1 ก.ค. 2021 เวลา 12:07 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
ข้อคิดจากซีรีส์ The Morning Show (Season 1 : 2019) “ไม่มีใครหนีจากสิ่งที่ตนเองทำได้พ้น”
ทุกการกระทำ ล้วนมีผลที่ตามมา
The Morning Show (Season 1 : 2019)
เล่าเรื่องราวของรายการข่าวภาคเช้าในอเมริกา
ที่ชื่อ “The Morning Show”
ซึ่งต้องพบเจอกับปัญหาครั้งใหญ่
เมื่อ “มิตซ์”
ซึ่งเป็นผู้ประกาศข่าวชาย ที่เป็นขวัญใจผู้ชมมาตลอด 15 ปี
โดนร้องเรียนเรื่องพฤติกรรมล่วงละเมิดทางเพศต่อทีมงานผู้หญิง
จึงทำให้มิตซ์โดนทางสถานีเด้งฟ้าผ่าไล่ออกทันที
(เส้นทางของอาชีพพังทลายลงในพริบตา)
งานนี้จึงทำให้ “อเล็กซ์”
ผู้ประกาศข่าวหญิงที่เป็นคู่หู ถึงกับต้องเสียศูนย์
เพราะเพื่อนซี้ต้องมาจากไปแบบไม่ให้ทันตั้งตัว
(ทำรายการคู่กันมา 15 ปี มาเจอแบบนี้ก็ต้องมีเมาหมัดกันบ้าง)
โดยสิ่งที่ตามมาหลังจากเหตุการณ์นี้ คือ
“ทางผู้บริหารสถานีต้องการความเปลี่ยนแปลง”
-อยากเปลี่ยนโฉมรายการใหม่
-อยากหาผู้ประกาศข่าวคนใหม่
-อยากใช้จังหวะนี้เขี่ยอเล็กซ์ออกไปซะด้วยเลย
แต่อเล็กซ์ก็ไม่ยอม เธอพร้อมสู้สุดชีวิต
และพร้อมงัดข้อกับผู้บริหารทั้งหลาย
แต่เรื่องมันไม่ได้ง่ายเสมอไป
เมื่อทางผู้บริหารได้ส่ง “แบรดลี่” เข้ามาท้าชนกับอเล็กซ์
โดยแบรดลี่เป็นนักข่าวหญิงที่เน้นการนำเสนอข้อเท็จจริง
และตรงไปตรงมาสุด ๆ ชนิดที่ว่า ยอมหักไม่ยอมงอ
(ถึงกับได้ฉายา แบรดลี่ผู้ไม่สนสี่สนแปด)
ซึ่งมันขัดกับแนวทางการนำเสนอข่าวของอเล็กซ์สุด ๆ
งานนี้เลยทำให้สองขั้วที่โคตรแตกต่างต้องมาเจอกัน
“สงครามภายในแห่งรายการข่าวเช้าจึงเกิดขึ้น”
(เล่ามาขนาดนี้ ไม่ดูไม่ได้แล้วล่ะครับ ฮ่าาาา)
นี่เป็นซีรีส์ที่ผมรู้สึกว่า โคตรพลาดอีกแล้วครับ 5555
(เรื่องนี้ฉายทาง Apple TV+)
ตอนที่เรื่องนี้มาใหม่ ๆ แล้วผมได้ยินว่า
มันเกี่ยวกับดราม่าในรายการข่าว
ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรครับ
เลยปล่อยเรื่องนี้ผ่านไปเป็นปี
แต่แล้วช่วงนี้ตัวผมก็ไม่รู้เกิดคึกอะไรขึ้นมา 555
ผมไปไล่ดูหนังที่เกี่ยวกับวงการข่าวและกฎหมายอยู่หลายเรื่อง
เช่น Spotlight, Dark Water, Bombshell
ซึ่งเป็นเหตุให้ผมตัดสินใจลองดูซีรีส์เรื่องนี้ซักตอนนึงครับ
แต่แล้วก็พบว่า “โอ้วววววว” โคตรสนุกเลยครับ
(ใช้เวลาไม่ถึง 5 นาที ก็ชนะใจผมได้สำเร็จ 555)
ซีรีส์เรื่องนี้มันเต็มไปด้วยการกดขี่ข่มเหงในวงการข่าว,
การฟาดฟันกันด้วยข้อมูล, การแฉ, การโกหกหลอกลวง,
การหักเหลี่ยมเฉือนคม และการต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง
นักแสดงแต่ละคนนี่เทพมาก
บทพูดนี่ก็รัวใส่กันไม่หยุดยั้ง
“รุนแรงและดุดัน เหมือนเอามีดมาแทงกันให้ไส้แตก 555”
ซึ่งนอกจากความบันเทิงของซีรีส์ที่มอบให้กับเราแล้ว
มันยังได้สอนบทเรียนให้เราอย่างหนึ่งครับ
นั่นคือ “ทุกสิ่งที่เราทำ ล้วนมีผลตามมาเสมอ”
แล้วตัวเรานี่แหละที่จะต้องรับผิดชอบกับสิ่งเหล่านั้น
การตัดสินใจพูดแบบไม่ทันยั้งคิด
หรือ รีบทำอะไรลงไปด้วยใจที่ปั่นป่วน
สำหรับเราแล้ว
มันอาจดูเหมือนไม่มีอะไรกระทบตามมา
(เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น/มันคงไม่มีอะไรล่ะมั้ง)
แต่ใครจะไปรู้ล่ะครับ
ว่าทุกสิ่งที่เราทำลงไปนั้น
“มันได้ไปกรีดหัวใจของใครบ้าง ?”
ซึ่งมันอาจเกิดผลตามมาได้มากมายเลย เช่น
-โดนหมายหัว
-โดนคนไม่ชอบ/อคติ
-โดนนักแคปในตำนานบันทึกไว้
-โดนคนมือไวถ่ายคลิป/อัดเสียง
-เสียมิตรภาพ
-ทำลายหน้าที่การงาน
-ทำร้ายคนที่เรารัก และคนที่รักเรา
ฯลฯ
“กลายเป็นว่า มันก็สามารถส่งผลกระทบได้เหมือนกัน”
จุดที่น่าตั้งคำถามก็คือ
สิ่งใดผลักดันให้เราตัดสินใจพูด/ทำ
“โดยขาดการใคร่ครวญ”
สิ่งนี้บางครั้งมันมักออกมาในรูปของคำว่า
ความถือดี/อัตตา/ตัวกู
ซึ่งมันจะทำให้เราเชื่อว่า “เราถูกต้องที่สุด/เราดีที่สุด”
ส่วนคนอื่นน่ะเหรอ “พวกมันอยู่ต่ำกว่าเรา/เราจะทำอะไรกับมันก็ได้”
ทีนี้ล่ะครับ
มันก็จะผลักดันให้เราดำเนินชีวิตไปแบบยโสโอหัง
แถมยังทำให้เราละเลยชีวิตจิตใจของคนอื่น
และทำตัวเป็นเทพเจ้าที่อยู่เหนือกว่าคนอื่น
“จิตใจเราย่อมสูญเสียความอ่อนโยนไปทีละน้อย”
ซึ่งจะทำให้เราเกิดแนวโน้มอย่างหนึ่งขึ้นมา
นั่นคือ การตัดสินใจ/การพูด/การกระทำ
“ที่อาจไปล่วงเกินล้ำเส้นคนอื่นเข้า”
ใจที่เต็มไปด้วยความแข็งกระด้าง
ขาดความเข้าใจและเห็นใจผู้อื่น
แล้วถ้าหากถูกเติมเชื้อไฟแห่งความรุนแรงเข้าไป
-เราก็จะคล้ายกับอาวุธที่เดินได้
-เราก็จะกลายเป็นเครื่องจักร
ที่ยินดีทำทุกอย่างเพื่อสนองความอยากของตัวเอง
“พร้อมใช้ความรุนแรงและการบีบคั้น”
ทีนี้ หากผลที่ตามมามันดูเหมือนยังไล่ล่าเราไม่ทัน
(เราอาจจะรอดจากการล้ำเส้นผู้อื่นไปก็ได้ครับ)
แต่สิ่งที่ตัวเราไม่รอดและโดนเล่นงานไปแล้วนั่นก็คือ
“ร่างกายและจิตใจของเรา”
เนื่องจาก ทุกครั้งที่ใจของเราเกิดความรุนแรง
ตัวเราก็จะเข้าสู่โหมดทำสงคราม
จากปรากฏกาณ์เหล่านี้
มันได้ทำให้กายใจของเราอยู่ในภาวะทุกข์อย่างเลี่ยงไม่ได้
ซึ่งหากเราสะสมไว้นาน ๆ
มันก็อาจจะก่อให้เกิดโรคทางกาย/โรคทางใจ
จนเราต้องไปพบผู้เชี่ยวชาญเพื่อเยียวยารักษากันอีก
(บ่อยครั้งการสะสมความเคยชินที่มักเข้าไปล่วงเกินผู้อื่น
และการเก็บความทรงจำที่เราไปล้ำเส้นผู้อื่นมาก ๆ
มันก็สามารถส่งผลต่อสภาพจิตใจของเราในระยะยาวด้วยครับ)
ดังนั้น
“ไม่มีการกระทำใดที่จะไม่ผลิดอกออกผล”
ในท้ายที่สุดแล้ว (แม้กระทั่งวินาทีสุดท้ายของชีวิต)
ก็เหลือตัวเราเองนี่แหละครับ
ที่จะต้องรับผลจากสิ่งที่ตนเองได้ทำไว้ “ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง” ^^
โฆษณา