20 มิ.ย. 2021 เวลา 15:05 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
ข้อคิดจากซีรีส์ See (Season 1 : 2019) “การมองเห็นด้วยความเอาใจใส่”
การมองเห็นโดยขาดความเอาใจใส่ อาจทำให้เรามองข้ามความงามของชีวิต
See (Season 1 : 2019)
เล่าเรื่องราวภายหลังเหตุการณ์โลกล่มสลาย
“ซึ่งมนุษย์ถูกคร่าชีวิตโดยไวรัส”
ทำให้เผ่าพันธุ์มนุษย์เหลือรอดอยู่เพียงน้อยนิด
และผู้ที่เหลือรอดมานั้นก็ล้วนสูญเสียการมองเห็นไป
(ลูกหลานที่เกิดมาก็ตาบอดด้วยเช่นกัน)
ทุกคนจึงต้องปรับตัวเพื่อหาทางเอาชีวิตรอด
ทั้งการฝึกใช้ประสาทสัมผัสอื่น ๆ ที่เหลือให้เฉียบคมมากขึ้น
เช่น การดมกลิ่น การได้ยิน การสัมผัส (เพื่อทดแทนการมองเห็น)
และเปลี่ยนวิถีชีวิตโดยมาอยู่รวมกันเป็นชนเผ่า เพื่อช่วยเหลือกันและกัน
“เผ่าพันธ์มนุษย์จึงกลับไปใช้ชีวิตแบบโลกยุคโบราณอีกครั้ง”
แต่แล้ววันหนึ่ง เมื่อภรรยาของหัวหน้าเผ่าอัลเคนนี
ได้ให้กำเนิดฝาแฝดชายหญิง
ที่สามารถมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ได้ตามปกติ
(ซึ่งการมองเห็นถือเป็นสิ่งที่หายสาบสูญไปนานนับร้อยปีแล้ว)
อีกทั้งยังเป็นเรื่องราวต้องห้าม “ห้ามพูดถึงเด็ดขาด”
ใครที่พูดถึงเรื่องการมองเห็น ก็จะถูกตีตราว่าเป็นพวกแม่มด
แล้วก็จะถูกจับเผาทั้งเป็น
ด้วยเหตุนี้ ความซวยจึงมาเยือนเผ่าอัลเคนนี
เมื่อมีคนทรยศในเผ่านำข่าวการเกิดของฝาแฝด
ไปแจ้งให้กับนักล่าแม่มดของราชินีผู้เหี้ยมโหด
“เวลาแห่งการไล่ล่าจึงเริ่มขึ้น”
เป็นซีรีส์ที่ผมพลาดอีกแล้วครับ 5555
(เรื่องนี้ฉายทาง Apple TV+)
ตอนแรกที่ผมได้ยินว่า
“เนื้อเรื่องมันเกี่ยวกับโลกอนาคตที่ทุกคนตาบอดกันหมด”
ผมก็เข้าใจไปเองว่า
คงเป็นแนวเล่าถึงวิถีชีวิต และการช่วยเหลือกัน
เลยทำให้ผมไม่คิดจะกดดูแม้กระทั่งตัวอย่างของซีรีส์ครับ
แต่เมื่อผมพึ่งได้ยินข่าวว่า มันจะมีซีซั่น 2 ในปีนี้
(มีนักแสดงใหม่คือ เดฟ บาติสต้า ที่ล่าสุดน้าพึ่งแสดง Army of the Dead ไปครับ)
ผมก็เลยลองเปิดดูซะหน่อย
อารมณ์เหมือนลองดูซักตอนจะเป็นไรไป ถ้าไม่สนุกก็เลิกดู
(ที่ไหนได้...แทบจะดูรวดเดียวจบเลย ดูแบบหยุดไม่ได้เลย
และนี่ก็เป็นอีกสาเหตุที่ผมไม่ได้เขียนบทความลงเพจมา2วันครับ 555)
โอ้โหววว นี่ไม่ใช่แค่ซีรีส์ชีวิตแล้วล่ะครับ
มีทั้งแอคชั่น ดราม่า จิตวิทยา และปรัชญา
บางฉากสะเทือนใจจนเรียกน้ำตาได้เลยครับ
แล้วที่สำคัญ
ซีรีส์เรื่องนี้ได้ทำให้เรากลับมาทบทวนตัวเองด้วยครับ
มันชวนให้เราถามตัวเองว่า
“เฮ้ย...เรารีบใช้ชีวิตจนไม่ได้มองสิ่งต่าง ๆ อย่างใส่ใจรึเปล่านะ”
บางครั้งเราก็เผลอใช้ชีวิตแบบขาดความเอาใจใส่
เหมือนเราเปิดระบบอัตโนมัติให้ตัวเองครับ
“โดยใช้ชีวิตแบบเร่งรีบ/ล่องลอย”
เหมือนคนที่เหยียบคันเร่ง/มุ่งไปข้างหน้าอยู่ตลอดเวลา
จนเราวิ่งวุ่นไปกับตารางชีวิต และตารางทำงาน
“ถึงเวลาหยุดไม่รู้จักหยุด”
มันทำให้เราสูญเสียความรู้สึกใส่ใจไป
อีกทั้งยังทำให้เราไม่ได้อยู่กับปัจจุบันอย่างเต็มที่
“ส่งผลให้เราขาดการใคร่ครวญ, รีบด่วนสรุป, หัวร้อนง่าย และระเบิดอารมณ์อย่างรวดเร็ว”
จนนำมาซึ่งความรู้สึกไม่มีความสุข
แล้วมันก็ไปกระทบกับชีวิตส่วนตัว ชีวิตคู่ ครอบครัว การงาน
และสุขภาพกายใจ
“ความสุขซึ่งเคยเป็นสิ่งที่เรียบง่าย”
แต่บัดนี้กลับกลายเป็นของหายากเสียแล้ว
เนื่องจากใจของเราเต็มไปด้วยความวุ่นวาย
จนไม่เหลือที่ว่างให้กับความสงบเลยครับ
“เมื่อใจเราไม่สงบ การรับรู้ของเราก็ไม่สงบด้วยเช่นกัน”
เนื่องจากเราต้องรีบกิน รีบเดิน รีบพูดคุย รีบปั่นงาน
รีบปัดหน้าจอมือถือ และยังต้องรีบพัก/รีบตื่นอีก
“เพื่อที่จะได้กลับไปใช้ชีวิตตามตารางแบบเดิม ๆ”
ความสุขจึงกลายเป็นเรื่องยาก
ความชินชาจึงกลับกลายเป็นเรื่องง่าย/เรื่องปกติ
มันจึงทำให้
“เราโหยหาความสุขอยู่ลึก ๆ”
หากเราลองเปลี่ยนท่าทีสักเล็กน้อยครับ
โดยเริ่มจาก ณ วินาทีตั้งแต่ที่เราลืมตาตื่นนอน
-ลองสัมผัสร่างกาย
-รับรู้ลมหายใจ
-รับรู้เสียงการเต้นของหัวใจ
-สัมผัสสายน้ำในขณะล้างหน้าแปรงฟัน
-ลิ้มรสอาหารที่กำลังกิน
-ชื่นชมกับภาพของสิ่งต่าง ๆ รอบตัว
-ลองมองท้องฟ้า ดวงตะวัน และก้อนเมฆ
-ก้าวเดินอย่างรู้ตัว
-ทักทายและสบตากับผู้คนที่เราเกี่ยวข้อง
-มองและฟังสิ่งต่าง ๆ แบบไม่รีบตัดสิน
“สัมผัสถึงชีวิตในปัจจุบันขณะ”
เราจะเริ่มผ่อนคันเร่งของชีวิตลงได้
แล้วเราก็อาจได้สัมผัสกับความเรียบง่าย
รวมทั้งความงดงามที่เรามองข้ามไป
ด้วยเหตุนี้
ใจของเราก็จะมีที่ว่างให้กับความสงบ และความเปิดกว้าง
ซึ่งจะนำเราไปสู่การมองเห็นที่แท้จริง
จนเราสามารถเชื่อมโยงกับแต่ละสิ่งที่เกี่ยวข้องอย่างเอาใจใส่
“แล้วเมื่อเราอยู่กับปัจจุบันอย่างเต็มที่ ความสุขก็จะเผยตัวออกมาอย่างง่ายดาย” ^^
โฆษณา