะไรอย่างนี้
นี่ฟังธรรมะ ฟังกันอย่างนี้
ได้รับผลประโยชน์อย่างเช่น
ถูกหวยอะไรอย่างนี้ ไม่แนะนำให้เล่น
แต่ว่าเวลาถูกหวยอะไรนี้ มันดีใจ ใจมันฟูขึ้นมาก็รู้ทัน
เวลาถูกหวยกิน ใจแฟบลงไปก็รู้ทัน
พวกเล่นหวย มาดูก็น่าสงสาร ฝากอนาคต ฝากชีวิต
ฝากความหวังเอาไว้กับเรื่องลม ๆ แล้ง ๆ
เราภาวนาอย่าไปสนใจ การพนันทั้งหลาย
มันก็ขึ้นชื่อว่าอบายมุขนั่นล่ะ
มันจะถูกกฎหมาย หรือมันจะผิดกฎหมาย
มันก็คืออบายมุข
คนถูกหวยกิน กับคนได้กินหวย
คนถูกกินมันก็ต้องเยอะกว่า โอกาสมันต่ำ
เวลาหวยออก ก็มีคนพวกหนึ่งดีใจ
จำนวนน้อยดีใจ จำนวนมากเสียใจ
เราฟังธรรมเป็น ตรงนี้ก็เป็นธรรมะ
ใจเราดีใจ เราก็รู้ ใจเราเสียใจ เราก็รู้
นี่ธรรมะแสดงให้เราดู
1
การปฏิบัติต้องทำอย่างนี้ คือ
ก่อนการฟังธรรมก็ฟังจิตใจตัวเองไป
ฟังธรรมไปก็อ่านจิตใจไปด้วย
ไม่ต้องกลัวไม่รู้เรื่อง
ไม่มีใครรู้เรื่องธรรมะด้วยการคิด ด้วยการฟังหรอก
ธรรมะไม่ได้แสดงแค่ว่ามีสิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น
จะเป็นรูปธรรม หรือนามธรรมก็ตาม
แต่ธรรมะได้แสดงสิ่งที่ลึกกว่านั้นอีก
รูปธรรมทั้งหลายเกิดแล้วก็ดับ
นามธรรมทั้งหลายเกิดแล้วก็ดับ
เฝ้าดูของเราไปอย่างนี้ การปฏิบัติจะไม่มีเว้นวรรค
ไม่มีเว้นวรรค เว้นช่วง เว้นตอน
ช่วงนี้เป็นเวลาปฏิบัติ ช่วงนี้ไม่ได้ปฏิบัติ
อย่างนั่งฟังหลวงพ่อเทศน์ยังไม่ใช่เวลาปฏิบัติ
เดี๋ยวฟังก่อนแล้ว ค่อยปฏิบัติหลังจากฟัง
พวกนี้ไม่ได้เรื่องเลย
จริงๆ ธรรมะมีอยู่แล้ว
อย่างก่อนจะฟังหลวงพ่อเทศน์
เราก็อ่านใจของตัวเองไป
ใจเราฟุ้งซ่าน คิดเรื่องโน้นเรื่องนี้ เราก็รู้ทัน
หรือใจเราเป็นกุศล ตั้งใจรอที่จะฟังธรรมะ
เราก็รู้ใจมันเป็นกุศล มันต้องการฟังธรรมะ
"ฟังธรรมะของจริง"
ระหว่างฟังก็ต้องฟังธรรมะของจริง
สิ่งที่หลวงพ่อพูดให้มันก็แค่เสียงเท่านั้นเอง
ไม่ใช่ธรรมะหรอก
ไม่มีใครสอนธรรมะใครได้หรอก
ฉะนั้น สิ่งที่หลวงพ่อพูด พอเราฟังแล้วเราก็คิด
เราฟังแล้วเราก็คิด เราก็ไม่เห็นธรรมะ
เพราะฉะนั้นเวลาฟังครูบาอาจารย์แสดงธรรมยุคก่อนๆ
ท่านสอนกันให้ภาวนาเลย ลงมือปฏิบัติของเราไปเลยตอนนี้
ครูบาอาจารย์ท่านก็เทศน์ไป แล้วเราก็รู้ทัน
อ่านธรรมะในใจของเรา
ธรรมะมันเป็นเรื่องเฉพาะตัว เราก็ดูไป
จิตใจของเราตอนนี้หดหู่ รู้ทัน
จิตใจตอนนี้เบิกบาน รู้ทัน
ไม่ต้องกลัวฟังธรรมะไม่รู้เรื่อง
ไม่มีใครรู้เรื่องธรรมะด้วยการฟังหรอก
1
การฟังธรรมะเป็นแค่ตัวกระตุ้นเท่านั้นเอง
ให้ใจเราเคล้าเคลีย เราคิดถึงธรรมะ
ฉะนั้น เวลาสมัยก่อนไปเรียนจากครูบาอาจารย์
เราก็นั่งภาวนาของเราไป ท่านก็เทศน์ของท่านไป
ต่างคนต่างทำหน้าที่ของตัวเองไป
แล้วเวลาจิตใจเราติดข้องอยู่ ในธรรมะส่วนใด
เดี๋ยวท่านก็จะบอกให้ เทศน์ออกมาให้ ใจมันก็จะสัมผัส
เวลาธรรมะสำหรับเรา จิตมันจะตื่นตัวขึ้นมาฟัง
เวลาธรรมะที่เป็นเรื่องทั่วๆ ไปของคนอื่นอะไรนี่
จิตของเราก็ ภาวนาของเราไป
การปฏิบัติมันต้องทำกันอย่างนี้เลย
ก่อนจะฟังธรรมก็อ่านจิตอ่านใจตัวเองไป
ระหว่างฟังธรรม ก็อ่านจิตอ่านใจตัวเองไป
ไม่ต้องกลัวไม่รู้เรื่อง
บอกแล้วว่าไม่มีใครรู้เรื่องธรรมะด้วยการคิด
ด้วยการฟังหรอก
ฉะนั้น เราภาวนาเป็นแล้ว เราอ่านของจริง
ฟังธรรมของจริงที่จิตเราแสดงขึ้นมา
เดี๋ยวมันก็แสดงเรื่องกุศล
เดี๋ยวมันก็แสดงเรื่องอกุศล
เดี๋ยวมันก็แสดงเรื่องสุข เดี๋ยวก็แสดงเรื่องทุกข์
เฝ้ารู้เฝ้าดูไป เดี๋ยวมันก็แสดงความยินดี
เดี๋ยวมันก็แสดงความยินร้าย ไม่เว้นวรรคเว้นตอน
ตั้งแต่ตื่นนอนมาก็ปฏิบัติธรรมเลย
ฟังธรรมะของจริงในใจเรา
1
จะเจอครูบาอาจารย์
หรือไม่เจอครูบาอาจารย์ยังไม่ใช่ เรื่องสำคัญ
ถ้าเราอ่านจิตอ่านใจตัวเองได้
เรียนธรรมะในจิตในใจ ของตัวเองได้
เรากำลังฟังธรรมจากพุทธะอยู่แล้ว
สิ่งที่เรียกว่าพุทธะ ๆ
ไม่ใช่สรีระร่างกายของพระพุทธเจ้า
หรือของครูบาอาจารย์
พุทธะแปลว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
หลวงปู่ดูลย์ท่านถึงสอนหลวงพ่อ ท่านบอกว่า
“ธรรมะ 84,000 พระธรรมขันธ์ ออกมาจากจิตที่บริสุทธิ์นั่นเอง”
จิตเรายังไม่บริสุทธิ์
ธรรมะที่แสดงก็มีทั้งฝ่ายกุศล ฝ่ายอกุศล วุ่นวาย
ฉะนั้น วันๆ หนึ่งอย่าเสียเวลาเที่ยวแสวงหาธรรมะที่อื่น
ย้อนกลับมา
โอปนยิโก – น้อมเข้ามาหากายหาใจของตัวเอง
ธรรมะที่แท้จริงอยู่ที่กายที่ใจของเรา
แล้วโดยเฉพาะอย่างยิ่ง มันอยู่ที่จิตนั่นล่ะ
แต่กายมันเป็นบ้านของจิต
บางทีเราดูจิตดูใจไม่ถึง
คล้ายๆ เราหาเจ้าของบ้านไม่เจอ
เราก็ไปรอดูที่หน้าบ้าน
คือเรารู้อยู่ที่กายนี่
ประเดี๋ยวหนึ่งก็จะเจอเจ้าของบ้าน คือเห็นจิตได้
ทีนี้พอเราเห็นจิตเห็นใจ เราก็ดูไป
ธรรมะมันแสดงตัวอยู่ที่กายที่ใจนี้
อย่างร่างกายเราสบาย ๆ ดี
แป๊บเดียว มันก็แสดงความทุกข์ให้ดูแล้ว
ธรรมะจะสอนเราเอง
2
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
6 มิถุนายน 2564
ท่านสามารถติดตามอ่านการถอดไฟล์เสียงเต็มได้ที่
.
อ้างอิง :
ขอบคุณรูปภาพจาก :Unsplash

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา