28 มิ.ย. 2021 เวลา 00:21 • นิยาย เรื่องสั้น
4.21. ลืมเลือนเรื่องวันวาน
ซัวเอี่ยม ม่ายสาวพราวเสน่ห์ - ตังชง เด็กน้อยจอมซน - ตังกี๋ บัณฑิตระทมทุกข์
หลังจากการตายอย่างกระทันหันของหัวหน้าหน่วยปักษาสวรรค์ อินทรีมือเหล็ก ผ่านพ้นไป ภารกิจแรกของนกฮูก ผู้นำคนใหม่ก็คือ วิธีการจัดการกับเตียวจูล่ง เตียวเลี้ยว และเตียวคับ ต้นเหตุของการตายของอินทรี
ความลำบากใจของมันก็คือ ความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ครั้งนี้ ล้วนแต่เป็นตัวละครสำคัญในประวัติศาสตร์ที่ก่อเหตุวุ่นวายขึ้น และคนทั้งสามยังคงต้องมีชีวิตโลดแล่นอยู่ต่อไปอีกนาน ดังนั้น ไม่เพียงแต่จะแก้แค้นไม่ได้เท่านั้น ซ้ำยังต้องคอยดูแลช่วยเหลือด้วย แต่ปัญหาคือ พวกมันจะต้องไม่ล่วงรู้ความลับต่างๆของสมาชิกหน่วยปักษาสวรรค์ จึงจะไม่เกิดเรื่องเลวร้ายซ้ำขึ้นอีก
นกฮูกขบคิดแล้วจึงเสนอทางเลือกว่า จำเป็นต้องเสี่ยงใช้เคล็ดวิชาชำระล้างใจ ซึ่งเป็นการสะกดจิตลบล้างความทรงจำที่มีเกี่ยวกับหน่วยปักษาสวรรค์ แล้วค่อยปล่อยให้พวกมันกลับคืนไปยังต้นสังกัดดังเดิม
เคล็ดวิชาชำระล้างใจ เป็นหนึ่งในตำราโบราณที่กระเรียนค้นพบ และเก็บรวบรวมไว้ให้สมาชิกที่ตามมาภายหลังในถ้ำลับ คาดว่า เป็นวิชาลึกลับที่สืบทอดมาจากพวกนักบวชทางชมพูทวีป นกฮูกเป็นคนใฝ่หาความรู้ เผอิญค้นพบเข้า และเห็นว่ามีประโยชน์ จึงนำมาศึกษาตีความอยู่หลายปี สามารถผสมผสานกับวิชาการฝังเข็มคลายจุดประสาท และเพิ่งทดลองจนเป็นผลสำเร็จได้เมื่อไม่นานมานี้
ผลกระทบของความเสี่ยงนั้น มีตั้งแต่โอกาสที่จะลบล้างความทรงจำได้หรือไม่ เมื่อลบไปแล้ว จะคงอยู่ได้นานเพียงใด และจะมีผลข้างเคียงต่อสภาพจิตใจของคนทั้งสามด้วยหรือไม่ แต่วิธีการนี้ อาจจะเป็นทางเลือกเดียวที่สามารถนำมาใช้ได้ในสถานการณ์เช่นนี้ ไม่อาจสูญเสียเวลาให้ทอดยาวเกินไป
เนื่องจากเป็นการใช้เคล็ดวิชาโบราณเป็นครั้งแรก นกฮูกจึงยังทดลองเพียงลบล้างความทรงจำระยะสั้น แค่เรื่องราวเกี่ยวกับหน่วยปักษาสวรรค์ที่ถูกค้นพบ และเหตุการณ์ช่วงสองสามวันที่ผ่านมาเท่านั้น ยังไม่กล้าเสี่ยงใช้ลบล้างความจำระยะยาว ดั่งเช่น การเป็นคนพรรคฟ้าเหลืองของคนทั้งสาม ซึ่งทอดเวลามานานหลายสิบปี มิเช่นนั้นแล้ว นกฮูกคงไม่ยอมพลาดโอกาสทองในการทำลายปมนักรบจารชนของคนเหล่านี้เป็นแน่
เมื่อนกฮูกลงมือจัดการกับเตียวเลี้ยว เตียวคับเรียบร้อย จึงใส่ข้อมูลให้นึกคิดว่า ทั้งสองออกมาดื่มเหล้าในตลาดจนเมามาย แล้วควบม้าเที่ยวเล่นในป่านอกเมือง จากนั้น เหยี่ยวดำค่อยนำตัวคนทั้งสองไปปล่อยตัวทิ้งไว้ใกล้ชายแดนฝ่ายโจโฉในจุดที่ควรจะอยู่ประจำการแยกกันคนละแห่งในทันที
อย่างมาก ทั้งสองก็ต่างเพียงเข้าใจไปเองแค่ตัวเองฝ่าฝืนคำสั่งทหาร หลบออกมาเพื่อดื่มสุราในเมืองจนเมามายขาดสติไป ถึงกับลืมเลือนเรื่องราวหลายวันที่ผ่านมา
ทางด้านจูล่งฟื้นสติขึ้นมา จึงรับรู้เพียงว่า เตียวหุยพาตัวมารักษาอาการทางจิตใจ พร้อมกับม้าหยุนลู่ หญิงคนรักที่ถูกวางยาหมดสติ ตามความเข้าใจดั้งเดิมเท่านั้น เหตุการณ์วุ่นวายที่เกิดขึ้นเมื่อวันวาน ล้วนสูญหายไปจากความทรงจำอย่างสิ้นเชิง
มันจึงกล่าวขอบคุณต่อหมอฮัวโต๋ และพูดคุยเปิดใจกับม้าหยุนลู่ หญิงคนรักของตนอย่างสุขสดชื่น เท่าที่มันจดจำได้ ม้าหยุนลู่ คือความรักครั้งใหม่ในชีวิตของมัน ถัดจากนางไต้เกี้ยวที่ตายไปแล้ว
ส่วนม้าหยุนลู่หรืออดีตซุนซ่างเซียงนึกดีใจที่ได้พบหน้าพูดคุยกับจูล่ง ชายในดวงใจ อย่างเป็นส่วนตัวจริงๆเสียที ทำให้บรรยากาศกระท่อมหลังน้อยกลับอบอวลไปด้วยไอความรักหวานสดชื่นยิ่งนัก
แต่ด้วยความวุ่นวายหลังจากการลอบโจมตีของพลพรรคฟ้าเหลืองทั้งสาม จนต้องโยกย้ายมาอาศัยพักพิงที่กระท่อมหลังเล็กเป็นการชั่วคราว ทำให้หมอฮัวโต๋ นกฮูกต้องการเร่งรีบผลักดันคนทั้งหลายให้กลับไปสู่ที่ทางของตน จนละเลยที่จะตรวจสอบร่างกายของม้าหยุนลู่อย่างละเอียด ทำให้เกิดเป็นโศกนาฎกรรมอีกฉากหนึ่งในอนาคตเข้าจนได้
เปลือกนอก นางแอ่น เตียวหุย ซึ่งผ่านการรักษาสุขภาพภายในประจำปีจากหมอฮัวโต๋ จนกลับคืนสู่รูปลักษณ์ขุนพลหน้าดำขี้เมาได้แล้ว ยังคงรับผิดชอบในบทบาทสมมุติต่อไป แต่ภายในใจ ยังคงนึกถึงเรื่องราวเมื่อวานที่เห็นรอยยิ้มของจูล่ง เป็นรอยยิ้มที่จริงใจ เปี่ยมด้วยความรัก และสวยงามที่สุดในชีวิตของมันแล้ว
การที่ไม่รู้ว่าจูล่งรักตนนั้น สร้างความเจ็บปวดมาเนิ่นนาน แต่สุดท้าย มันกลับพบว่า การที่รับรู้ว่าจูล่งรักตน แต่ต้องถูกลบทิ้งความทรงจำไปนั้น ยิ่งเจ็บปวดมากกว่า ตัวมันได้เลื่อนจากสถานะ “นางในฝัน” กลับกลายเป็น “นางที่ไร้ตัวตน” ไปเสียแล้ว เพราะม้าหยุนลู่ได้เข้ามาแทนพื้นที่ในดวงใจของจูล่งไปเสียแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น มันกลับต้องนำพาคู่รักหวานชื่น จูล่งกับม้าหยุนลู่ กลับไปพบกับพวกตระกูลม้า เพื่อพูดคุยเรื่องวิวาห์ด้วยในฐานะพ่อสื่อจำเป็น นับเป็นเรื่องที่สร้างความชอกช้ำภายในใจยิ่งนัก
นางแอ่น-เตียวหุยนึกทบทวนไปมา เลยพลอยคิดฟุ้งซ่าน นึกสงสาร เตียวเปา ลูกน้อยที่ต้องขาดพ่อ จนได้แต่ยกสุราขึ้นดื่มกินซ้ำแล้วซ้ำเล่า ใจหนึ่ง ก็ว้าวุ่นในเรื่องความรักและครอบครัวที่ไม่สมหวัง ใจหนึ่ง ก็กังวลใจในอาการของอินทรีพี่ใหญ่ ที่โดนส่งตัวกลับไปยังอนาคตโดยไม่ได้อำลา
ครั้งนี้ น่าจะเป็นการจากลากันตลอดกาล เพราะพวกมันไม่มีเครื่องย้อนเวลาให้ใช้อีกต่อไปแล้ว สมาชิกที่เหลือทั้งหกคนจำต้องทนอยู่ในโลกใบนี้ไปตลอดทั้งชีวิต
นกฮูกและหัวขวาน ได้แต่ทอดถอนใจ หลังจากพวกเตียวหุยได้เดินทางออกไปแล้ว ภาระอันหนักอึ้งของหน่วยปักษาสวรรค์ ยังคงรอคอยอยู่ตรงหน้า ในขณะที่อินทรี พี่ใหญ่เสียชีวิตอย่างกระทันหัน และกระท่อมรังนกแห่งใหม่ถูกเผาทำลายจนย่อยยับ ทำลายความได้เปรียบของหน่วยปักษาสวรรค์ไปแทบหมดสิ้น
กระท่อมรังนกย่อมสร้างขึ้นมาใหม่ได้ แต่ผู้นำหน่วยอย่างจ้าวอินทรีนั้น และอุปกรณ์ล้ำยุคสมัยไม่อาจฟื้นคืนแล้ว การดำเนินแผนงานของหน่วยปักษาอาจจะต้องพึ่งพาผู้คนและศาสตร์วิชาในยุคสมัยโบราณมากขึ้นอีกแล้ว
ทั้งสองทอดสายตามองดูหมู่บ้านชาวนาหลายสิบหลังเบื้องหน้า สิ่งเหล่านี้กลับกลายเป็นต้นทุนเบื้องต้นที่จะนำมาใช้สอย หรือฝ่าฟันภารกิจต่างๆในยามจำเป็น
นับว่ายังโชคดีที่ก่อนพวกเตียวหุย จูล่งมาถึงนั้น พวกมันได้ย้ายโจโฉที่ยังนอนพักฟื้นรักษาตัวอยู่ ไปหลบซ่อนตัวอยู่ที่บ้านพักห่างออกไปหลายลี้ของหญิงม่ายขายความรู้ ซัวเอี่ยม คนรักคนชอบพอของหมอฮัวโต๋เอง ในฐานะคนไข้พิเศษของหมอเทวดา
ในกระท่อมหลังน้อยห่างไกลออกไป โจโฉทอดกายอยู่บนแคร่ไม้ ค่อยๆลืมตาขึ้น รู้สึกถึงผ้าพันแผลที่พันอยู่รอบใบหน้าและรอบร่างกายท่อนบน มันค่อยๆมองรอบกาย เห็นเป็นกระท่อมหญ้าฟางที่ดูสะอาดสะอ้าน เรียบร้อย ภายในมีตู้หนังสือสองสามตู้ เครื่องดนตรีและสิ่งของวางประดับสวยงามตามฐานะ แสดงถึงภูมิปัญญาของเจ้าของบ้าน อย่างน้อย ก็สมควรเป็นบัณฑิตผู้คงแก่เรียนคนหนึ่ง
เสียงกระแอมเบาๆดังขึ้น ด้านหลังตั่งเตียงที่มันนอนอยู่ กลับเป็นชายร่างเล็กในชุดนักศึกษาหลวมกว้าง คล้ายกำลังนั่งเขียนหนังสือบนตั่งเตี้ย หันหลังให้กับมัน โจโฉจึงยันกายลุกขึ้นนั่ง พลางกล่าว “ข้าต้องขอบใจท่านบัณฑิตเป็นยิ่งนัก ที่ช่วยชีวิตข้าเอาไว้จากความตาย ไม่ทราบว่า ท่านมีชื่อเรียงเสียงไร”
เท่าที่มันจดจำได้ กลุ่มคนลึกลับได้ช่วยชีวิตมันไว้จากการทำร้ายของม้าเท้งและนางเปียนสี คำสนทนาอาจจะดูสับสนจนจับเค้าความได้ยาก แต่มีคำว่า นกฮูก กระตั้ว สะดุดหูอยู่ หรือว่า คนผู้นี้คือหนึ่งในสองสกุณาที่ถูกกล่าวถึง
“ข้าชื่อ ตังชง เป็นบุตรของมหาบัณฑิตตังกี๋ เสียดายที่บิดาข้าป่วยตายระหว่างการเดินทางไกล จึงทำให้ตัวข้ากำพร้าตั้งแต่กำเนิด และอาศัยอยู่กับมารดามาโดยตลอด โชคดีที่แม่ข้ามีภูมิความรู้สูงส่ง จึงรับงานฝึกสอนเป็นแม่ครูให้กับบุตรหลานของผู้คนมีอันจะกินแถบนี้ได้บ้าง หนังสือบนตู้เหล่านี้ ล้วนเป็นผลงานที่แม่ข้ารวบรวมไว้ ท่านลุงฮัวมักจะแวะเวียนมาหยิบยืม และชมเชยภูมิปัญญาของแม่ข้าเป็นประจำ” ชายหนุ่มพูดโดยไม่หันหน้ากลับมา ถึงกับอธิบายเรื่องราวยาวเหยียด คล้ายอัดอั้น ไม่ค่อยมีคนพูดจาด้วย เมื่อมีโอกาสทอง เลยสนุกสนานที่จะพูดคุยด้วย ทำให้เนื้อหาของคำพูดปรากฏเค้ารางที่ไม่สอดคล้องกันนักกับภาพลักษณ์ที่แสดงให้เห็น
เสียงด้านนอกคล้ายมีคนเดินเข้ามาในรั้วบ้าน พร้อมร้องเรียกชื่อชงน้อย ตังซงสะดุ้งเล็กน้อย รีบถอดชุดที่คลุมตัวออก กลับกลายเป็นเพียงเด็กน้อยวัย 8-9 ขวบ ที่แอบหยิบเอาเสื้อผ้าผู้ใหญ่ไปใส่เล่นเท่านั้นเอง ถึงกับหยอกล้อโจโฉอยู่ได้พักใหญ่ แถมยังหันมาบุ้ยใบ้ให้โจโฉนิ่งเฉยไว้ ท่าทางน่ารักน่าเอ็นดูไม่น้อย เป็นที่ถูกชะตาของโจโฉยิ่งนัก จนอดแย้มยิ้มกับความซุกซนของเด็กน้อยไม่ได้
“ชงน้อย หยิบเอาเสื้อผ้าเก่าของพ่อเจ้ามาใส่เล่นอีกแล้ว” มารดาตังชงเดินเข้ามาพร้อมเสียงบ่นตามประสาแม่ลูก พลันสังเกตเห็นคนป่วยที่มีผ้าพันหน้าลุกขึ้นนั่งอยู่บนเตียง “อ้อ ท่านก็ฟื้นแล้ว ชงน้อยรีบไปแจ้งให้ลุงหมอฮัวโต๋ทราบ จะได้มาตรวจดูอาการของท่านลุงผู้นี้ว่าต้องจัดการเช่นไรเพิ่มเติม”
โจโฉตาเบิกกว้าง มิใช่เพราะเชื่อมโยงได้ว่า นกฮูกคือหมอเทพยดาแห่งแผ่นดิน ฮัวโต๋ หากแต่มารดาตังชงที่อยู่ตรงหน้า ถึงกับหญิงงามยอดกวี คนรักเก่าที่หายสาบสูญไปเมื่อหลายปีก่อน ซัวบุ้นกี อย่างแน่นอน แม้ว่า เค้าหน้าจะดูหยาบกร้านขึ้นบ้างตามวัย
ล่าสุดที่รับฟังมา นางถูกกษัตริย์เหี้ยนเต้มอบตัวให้กับขุนนางบัณฑิตในราชสำนักแซ่ตัง แล้วทั้งสองก็หายสาบสูญไปด้วยกัน ที่แท้ ขุนนางตังกี๋บุญน้อย ป่วยตายระหว่างทาง ทำให้แม่ลูกต้องเร่ร่อนพเนจรมาหลบซ่อนอยู่ที่นี่นั่นเอง
มันนึกเจ็บใจตัวเองที่ทำเป็นใจแข็ง ไม่ออกคำสั่งสืบหาอย่างจริงจังตั้งแต่ครั้งนั้น มิเช่นนั้น ซัวบุ้นกีคงไม่ต้องมาตกทุกข์ได้ยากในดินแดนป่าเขารกร้างเช่นนี้
ชงน้อยวิ่งหายไปอย่างว่องไวตามประสาเด็ก สักครู่ก็ได้ยินเสียงควบม้าจากไป คงต้องใช้เวลาสักพักหนึ่งจึงกลับมาได้ โจโฉลองขยับเขยื้อนร่างกาย เห็นว่ากำลังฟื้นคืนได้ 7-8 ส่วนแล้ว จึงแสร้งล้มตัวทรุดลงกับเตียงอีกครั้ง ทำให้ซัวบุ้นกีหรือซัวเอี่ยมต้องรีบเดินเข้ามาใกล้เพื่อประคองตัวเอาไว้
โจโฉฉวยโอกาส พลิกมือโอบรัดตัวนางเอาไว้ “บุ้นกี เจ้าจดจำข้าไม่ได้แล้วจริงๆหรือ”
ซัวบุ้นกีสะดุ้งตกใจที่ถูกจับกุมตัวโดยคนที่ไม่รู้จัก แต่พอได้ยินเสียงกล่าวที่คุ้นหู ยิ่งตื่นตระหนกยิ่งกว่า นึกไม่ถึง คนป่วยที่ถูกพันหน้ามิดชิด นอนพักฟื้นอยู่ในบ้านตนเองตั้งหลายวัน เห็นเพียงช่วงปากที่มีหนวดเคราเพิ่งถูกตัดใหม่ๆ กลับกลายเป็น วุยก๋ง โจโฉ ไปได้ เสียดายที่นางไม่ได้ใส่ใจสังเกตให้มากกว่านี้
โจโฉมั่นใจแล้วว่าคนตรงหน้าคือซัวบุ้นกีแล้ว จึงปลดผ้าพันแผลออกจากใบหน้า และค่อยๆขยับร่างนางคนรักเก่าให้อยู่ในอ้อมกอด แล้วระดมจูบด้วยความคิดถึงโหยหาจนหญิงสาวทำอะไรไม่ถูก ยิ่งเมื่อได้ยินวาจาที่โจโฉพร่ำบ่น ยิ่งทำให้กำแพงความคับข้องใจที่เคยตั้งไว้ก่อนนั้น พังทลายไปโดยง่ายดาย กลับเริ่มตอบสนองตามความต้องการของหัวใจ โดยไม่ต้องกล่าวคำพูดใดๆต่อกัน
เวลาผ่านไปเนิ่นนานเท่าใดไม่ทราบ กว่าที่หมอฮัวโต๋-นกฮูกเดินก้าวเข้ามา และพบเห็นภาพที่บาดใจระคนงงงวย โจโฉนึกเช่นไร จึงได้ล่วงเกินนางซัวเอี่ยม คนที่มันหมายปองอยู่หลายปี จึงได้แต่กระแอมส่งเสียงดังขึ้น พร้อมคารวะสอบถาม “ท่านวุยก๋ง ปล่อยมือจากแม่ครูซัวเอี่ยมก่อนเถิด จะได้ค่อยๆพูดจากัน”
โจโฉชะงักท่าทีที่ไม่สมควรลง หันมาพบปะกับหมอชื่อดังเป็นครั้งแรก ในใจรับรู้ว่า คนผู้นี้มีเบื้องหลังความเป็นมาซุกซ่อนอยู่ แต่มิใช่ศัตรูคู่แค้น จึงแสร้งทำเป็นไร้เรื่องราว คลายมือ คารวะตอบ ในขณะที่ซัวบุ้นกียันกายถอยห่างออกไปด้านข้างด้วยความละอายใจ แสดงว่า ความคับข้องใจในอดีต น่าจะถูกคลี่คลายไปหมดสิ้นแล้ว “ขออภัยด้วย ท่านหมอ นางผู้นี้คือ ซัวบุ้นกี คนรักเก่าที่พลัดพรากกันไปหลายปีของข้าเอง จึงได้เสียมารยาทไปบ้าง”
นกฮูกฟังแล้วตระหนกจนต้องลอบปาดเหงื่อ ที่แท้ ซัวเอี่ยมเป็นชื่อปลอมของซัวบุ้นกี หนึ่งในตัวละครเด่นบนหน้าประวัติศาสตร์ แต่ดันมาคลุกคลีใกล้ชิดอยู่กับมันโดยไม่รู้ตัวตั้งหลายปี มิน่า หญิงผู้นี้จึงทั้งงดงาม ทั้งทรงภูมิความรู้ และกิริยาสมกับเป็นกุลสตรี แตกต่างไปจากหญิงชาวบ้านทั่วไป
เกือบสิบปีก่อนตั้งแต่ที่สามีนางตายด้วยโรคลมชักกระทันหันก่อนที่จะถูกพามาพบมันเพียงชั่วครู่ และนางก็มีครรภ์อ่อน ไม่เหมาะสมต่อการเดินทางพเนจร มันก็เป็นธุระจัดการให้สร้างที่พักอาศัยไม่ไกลจากกระท่อมรังนกแห่งแรกมากนัก จนคลอดบุตรชาย และโยกย้ายมาตั้งรกรากอยู่ที่นี่ อาศัยความรู้สอนหนังสือประทังชีวิต มันมักแวะเวียนมาดูแลบ่อยครั้ง จนอดใจไม่ให้ชอบพอมิได้ ช่างน่าเสียดายนัก
“เมื่อท่านรู้สึกดีขึ้นมากแล้ว ขอให้ข้าได้ตรวจดูอาการท่านอีกครั้งเถิด” หมอฮัวโต๋ขยับเข้าใกล้ หมายจะกุมมือจับชีพจร หากแต่โจโฉยกมือห้ามไว้ เพราะในใจเริ่มหวาดระแวงต่อท่าทีของฝ่ายตรงข้าม
“มิเป็นไรดอก ที่เหลือให้หมอหลวงของเราเป็นฝ่ายจัดการเถิด ตอนนี้ ข้าอยากให้ท่านช่วยตามเจ้าหน้าที่ทางการมารับข้ากลับไปเมืองหลวงมากกว่า” คนมากระแวงอย่างโจโฉ ไม่เสี่ยงให้หมอฮัวโต๋ หรือ นกฮูก เข้าใกล้ตัวอีกต่อไป
ยิ่งพอนึกขึ้นได้ว่า ตนเองเคยสั่งประหารเกียดเป๋ง ศิษย์เอกของฝ่ายตรงข้ามด้วยแล้ว โจโฉจึงพลอยตึงเครียดขึ้น ทำให้นกฮูกซึ่งไม่มีสมาชิกมีฝีมืออยู่ใกล้ตัวเลยสักคน พลอยยุ่งยากใจไปด้วย
ในใจ ตัวมันต้องการเข้าใกล้อีกเล็กน้อย เพื่อเกาะกุมชีพจร ใช้เคล็ดชำระล้างใจอย่างที่เพิ่งจัดการกับพวกจูล่งเมื่อครู่ ซัวเอี่ยมกับมันก็ยังจะอยู่รอดได้อย่างปลอดภัย หากแต่โจโฉดันฟื้นตัวเร็วเกินไป และตั้งป้อมใส่มันเร็วเกินคาด กลับทำให้เกิดเรื่องราวยุ่งยากขึ้นอีกแล้ว และเรื่องต่อสู้ก็ไม่ใช่แนวทางที่มันถนัดเลยแม้แต่น้อย
“เรื่องมันยังซับซ้อนนัก หากคนของทางการทราบเรื่องเข้า เกรงว่า ท่านจะเป็นอันตราย ยังคงให้...” หมอฮัวโต๋พยายามหาเหตุเกลี้ยกล่อมต่อไป
แต่ยังไม่ทันจบคำ โจโฉก็ดีดตัวพุ่งขึ้นจากเตียง ฟันฝ่ามือเข้าที่ท้ายทอยของหมอใหญ่จนสลบไป แล้วจึงหันมาชักชวนให้ซัวบุ้นกีเก็บข้าวของเพื่อเดินทางหลบหนีไปพร้อมกัน พลางกล่าวหาว่า หมอฮัวโต๋เป็นพวกขบถแผ่นดินที่หมายจับตัวมันไว้เป็นตัวประกัน แต่ซัวบุ้นกียังคงลังเลอึกอักอยู่
ยังไม่ทันที่โจโฉจะได้จัดการอะไรต่อไป เสียงกระแอมทุ้มหนักก็ดังขึ้นที่นอกหน้าต่าง มันหันไปมอง กลับเห็นใบหน้าของมัจจุราชคู่แค้นของมัน เป็นขุนพลเมฆขาว จูล่ง กำลังจ้องมองเข้ามาอย่างดุดัน
ขนาดตัวมันแข็งแรงดี ยังสู้จูล่งในเชิงอาวุธไม่ได้ นับประสาอะไรกับมันที่ได้รับบาดเจ็บ เพิ่งฟื้นตัว มันจึงรีบคว้ามือของซัวบุ้นกี หนีออกไปทางประตูทันที
พอดีเห็นตังชงยืนเล่นกับม้าอยู่ที่นอกประตูรั้วด้วยความคุ้นเคย จึงส่งตัวซัวบุ้นกีขึ้นม้า และคว้าเอาตัวเด็กน้อยไปด้วยอีกคน แล้วลอยตัวควบม้าหนีไปก่อน เรื่องราวอื่นๆค่อยว่ากันในภายหลังแล้ว
หัวขวานลอบถอนหายใจยกใหญ่ โชคดีที่มันแอบใช้แผ่นหน้ากากพิสดารทำใบหน้าของจูล่งเอาไว้ ที่จริง กะเผื่อไว้มอบให้เหยี่ยวดำได้ใช้งานตอนปลอมตัว เพราะเคยต้องปลอมตัวสลับกันอยู่หลายครั้งแล้ว
แต่พอดีในยามคับขัน ก่อนที่โจโฉจะลงมือทำร้ายนกฮูก มันจึงสวมหน้ากากขู่ขวัญให้โจโฉหลบหนีออกไปก่อน แต่หากโจโฉบ้าเลือด คิดโจมตี คงได้เห็นขุนพลจูล่งที่ร่างเตี้ยเล็กเท่าเทียมกันให้เป็นที่น่าอัศจรรย์ใจแล้ว
หัวขวานจึงเห็นการจากไปของโจโฉ ที่นำพาเอาซัวเอี่ยม คนรักของนกฮูก และเด็กน้อยตังชง ไปด้วย แต่สุดวิสัยจะยับยั้งได้ด้วยความอ่อนด้อย ไร้ฝีมือของตนเองอีกครั้ง ทำให้รู้สึกสะท้อนใจไม่น้อย
ความคิดอัจฉริยะด้านกลไก เริ่มทำงานอีกครั้ง เพื่อให้อยู่รอดได้ดียิ่งขึ้นในยามศึกสงครามเช่นนี้ ระเบียบข้อห้ามในเรื่องสิ่งประดิษฐ์ล้ำยุคจากองค์กรต้นสังกัด ควรจะลดความสำคัญไปได้แล้ว เพราะความสูญเสียของสมาชิกหน่วยหลายคน และเหตุสุดวิสัยต่างๆที่เกิดติดกันหลายครั้งเช่นนี้
นี่แหละ เวลาเท่านั้นเป็นบทพิสูจน์ อย่างแท้จริง ถึงเวลาแล้วที่พวกมัน นกฮูก หัวขวาน ตลอดจนกระตั้ว และนกยูง ซึ่งเป็นเพียงคนไร้วิทยายุทธ์ทั้งหลาย จะต้องเริ่มติดอาวุธพิสดารให้กับตัวเองให้มากขึ้นกว่าแต่ก่อนเสียแล้ว
หัวขวานพลันนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์วันแรกที่ตนเองก้าวเท้าออกมาจากประตูกาลเวลา กระสา-อ้วนเสี้ยวกำลังจะถูกตัดสินโทษ “ทัณฑ์​ปักษาพิฆาต” กลับกล่าวยืดยาวตอบโต้กับอินทรีในเรื่องการเปลี่ยนแปลงอดีต กำหนดชะตาตนเอง
พวกมันเพิ่งผ่านพ้นการเดินทางย้อนเวลา สภาพร่างกายจิตใจย่อมยังไม่ฟื้นคืนเต็มที่ ตัวมันยืนใกล้กระสากว่าใคร จึงถูกคว้าเอาไปเป็นตัวประกัน แต่อินทรีที่มากประสบการณ์ก็สามารถแก้ไขสถานการณ์กลับคืนได้โดยง่าย และสั่งเดินหน้าลงทัณฑ์คนทรยศต่อหลักการตามกฏเกณฑ์ขององค์กร
แต่ที่จริงแล้ว กระสามิได้มุ่งหวังอันใด นอกเสียจากการยัดสิ่งหนึ่งใส่อกเสื้อของมัน ซึ่งกว่ามันจะรู้ตัว ก็ผ่านไปหลายชั่วยามแล้ว จึงพลอยไม่กล้าบอกกล่าวต่อคนอื่น ด้วยเกรงว่า จะติดร่างแห กลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดไปด้วย
สิ่งของนั้นก็คือแผนที่ลับบ่งบอกที่ซ่อนขุมสมบัติสำคัญภายในจวนที่พักสกุลอ้วน มันนึกสนใจใคร่รู้ จึงแอบไปค้นหาตามลำพังเมื่อมีโอกาส ค่อยพบว่า มันมาถึงช้าไปแล้ว ขุมสมบัติที่ว่านั้นคล้ายถูกผู้อื่นเก็บกวาดไปหมดสิ้น เหลือเพียงกล่องเหล็กที่บรรจุม้วนไม้ไผ่วางแอบไว้ ภายในเขียนบรรยายบันทึกชีวิตของกระสาที่มีจุดจบราวกับนวนิยายในอีกรูปแบบหนึ่ง ไม่่แน่ใจว่าเป็นการคัดลอกมาจากที่ไหน หรือแต่งเองตามจินตนาการ
มันอ่านดูข้อความจนหมดสิ้น เห็นว่า ข้อมูลบางอย่างไม่เหมาะสมให้เผยแพร่ออกไป และมาถึงขั้นนี้ ก็ไม่สมควรแจ้งต่อเพื่อนพ้องคนอื่น จึงพาลโยนลงแม่น้ำทำลายทิ้งไปเสียเลย
สิ่งที่มันยังจดจำได้ และนำมาครุ่นคิดพิจารณา คือเรื่องราวที่แปลกแตกต่างไปจากสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในช่วงเวลานี้ หรือว่า กระสาพานพบประสบการณ์เฉกเช่น วังวนแห่งกาลเวลา หรือโลกคู่ขนานอื่นใด
แสดงว่า องค์กรย้อนอดีตของมันปกปิดความลับบางอย่าง นั่นคือ การกระทำของพวกมันไม่ได้จำเป็นต้องซ้ำรอยเดิมเสมอไป หากแต่สามารถปรับเปลี่ยนไปได้ตามสถานการณ์ แล้วกาลเวลาจะค่อยๆเยียวยา ส่งต่อให้กับประวัติศาสตร์หน้าใหม่ได้เอง
จากหลักการคิดเช่นนั้น กระสาจึงมั่นใจว่า ตนเองสามารถกำหนดชะตากรรมตนเอง และเปิดเส้นทางประวัติศาสตร์หน้าใหม่ได้ ดังนั้น หากตัวมันจะเลียนแบบวิธีการเช่นเดียวกัน ก็ย่อมสามารถกระทำได้
ฉับพลัน หัวขวานคล้ายเกิดความกระจ่างแจ้งภายในใจ ตนเองก็มีพื้นฐานแนวคิดแปลกแยกเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงยิ่งตอกย้ำความมั่นใจมากขึ้น และส่งผลไปถึงตัวตนของมันเองในอนาคต
...

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา