18 มิ.ย. 2021 เวลา 09:15 • ครอบครัว & เด็ก
ทั้งคู่ตอบตรงกันว่า การเป็นพ่อเป็นสามี หัวใจหลักก็คือ “ไม่อยากทำให้เมียและลูกผิดหวัง”
1
ชวนมาฟังบรูซ สปริงทีนและ บารัค โอบาม่า
คุยกันในบริบทของความเป็น ”พ่อ”
บรูซ เริ่มสร้างครอบครัว และมีลูกในช่วงชีวิตที่ไต่ไปถึงจุดสูงสุดของยอดภูเขาแล้ว เขาประสบความสำเร็จในอาชีพการเป็นนักร้องเรียบร้อย
1
แต่บารัค เริ่มต้นสร้างครอบครัวและมีลูกในตอนที่กำลังเริ่มทำงาน เริ่มสร้างเส้นทางของสายอาชีพที่เขาสนใจและให้ความสำคัญ
1
35-36 ปี คือช่วงที่บรูซตัดสินใจแต่งงานกับแพตตี้ภรรยา แต่เขาเองก็ยังไม่แน่ใจว่าจะเป็นพ่อที่ดีหรือเป็นหัวหน้าครอบครัวอย่างที่ควรจะเป็นได้หรือไม่ แต่แพตตี้ก็ตอบเขาเพียงว่า “We’ll see” เธอบอกเค้าว่าให้ค่อยเป็นค่อยไป
28-31 ปี คือช่วงที่บารัค ได้พบกับมิเชล และรู้สึกอยากจะสร้างครอบครัวร่วมกันต่อจากนั้น และมิเชลบอกกับเขาตั้งแต่แรกเลยว่า แม้จะสนุกกับการทำงานแค่ไหน แต่เป้าหมายของเธอคืออยากจะเป็น “แม่” และ “ครอบครัว” คือสิ่งสำคัญในชีวิตเธอ
1
สำหรับบารัค ความรัก ความผูกพัน ที่มีต่อลูก ๆ ของเขานั้น เกิดขึ้นโดยที่ไม่ต้องคิดหรือวางแผน มันเกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติตั้งแต่ที่ได้รับรู้ว่าจะได้เป็น “พ่อ” สำหรับเขาประโยค “Uncondition love - รักโดยไม่มีเงื่อนไข” นั้นเป็นจริงโดยไม่ต้องสงสัย
ส่วนบรูซก็เล่าถึงการตั้งครรภ์ในช่วงแรกของแพตตี้ที่มีปัญหาตกเลือดเล็กน้อย เขาพาแพตตี้ไปโรงพยาบาล และนั่นเป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกถึงคำว่า “Uncondition love” เพราะเขาพร้อมที่จะทำอะไรก็ได้ทั้งนั้นเพื่อให้แพตตี้และลูกในท้องปลอดภัย และก็เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาเข้าใจคำว่า “Fearless love - รักโดยปราศจากความกลัว” ซึ่งบรูซเองไม่เคยรู้มาก่อนว่าเขาจะรู้สึกและเข้าใจมันได้อย่างถ่องแท้
ทั้งคู่ตอบตรงกันว่า การเป็นพ่อเป็นสามี หัวใจหลักก็คือ “ไม่อยากทำให้เมียและลูกผิดหวัง”
ซึ่งบรูซมักจะสงสัยในตัวเองเสมอในขณะที่เป็น “พ่อ” ว่า เขามีความสามารถแค่ไหนที่จะไม่ทำให้ลูกเมียผิดหวัง แต่หลังจากที่ลูกชายคนแรกได้ลืมตาดูโลกแล้ว เขารู้สึกถึงพลังและของขวัญทั้งจากลูกชายและแพตตี้ที่จะทำให้เขาสามารถที่จะทำมันได้
3
บารัคเล่าถึงช่วงที่ลูกสาวคนแรกเกิด เขาช่วยมิเชลเลี้ยงลูกในเวลากลางคืน ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่ได้เปลี่ยนผ้าอ้อม ให้นม พูดคุย เล่นเพลงให้ฟัง แต่หลังจากนั้นไม่นานก็มีความท้าทายเกิดขึ้นในชีวิต เพราะการงานของเขาบังคับให้เขาต้องออกจากบ้านบ่อย แต่นั่นก็เป็นเรื่องของงาน เพราะในส่วนลึกของจิตใจ เขารู้ว่าไม่มีอะไรทำให้เขามีความสุขมากไปกว่าการได้ใช้เวลาอยู่กับลูก ๆ ได้ฟังพวกเขาเล่าเรื่องต่าง ๆ ที่ได้ค้นพบใหม่ ๆ บนโลกใบนี้ หรือคอยตอบคำถามทุกอย่าง ๆ ที่ลูก ๆ เฝ้าถาม
2
สำหรับมิเชล “ครอบครัว” ไม่ได้สำคัญแค่ความรักเท่านั้น แต่หมายถึงต้องจัดสรรเวลาเพื่อที่จะใช้ร่วมกันด้วย ซึ่งบารัคก็ให้ความสำคัญเช่นนั้น
ส่วนบรูซนั้นต่างกันออกไป อย่างที่บอกว่าเขาเริ่มต้นชีวิตครอบครัวเมื่อเขาประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานแล้ว ทำให้เขาพร้อมที่จะให้ความสำคัญของครอบครัวมาเป็นอันดับหนึ่ง เพราะตอนนั้นในอาชีพนักร้องนักแต่งเพลง เขาสามารถบริหารเวลาทุกอย่างด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นเวลาตื่น เวลาทำงาน เวลาอัดเสียง ซึ่งตอนนั้นเขาเลือกได้แล้วว่าจะเซ็ทตารางงานอย่างไรให้สมดุลกับชีวิตครอบครัว
ช่วงเวลาที่บารัคลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าการรัฐ และต่อจากนั้นก็ลงสมัครเข้าชิงประธานาธิบดี เป็นช่วงที่ลูกสาวทั้งสองยังเล็กมาก (3/8 ขวบ) ซึ่งเป็นช่วงที่ยากลำบากสำหรับเขาในฐานะพ่อ เขาปล่อยทุกอย่างให้อยู่ในมือในความดูแลของมิเชล ที่ออกจากงานเพื่อมาทุ่มเทกับการเลี้ยงลูก
บารัคเล่าว่าในช่วง 6 เดือนแรกของการเป็นประธานาธิบดี เขาคิดถึงลูก ๆ เป็นอย่างมากเพราะหลาย ๆ ครั้งเขาต้องเดินทางออกนอกประเทศ หรือนอกรัฐเพื่อไปทำงาน แต่ถ้าหากเมื่อใดที่ได้กลับสู่ทำเนียบขาว ซึ่งเป็นบ้านในขณะนั้น เขาจะเซ็ทตารางให้ทุกวันเวลา 18.30 เป็นเวลารับประทานอาหารกับครอบครัว และได้ใช้เวลากับลูก ๆ
1
ช่วงเวลาที่มีค่านี้เอง ที่ช่วยทำให้เขามีกำลังใจในการทำงานที่ยากลำบากในฐานะผู้นำประเทศ ย้ำเตือนให้เขารู้ว่าเขากำลังทำอะไร เพื่ออะไร และทำไปทำไม
1
เมื่อบารัคถามบรูซว่า “คุณได้เรียนรู้อะไรจากการเป็นพ่อ”
บรูซกลับตอบว่า ฉันรู้ว่าการเป็นประธานาธิบดีนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ขอเล่าให้ฟังนะว่า การทำอัลบั้มก็ไม่ง่ายเหมือนกัน พร้อมกับหัวเราะร่วน และบอกว่าเป็นโจ๊กที่งี่เง่านิดหน่อย
บารัคหัวเราะและตอบกลับว่า ทำอัลบั้มไม่ใช่ง่าย แต่มันดูเหมือนว่าจะมีความสนุกอยู่ในนั้นประปรายนะ (ซึ่งเป็นประธานาธิบดีไม่ค่อยมี)
1
ความยากในการเป็นพ่อของบรูซก็คือ การที่ยังคงอาชีพนักร้องนักแต่งเพลง และออกทัวร์คอนเสริ์ตให้อยู่ในแผน ตอนที่ลูกยังแบเบาะนั้นเขารับหน้าที่ผลัดเปลี่ยนในเวลากลางคืน แต่เมื่อลูกเริ่มโตงานดูแลช่วงกลางคืนก็จะหมดไป แพตตี้บอกกับเขาว่า คุณไม่ต้องตื่นมาตอนเช้าก็ได้ แต่ว่าคุณจะพลาดโอกาสนั้นนะ ซึ่งตอนแรกเขาไม่เข้าใจ
เด็กจะมีชีวิตชีวาในตอนเช้า สวยงามสดใสและเพิ่งตื่นจากความฝัน ถ้าคุณไม่ตื่นมา คุณก็จะไม่ได้เห็นช่วงเวลานี้ นั่นคือสิ่งที่แพตตี้บอกเขา ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจทำตามคำแนะนำภรรยาและทำอาหารเช้าให้ทุกคนในบ้าน ทำให้เขาเข้าใจแล้วว่า ถ้าเขาได้เจอเด็ก ๆ ในช่วงเช้า นั่นหมายความว่าเขาได้เห็นลูกเขาตลอดทั้งวัน แต่ถ้าเขาพลาดช่วงเช้าไป นั่นก็หมายความว่าเขาพลาดไปทั้งวัน
บรูซเล่าว่า เขาเคยถูกขัดจังหวะในขณะที่เขากำลังแต่งเพลง ซึ่งอาจจะเป็นเพลงที่ดี เป็นเพลงที่ฮิตที่สุดในอเมริกาก็ได้ ดังนั้นเขาจึงหัวเสียมาก ๆ หากถูกขัดจังหวะ
3
แต่เมื่อมีลูกสิ่งยิ่งใหญ่ที่ทำให้เขาได้เรียนรู้ก็คือ
“A good song is there forever, Music is there in my life forever, Children ….. GONE”
เขาเลือกจะใช้เวลากับลูก ๆ ก่อนที่พวกเขาจะโตขึ้นและมีชีวิตเป็นของตัวเอง
บารัคเล่าว่า มิเชลมีความคิดว่าเด็ก ๆ ก็เหมือนต้นไม้ ต้องการแสงแดด พื้นดิน สายน้ำ ซึ่งเด็กแต่ละคนก็เป็นต้นไม้ต่างชนิดกัน มีเอกลักษณ์ต่างกัน ซึ่งเขาเองในที่สุดก็ได้เรียนรู้แนวคิดของมิเชล คือคอยดูการเติบโตของพวกเขาอย่างที่มันเป็น ซึ่งมันจะเป็นไปตามธรรมชาติ เหมือนดอกไม้ที่ผลิแตกกิ่งก้าน หรือออกดอกและเบ่งบาน เราผู้เป็นพ่อก็รอการค้นพบนั้นอย่างสงบ
1
“เราจะไม่ดุว่าถ้าลูกทำผิด แต่เราจะดุถ้าลูกโกหกตอนที่ทำผิด” นี่คือคำสอนที่บารัคและมิเชลสอนลูก
บรูซเล่าถึงตัวเองว่า เคยทำผิดพลาดมาก่อนที่จะเรียนรู้สิ่งที่ถูกต้อง คำว่า “NO” เป็นคำที่เขาใช้ติดปาก ซึ่งตอนนั้นลูก ๆ ยังเล็กมากอายุเพียง 8-9 ขวบ เขารู้สึกว่านี่เป็นสิ่งผิด วันหนึ่งเขาจึงเขาไปหาลูก ๆ ขอโทษพวกเขาที่ทำแบบนั้น เขาคิดว่าที่เขาพูดไปแบบนั้นทำให้ลูก ๆ คิดว่าพวกเขาไม่เป็นที่ต้องการ ทั้ง ๆ ที่ความจริงลูกคือสิ่งสำคัญในชีวิต
บรูซจึงขอโอกาสลูกใหม่อีกครั้งเพื่อที่จะสร้างสัมพันธ์อันดีระหว่างพ่อลูก ซึ่งในใจเขารู้ดีว่ามันจะเป็นงานที่หนักและเป็นงานที่ใหญ่มาก หลังจากนั้นไม่ว่าเขาจะกำลังแต่งเพลงหรือทำอะไรที่ไม่ต้องการให้มีคนมาขัดจังหวะ แต่ถ้าลูกหรือเด็ก ๆ คนไหนเข้ามาในห้อง เขาจะหยุดทำงาน และพูดแต่คำว่า
“YES YES YES YES over and over and over again”
1

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา