28 มิ.ย. 2021 เวลา 09:28 • ไลฟ์สไตล์
ความโดดเดี่ยวอันจำเป็น
3
1
1
หลายคนนั่งจ้องหน้ากระดาษเปล่าแล้วไม่สามารถเขียนสิ่งใดออกมาได้ หรือเขียนแล้วลบทิ้งซ้ำๆ บ้างก็ขยำลงถังขยะไม่เป็นชิ้นเป็นอันเสียที ผมเข้าใจความรู้สึกนี้ดี เคยเป็นและยังเป็นอยู่ในบางเวลา
น่าสนใจว่าอะไรทำให้เราเป็นเช่นนั้น
คล้ายกันกับเวลามีความคิดริเริ่มอยากทำบางสิ่งแต่สุดท้ายก็หยุดตัวเองไว้ ไม่ลงมือทำ ในใจตอบตัวเองว่ากลัวทำได้ไม่ดีพอ กลัวผิดพลาด กลัวว่าไม่สมบูรณ์แบบ
ถึงที่สุดแล้วความรู้สึกทำนองนี้คืออะไร
รากลึกคือความกลัว
1
แล้วอะไรทำให้เรากลัว
2
คำตอบน่าจะเป็น ‘ตัวตน’
2
หน้ากระดาษเปล่า เวทีที่จะต้องขึ้นพูดหรือแสดง หน้าห้องนำเสนองาน หรือสถานที่ใดก็ตามที่มีสายตาคนอื่นจ้องมองอยู่ล้วนเป็นพื้นที่น่ากลัว ไม่ปลอดภัย ชวนให้ใจสั่น แตกต่างกันกับตอนอยู่ตัวคนเดียว
1
ใช่, เรากลัวหน้าแตก กลัวเสียฟอร์ม กลัวถูกมองไม่ดี
เราหวงตัวตนของเราที่คาดหวังไว้ให้เป็นคนเก่ง ฉลาด มีความสามารถ สมบูรณ์แบบ เรามองตัวเองเช่นนั้นและอยากให้คนอื่นมองเห็นเราเป็นเช่นนั้นด้วย
6
‘ตัวตน’ ที่ว่านี้มีหลายระดับ มีคนอธิบายว่าในตัวเราประกอบด้วยคนสามคน หนึ่ง, ตัวเราที่อยากให้คนอื่นเข้าใจว่าเราเป็น สอง, ตัวเราที่คนอื่นเข้าใจว่าเราเป็น และสาม, ตัวเราที่เป็นจริงๆ ทั้งสามนี้บ่อยครั้งแตกต่างราวคนละคน เราอยากให้เห็นแบบหนึ่ง คนอื่นเห็นเราอีกแบบหนึ่ง ซึ่งอันที่จริงเราไม่ได้เป็นทั้งสองเลย เช่นนี้เองนำมาซึ่งความทุกข์
5
ชีวิตจะราบรื่นเมื่อสามตัวตนนี้ใกล้เคียงกัน
1
ไม่มองตัวเองดีงามเกินจริง คนอื่นเข้าใจเราในแบบที่เป็น และตัวตนจริงๆ ก็ตรงตามความคาดหวังของตัวเอง
เมื่อเข้าใจสิ่งนี้แล้วเราอาจกังวลน้อยลงเมื่อต้องเผชิญสายตาที่จับจ้องมาจากทั่วสารทิศ เมื่อยอมรับว่าฉันก็เก่งประมาณนี้ ฉันก็มีส่วนห่วย ฉันก็สวยบ้างขี้เหร่บ้าง ไม่ต้องมองฉันดีงามเกินไป เราไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบจึงมีความสุข ตรงกันข้าม, การยอมรับในความไม่สมบูรณ์แบบของตัวเองต่างหากที่ทำให้เราสุขง่ายขึ้น
2
2
แน่นอนว่าทุกคนล้วนเกร็งและเกรงเมื่อต้องทำอะไรสักอย่างโดยมีผู้คนรออ่าน ฟัง ดู หรือชิม เรากำลังต่อสู้กับความคาดหวังของตัวเองและคนอื่นไปพร้อมกัน จึงมีคำแนะนำจากนักสร้างสรรค์ทั้งหลายสำหรับผู้เริ่มต้นว่า จงลงมือทำราวกับว่าจะไม่มีใครในโลกนี้ได้รับรู้สิ่งนั้น ไม่ว่าการร้องเพลง ขีดเขียน วาดภาพ ทำอาหาร เต้นระบำ ทำการแสดง หรืออะไรก็ตาม
4
“จงเขียนเหมือนกับว่าจะไม่มีใครได้อ่านกระดาษแผ่นนี้” นักเขียนอาวุโสแนะนำนักหัดเขียนรุ่นเยาว์
13
เช่นนี้เองคือการเริ่มต้นสร้างสรรค์ในสภาวะอันโดดเดี่ยว, เหมือนอยู่คนเดียวในโลก
ความโดดเดี่ยวมาพร้อมความเงียบ ไม่เพียงเงียบภายนอก แต่ยังเงียบภายใน ความเงียบนั้นนำมาซึ่งความกล้า ความสนุก และความเพลิดเพลินในการลงมือทำ เหล่านี้เกิดขึ้นในสภาวะที่ไม่ถูกตัดสิน ไม่มีใครหยิบไม้บรรทัดมาวางทาบว่าสิ่งที่ทำอยู่ดี-ไม่ดีอย่างไร ไม่ต้องให้คะแนน และสงบจากเสียงวิจารณ์
1
สถานที่ไร้การจ้องมองย่อมปราศจากความกังวล
เมื่อเสียงรอบข้างเงียบลงย่อมได้ยินเสียงที่ดังจากหัวใจตัวเอง แล้วเราจะลงมือทำในแบบที่คิด แบบที่เชื่อ แบบที่ชอบ โดยไม่ต้องหวาดระแวงว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร ชอบไหม ขายได้หรือเปล่า อย่างน้อยนี่คือสภาวะที่เหมาะกับการสร้างสรรค์ เพราะมันคืออิสรภาพ
3
3
1
นักสร้างสรรค์หลายคนจึงสร้างงานในบรรยากาศโดดเดี่ยวสงบเงียบ เพราะสิ่งนั้นเหมือนหน้ากระดาษเปล่า ผืนผ้าใบว่าง หรือฟลอร์เต้นรำไร้ผู้คน พวกเขาบ่มเพาะหน่ออ่อนของผลงานสร้างสรรค์ในบรรยากาศเช่นนั้น
จอห์น เคจ นักประพันธ์เพลง เคยกล่าวว่า “เมื่อคุณเริ่มทำงาน ทุกคนจะมาอยู่ในสตูดิโอของคุณหมด ไม่ว่าจะเป็นอดีต เพื่อนของคุณ ศัตรู โลกศิลปะ และเหนืออื่นใด ความคิดของคุณเอง ทั้งหมดมารวมกันอยู่ที่นั่น แต่ขณะที่คุณวาดภาพต่อไป พวกนั้นก็เริ่มจากไปทีละคน และคุณก็ถูกทิ้งไว้ตามลำพังโดยสิ้นเชิงในสตูดิโอ จากนั้นถ้าโชคดี แม้แต่ตัวคุณเองก็จากไปด้วย”
1
ผมเห็นด้วยกับจอห์น เคจ มันเริ่มต้นจากอย่างนั้น และคลี่คลายเช่นนั้นเสมอ
การทำงานในความเงียบค่อยๆ ปลดล็อกตัวเราออกจากความคาดหวังของคนอื่น เมื่องานคืบหน้าผู้คนที่ยืนจ้องมอง วิจารณ์ ก่นด่า หรือชื่นชมจะค่อยๆ สลายหายไป เหลือเพียงตัวเราเองกับความคาดหวังอยากให้ผลงานออกมาดี แต่ยิ่งทำต่อเนื่องไปอีก อยู่ท่ามกลางความเงียบกับการงานที่งอกงามขึ้นเรื่อยๆ ความคาดหวังที่ว่าก็จะหายไปด้วยเช่นกัน เหลือเพียงความเพลินใจที่ได้จดจ่ออยู่กับงานที่ทำ ปล่อยวางว่าภาพสุดท้ายจะต้องออกมาเป็นอย่างไร ใครคิดเห็นเช่นไร เพราะสุขใจที่ได้ปล่อยความคิดความรู้สึกที่มีอยู่ในตัวให้ไหลออกมาผ่านผลงาน
3
ในสภาวะนั้นเรารู้สึกเบา
เหมือนผลงานนั้นไหลผ่านตัวเราไปอย่างเป็นธรรมชาติ ปราศจากกลัวกังวลใดๆ เพียงทำแบบที่ทำได้ เป็นในแบบที่เราเป็น
1
ผมเองก็เริ่มต้นการเขียนงานชิ้นนี้จากความรู้สึกเกร็งว่าจะเปิดประโยคแรกว่าอะไร จะเขียนได้ดีไหม คนอ่านจะชอบหรือเปล่า แต่แล้วพอเขียนไปเรื่อยๆ สายตาที่จับจ้องก็ค่อยๆ หายไปดังจอห์น เคจว่าไว้ มาถึงบรรทัดนี้ก็พบว่าใจเบา หันไปมองภาพวาดที่ตัวเองขีดเขียนขึ้นด้วยตัวหนังสือพบว่าไม่ได้สวยสมบูรณ์แบบ แต่มันก็บันทึกช่วงเวลาหนึ่งที่สดใหม่เก็บไว้
เขียนในแบบที่เราเป็น เขียนเท่าที่เราเขียนได้ โดยไม่ต้องเปรียบเทียบกับใคร หรือตอบความคาดหวังของสายตามากมายที่มองมา ผมอดคิดไม่ได้ว่าในชีวิตอันยืดยาวเราจำเป็นต้องมีห้วงเวลาเช่นนี้ไว้บ้าง ช่วงเวลาที่เราได้อยู่ตามลำพังแล้วปล่อยวางความคาดหวังต่างๆ ลง ทั้งของคนอื่นและตัวเอง
อยู่คนเดียวกับความเงียบสงบ, ไม่ถูกตัดสิน, ไม่ตัดสินตัวเอง
2
เพียงอยู่ตรงนั้น ปล่อยให้ตัวเองเป็นในแบบที่อยากเป็น ขี้เกียจ อ้อยอิ่ง นั่งนอนโง่ๆ ใส่เสื้อยืดย้วยๆ กางเกงยางยืดหลวมๆ ร้องเพลงเพี้ยนๆ วาดรูปเบี้ยวๆ หรือเขียนข้อความที่คนอื่นอ่านแล้วสงสัยว่าเขียนอะไรของมันวะ
1
ไม่เป็นไรเลย เพราะนั่นคือพื้นที่สำคัญของชีวิต
2
พื้นที่ที่เราได้เป็นตัวเองอย่างแท้จริง
ในพื้นที่นั้น ตัวตนที่คาดหวังกับตัวเองจะหายไป ตัวตนที่คนอื่นคาดหวังกับเราจะหายไป และ...ถ้าโชคดี...‘ตัวตน’ ที่เอาแต่คิดถึงตัวเองก็อาจจะหายไปด้วย
1
เป็นความสุขจากการไม่ถูกจ้องมอง
1
เป็นความสุขจากการไม่จับผิดตัวเอง
เพียงอยู่ตรงนั้น
1
และปล่อยให้ตัวเองเป็น...เช่นที่เป็น
1

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา