3 ก.ค. 2021 เวลา 12:39 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
ข้อคิดจากซีรีส์ WandaVision (Season 1 : 2021) “การยอมรับเมื่อถึงเวลาที่ต้องร่ำลา”
ชีวิตนั้นมีกฎเกณฑ์อยู่ เราจึงไม่สามารถหนีความตายไปได้
WandaVision (Season 1 : 2021)
เล่าเรื่องราวของ “แวนดา แม็กซิมอฟ กับ วิชั่น”
คู่รักที่พึ่งแต่งงานกัน (คู่รักยอดมนุษย์ 555)
ซึ่งย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง
โดยทั้งสองเลือกที่จะไม่เปิดเผยให้คนในเมืองรู้ว่า
“ทั้งคู่นั้นมีพลังพิเศษ”
ด้วยเหตุนี้
การดำเนินชีวิตของทั้งสองคน
จึงเป็นไปด้วยความสุข รอยยิ้ม และเปี่ยมล้นไปด้วยรัก
อีกทั้งเพื่อนบ้านก็ต่างเป็นมิตร
ซึ่งทุกอย่างก็ดูเหมือนจะลงตัวและเป็นไปด้วยความสงบ
แต่แล้วแวนด้า กับ วิชั่น ก็เริ่มสัมผัสถึงบางสิ่งที่ดูไม่ปกติ
เริ่มตั้งแต่
-มีวัตถุบางอย่างที่ดูผิดยุคโผล่ออกมา
-ผู้คนในเมืองบางคนก็เริ่มมีคำพูดที่น่าสงสัย และแสดงท่าทีแปลก ๆ
-รวมถึงการได้ยินเสียงประหลาดที่แทรกเข้ามาในวิทยุ
“เหมือนมีบางสิ่งกำลังคุกคามความสงบของเมืองแห่งนี้”
แล้วมันก็อาจทำลายความสุขของคู่รักที่พึ่งแต่งงานกันใหม่นี้ด้วย
ก่อนอื่นต้องขอออกตัวเลยครับว่า
ผมนี่สาวก DC เต็มสูบเลยครับ 5555
ซึ่งไม่เคยคิดจะดูซีรีส์ Marvel เลยแม้แต่น้อย
นี่จึงเป็นซีรีส์ของทางฝั่ง Marvel เรื่องแรกที่ผมพึ่งได้ดูครับ
(เรื่องนี้ฉายทาง Disney+ Hotstar)
โดยเหตุผลหนึ่งที่ผมตัดสินใจดูก็คือ
มีมิตรสหายเชียร์ให้ดู
(ซึ่งแต่ละตอนมันความยาวไม่เยอะ แค่ครึ่งชั่วโมงนิด ๆ)
ผมก็เลยตัดสินใจลองเปิดดูครับ
พอดูไปได้ตอนเดียวนั่นล่ะครับ
โอ้โหวววว!!!! ผิดคาดครับ
นี่มันไม่ใช่ซีรีส์แนวบันเทิงอย่างเดียวแล้ว
(ไม่ได้เป็นสูตรแบบ Marvel ที่คนเค้าชอบล้อกัน 555)
มันเล่นไปถึงเรื่องสภาวะจิตใจ
ในประเด็นของ “การสูญเสียบุคคลที่เรารัก”
โดยเริ่มจากการเล่าเรื่องแบบแนวตลกซิทคอม
(มุกตลกที่ใส่มาแต่ละอย่างนี่เล่นเอาหัวเราะจนเกือบกรามค้าง 555)
แล้วค่อย ๆ เข้าสู่โหมดจริงจังมากขึ้นเรื่อย ๆ
ไต่ระดับไปจนถึงการบีบคั้นหัวใจของตัวละครในเรื่อง
และเล่นงานผมที่นั่งดูได้อย่างอยู่หมัด
คือ บทจะฮาก็ขำจนน้ำตาเล็ด บทจะดราม่าก็เล่นเอาน้ำตาร่วง
(ผมใช้เวลาดูแค่ 2 วันครับ ดูแบบหยุดไม่ได้เลย 555)
โดยนอกจากความบันเทิงแล้วนั้น
ซีรีส์เรื่องนี้ยังได้มอบบทเรียนให้กับเราก็คือ
“การยอมรับความตาย ซึ่งเป็นธรรมชาติของชีวิตอย่างหนึ่ง”
ความตาย ความเปลี่ยนแปลง และชีวิต
ทั้งสามคำนี้
ล้วนมีความหมายไปในทิศทางเดียวกัน
นั่นคือ “ไม่มีสิ่งใดที่ไม่เปลี่ยนแปลง”
ด้วยเหตุนี้
ธรรมชาติของชีวิตจึงได้มอบของขวัญให้กับเรา
ซึ่งทำให้เราสามารถอยู่กับปัจจุบันขณะ
และชื่นชมกับทุกสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในแต่ละวินาที
แล้วในขณะเดียวกันนั้น
เหตุการณ์ทุกอย่างรอบตัวเราก็มีความพิเศษด้วยเช่นกัน
นั่นคือ “มันเกิดขึ้นได้เพียงครั้งเดียว”
-การสังเกตสิ่งต่าง ๆ รอบตัวผ่านการอยู่กับปัจจุบัน
-เหตุการณ์รอบตัวที่เกิดขึ้นได้เพียงแค่ครั้งเดียว
ทั้งสองสิ่งอันน่ามหัศจรรย์นี้
“จึงเป็นสิ่งที่มนุษย์พึงเอาใจใส่และรู้คุณค่า”
เมื่อความจริงรอบตัวมากมาย
ทั้งผู้คน สัตว์ ต้นไม้ ภูเขา แม่น้ำ ฯลฯ
“อยู่ภายใต้กฎของความเปลี่ยนแปลง”
มันจึงไม่มีสิ่งใดเลย
ที่จะสามารถรักษาสภาพอันคงที่ของตัวเองเอาไว้ได้
นี่คงเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของธรรมชาติเลยครับ
ซึ่งเอื้อเฟื้อให้เรารู้จักคุณค่าของเวลาแต่ละวินาที
และช่วยให้เราเอาใจใส่ต่อทุกสิ่งอย่างอ่อนโยน
“ไม่มีใครหนีความตายได้พ้น”
นี่คือสิ่งที่มนุษย์เรารู้อยู่แล้วครับ
แต่บางทีคนเราก็พลั้งพลาด
-โดยการเผลอทำร้ายซึ่งกันและกัน
(ยิ่งเป็นคนสำคัญยิ่งชอบทำร้าย)
-ยึดเอาตัวเองเป็นใหญ่
(ไม่ยอมเป็นฝ่ายที่ขอโทษ/เริ่มแสดงความรัก)
-เมินเฉยไม่ให้ความสนใจ
(จนใครคนนั้น/สิ่งเหล่านั้นแหลกสลายลง)
ซึ่งปรากฏกาณณ์เหล่านี้
มักลงเอยด้วยการเสียใจและเสียดาย
“ที่ไม่ได้ใช้ชีวิตให้คุ้ม/ไม่ได้อยู่กับคนที่รักอย่างคุ้มค่า”
หากเราใคร่ครวญชีวิตจากบทเรียนของความตาย/การพลัดพราก
ที่ผู้คนมากมายได้ถ่ายทอดให้กับเรา
มันจะทำให้เราได้เข้าถึงความจริงอย่างหนึ่งครับ
นั่นคือ “การรู้จักดูแลรักษาทุกความสัมพันธ์ที่เราเกี่ยวข้อง”
เพราะทุกสิ่งนั้นเปลี่ยนแปลง
(สิ่งใดเปลี่ยนแปลงได้ สิ่งนั้นย่อมเปราะบางเป็นธรรมดา)
เมื่อเราอยู่ในโลกที่มิอาจฝืนกฎของความเป็นไปเหล่านี้ได้
สิ่งที่เราพึงทำก็คือ
“ใช้ชีวิตอย่างเกื้อกูล”
เราย่อมมีโอกาสในการดูแลสิ่งต่าง ๆ มากมาย เช่น
-ตนเอง
-มิตรสหาย
-ครอบครัว/คนรัก
-ต้นไม้/สัตว์ต่าง ๆ
-การงาน/กิจกรรม
-สิ่งของ/เครื่องใช้ต่าง ๆ
ฯลฯ
“เมื่อเรามอบหัวใจให้กับการเกื้อกูลสิ่งต่าง ๆ เช่นนี้”
อย่างน้อยที่สุดเราก็จะไม่เสียดาย
(ไม่เสียดายที่หลงลืมทำบางอย่างไป)
สุดท้ายนี้
“แม้ทุกสิ่งล้วนต้องจากไป”
แต่หากเราได้ใช้โอกาสในการอยู่กับสิ่งเหล่านั้นอย่างรู้คุณค่า
เราย่อมลดการสร้างบาดแผลให้กับตนเอง/ผู้อื่น/สิ่งอื่น
(สร้างความสัมพันธ์ให้งอกงาม มิใช่ฟาดฟันความสัมพันธ์ให้แหลกลาญ)
แล้วเมื่อถึงเวลาที่เราต้องพลัดพรากจากผู้คนและทุกสิ่งเหล่านั้น
เราก็จะมีความมั่นคงทางใจเพียงพอในการปล่อยมือ
เพื่อให้ผู้คนและสิ่งเหล่านั้นได้ไปตามเส้นทางของตน
(นี่คือการยอมรับเมื่อถึงเวลาที่ต้องร่ำลา)
“ถึงเวลาเจอก็เจอ ถึงเวลาจากก็ต้องจาก”
ซึ่งบางครั้งมันก็อาจสะเทือนใจจนทำให้เราร้องไห้
แม้น้ำตาที่ไหลรินอาจจะเจือด้วยความเสียใจอยู่บ้าง
แต่ก็ยังเปี่ยมไปด้วยความรักและความผูกพันที่ถักทอกันขึ้นมา
“เก็บภาพของคืนวันอันประทับใจเหล่านั้น ให้ตราตรึงอยู่ในหัวใจของเราเสมอ” ^^
โฆษณา