2 ก.ค. 2021 เวลา 03:52 • หุ้น & เศรษฐกิจ
พลิกปูม ‘วิกฤตต้มยำกุ้ง’ มรสุมเศรษฐกิจลูกใหญ่ที่เกิดจากเป้าหมายอันใหญ่ยิ่ง เราลืมบทเรียนนี้ไปหรือยัง
กริ๊งงง!!
เสียงโทรศัพท์ตามบ้านของบรรดา ‘นายแบงก์’ ที่เป็นผู้บริหารระดับสูงดังขึ้นในเวลาราวตี 5 ของวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 แน่นอนว่าคงไม่ใช่เรื่องปกตินักที่จะมีใครโทรเข้ามา ‘ปลุก’ ให้ตื่นจากภวังค์ในช่วงเวลาเช้ามืดแบบนี้
ต้นสายที่โทรมาคือเจ้าหน้าที่ระดับสูงของธนาคารแห่งประเทศไทย ยิ่งตอกย้ำว่า เรื่องที่จะหารือต้องไม่ใช่เรื่องธรรมดาทั่วไปอย่างแน่นอน
ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนั้น ผู้บริหารระดับสูงของสถาบันการเงินต่างมารวมกันที่ ‘เรือนแพ’ อาคารไม้ที่ยื่นออกไปในแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งตั้งอยู่บริเวณด้านในสุดของแบงก์ชาติ
เช้าวันนั้นผู้บริหารระดับสูงของธนาคารแห่งประเทศไทยบอกกับผู้เข้าร่วมประชุมว่า หลังจากนี้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะใช้นโยบายอัตราแลกเปลี่ยนแบบ ‘ลอยตัวค่าเงิน’
ทันทีที่ผู้บริหารแบงก์ชาติพูดจบ ทุกคนต่างงงงวยว่าคืออะไร ซึ่งความจริงแล้วก่อนที่จะถูกเรียกมาประชุมอย่างเร่งด่วน หลายคนคาดการณ์ไว้บ้างแล้วว่า ไม่ช้าก็เร็ว ธปท. จะต้องประกาศ ‘ลดค่าเงินบาท’ อย่างแน่นอน แต่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเป็นการลอยตัวค่าเงินแทน
คำประกาศของ ธปท. ในวันนั้นไม่ต่างจากการ ‘ชักธงขาว’ ยอมแพ้ในศึกโจมตีค่าเงินบาทที่กินเวลาต่อเนื่องมานานหลายเดือน และยังนับเป็นวันที่ประเทศไทย ‘เริ่มต้น’ เข้าสู่วิกฤตเศรษฐกิจอย่างเป็นทางการ ซึ่งผู้คนทั่วโลกต่างรู้จักกันดีในนาม ‘วิกฤตต้มยำกุ้ง’ เป็นวิกฤตเศรษฐกิจครั้งร้ายแรงสุดในภูมิภาคเอเชียที่มีจุดเริ่มต้นจากประเทศไทย โดยน้ำมือของมนุษย์
2
THE STANDARD WEALTH พาย้อนไปดู ‘จุดเริ่มต้น’ ของมหาวิกฤตในครั้งนั้น ซึ่งถือเป็น ‘บทเรียน’ สำคัญของประเทศไทยมาจนถึงทุกวันนี้ โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF ระบุไว้ว่า วิกฤตคราวนั้นนับเป็นวิกฤตซ้อนวิกฤต หรือเป็นวิกฤตที่เกิดจากทั้งปัญหาด้านอัตราแลกเปลี่ยนและปัญหาระบบสถาบันการเงินในเวลาเดียวกัน สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจสูงราว 49% ของ GDP
‘เป้าหมายอันยิ่งใหญ่’ จุดเริ่มต้นการสะสมความเสี่ยงสู่วิกฤต
จุดเริ่มต้นของวิกฤตครั้งนั้นเกิดจาก ‘เป้าหมายอันยิ่งใหญ่’ ซึ่งเราต้องการขึ้นเป็น ‘ศูนย์กลางทางการเงิน’ ในภูมิภาคอินโดจีน แต่ขาดความพร้อมและความรอบคอบในเชิงปฏิบัติ โดยในวันที่ 21 พฤษภาคม 2533 เป็นวันแรกที่ประเทศไทย ‘เปิดเสรีการเงิน’ ด้วยการผ่อนคลายการควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน โดยยอมรับพันธะข้อ 8 ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ซึ่งเท่ากับเป็นการประกาศว่า ไทยจะเปิดให้มีการชำระค่าสินค้าบริการระหว่างประเทศได้อย่างเสรี
หลังจากนั้นอีก 3 ปี คือในเดือนมีนาคม 2536 ธปท. ได้อนุญาตให้สถาบันการเงินดำเนินกิจการวิเทศธนกิจ (BIBF) ซึ่งเป็นบริการที่เปิดให้สถาบันการเงินสามารถรับฝากเงินหรือกู้ยืมเงินจากต่างประเทศ แล้วนำมาปล่อยสินเชื่อในประเทศไทยได้
ช่วงเวลานั้นเศรษฐกิจไทยยังเติบโตดีมาก ทำให้ดอกเบี้ยในประเทศสูง ขณะที่อัตราดอกเบี้ยต่างประเทศค่อนข้างต่ำ จึงเกิดการเคลื่อนย้ายของเงินทุนล็อตใหญ่ ทั้งจากผู้ประกอบการที่กู้ยืมเงินจากต่างประเทศ และนักลงทุนต่างชาติที่นำเงินเข้ามาลงทุนในประเทศไทย
ไม่มีใครรู้ว่าเศรษฐกิจไทยที่ขยายตัวดีในช่วงเวลานั้นเป็นเพียงตัวเลขการเติบโตที่ฉาบฉวย แต่ไส้ในเต็มไปด้วยความเปราะบาง เพราะเมื่อการเข้าถึงแหล่งเงินทุนทำได้ง่ายดายขึ้นจากการกู้ยืมในต่างประเทศที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าในประเทศค่อนข้างมาก จึงทำให้ตัวเลขการกู้ยืมเงินพุ่งสูงขึ้น โดยในปี 2538 เป็นปีที่เงินทุนไหลเข้าประเทศไทยสูงถึง 2.08 หมื่นล้านดอลลาร์ หากเทียบแบบให้เห็นภาพ คือสูงกว่าตอนปี 2535 ถึง 2 เท่าตัว
ในขณะเดียวกัน ฝั่งสถาบันการเงินซึ่งทำหน้าที่ในการปล่อยสินเชื่อ ก็ไม่ได้ดูแลความเข้มงวดของการให้สินเชื่ออย่างเพียงพอ เงินที่กู้ยืมไปส่วนใหญ่ถูกนำไปใช้ในโครงการลงทุนที่ไม่มีศักยภาพ ไม่สามารถสร้างรีเทิร์นให้กลับมาได้ในอนาคต
โดยเงินส่วนใหญ่ถูกนำไปใช้กับการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ จนทำให้ภาคอสังหาริมทรัพย์เข้าสู่ภาวะ ‘ฟองสบู่’ อย่างเต็มตัว ที่สำคัญการกู้ยืมเหล่านี้ส่วนใหญ่ยังเป็นการใช้แหล่งเงินกู้ ‘ระยะสั้น’ แต่นำมาลงทุนในโครงการ ‘ระยะยาว’ นี่จึงเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้วิกฤตในคราวนั้นทวีความรุนแรงมากขึ้น
การกู้ยืมเงินจากต่างประเทศในระยะสั้นโดยไม่คำนึงถึงความเสี่ยงที่จะตามมาในระยะข้างหน้า ทำให้ในปี 2537 หนี้ระยะสั้นของไทยที่อยู่ในรูปเงินตราต่างประเทศเริ่มสูงกว่าเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ และที่สำคัญผู้ที่กู้ยืมเงินจากต่างประเทศ ไม่มีใครคาดคิดว่าจะมีความเสี่ยงเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนเข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะช่วงเวลานั้นประเทศไทยยังใช้นโยบายอัตราแลกเปลี่ยนแบบ ‘คงที่’ นักลงทุนส่วนใหญ่จึงมองข้ามค่าเสี่ยงของค่าเงินไปโดยปริยาย
1
Impossible Trinity หลักนโยบายการเงินที่ไทยมองข้ามความเสี่ยง
ความจริงแล้วการเปิดเสรีการเงิน โดยปล่อยให้เงินไหลเข้าออกประเทศได้อย่างเสรี ควรต้องยอมให้อัตราแลกเปลี่ยนมีความยืดหยุ่นมากขึ้น ไม่ควรใช้นโยบายอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่ เพราะขัดกับหลักการ Impossible Trinity หรือ ทฤษฎีสามเหลี่ยมที่เป็นไปไม่ได้
อธิบายง่ายๆ คือ นโยบายการเงินไม่สามารถที่จะทำ ‘3 ด้าน’ พร้อมกันได้ ประกอบด้วย
1. การเปิดเสรีการเงิน โดยปล่อยให้เงินทุนเคลื่อนย้ายไหลเข้าออกประเทศได้อย่างเสรี
2. การใช้ดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อควบคุมเงินเฟ้อหรือความร้อนแรงของเศรษฐกิจในประเทศ
3. การใช้นโยบายอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ (ยึดติดกับสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ)
สาเหตุที่ไม่สามารถทำเช่นที่ว่านี้ได้ เพราะเมื่อนักลงทุนเห็นว่าดอกเบี้ยในประเทศไทยสูงและรู้ว่า ธปท. จะตรึงอัตราแลกเปลี่ยนเอาไว้ที่เดิม โดยไม่ปล่อยให้ค่าเงินบาทเคลื่อนไหว ‘แข็งค่า’ หรือ ‘อ่อนค่า’ ตามกลไกตลาด นักลงทุนก็จะกู้เงินต่างประเทศที่มีดอกเบี้ยต่ำกว่าเข้ามา ‘กินส่วนต่าง’ ดอกเบี้ยที่สูงกว่าในประเทศ เท่ากับว่าจะได้กำไรจากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยโดยที่ไม่มีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเลย
1
ต้องบอกว่าประเทศไทยในช่วงเวลานั้นทำนโยบายการเงินทั้ง 3 ด้านพร้อมกัน ซึ่งก็มีคำเตือนจาก IMF ขอให้ระมัดระวังในเรื่องนี้ แต่ดูเหมือนว่าผู้บริหารระดับสูงของ ธปท. ในช่วงเวลานั้นไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นลำดับต้นๆ ทำให้ไทยตกเป็นเป้าการ ‘โจมตีค่าเงิน’ ในเวลาต่อมา
สาเหตุที่ทางการไทยละเลยที่จะดูแลในเรื่องนี้ ส่วนหนึ่งเพราะกังวลว่าหากปล่อยให้ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวตามกลไกตลาดมากขึ้น จะทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นได้ เพราะเวลานั้นมีเงินทุนไหลเข้ามาในประเทศจำนวนมาก ไม่เป็นผลดีต่อภาคการส่งออกไทยซึ่งถือเป็นหนึ่งในเครื่องยนต์หลักที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ณ ช่วงเวลานั้น
อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลานั้นต้องบอกว่า ธปท. พอจะเล็งเห็นถึงปัญหาที่อาจตามมาในระยะข้างหน้าอยู่บ้าง จึงได้ออกมาตรการดูแลกิจการ BIBF ด้วยการกำหนดวงเงินขั้นต่ำสำหรับการกู้ยืมจากกิจการ BIBF ในอัตราสูงสุด 5 แสนดอลลาร์ต่อครั้ง และคงไว้ซึ่งภาระภาษีหัก ณ ที่จ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ต่างประเทศที่กู้โดยคนไทย
แต่กฎเกณฑ์ดังกล่าวไม่สามารถหยุดยั้งความนิยมที่มีต่อบริการของ BIBF ได้ ทำให้ ธปท. ต้องนำมาตรการอื่นๆ มาใช้ควบคู่กัน แต่ก็ยังเป็นมาตรการที่อ่อนและการแอ็กชันถือว่าช้าเกินไปเมื่อเทียบกับปัญหาต่างๆ ที่กำลังก่อตัวขึ้น
1
กระทั่งในปี 2539 ปัญหาการลงทุนที่ไร้ประสิทธิภาพเริ่มแสดงตัวให้เห็นเด่นชัดขึ้น เพียงแต่ยังไม่เป็นที่ประจักษ์มากนัก เพราะถูกกลบด้วยตัวเลขการเติบโตของ GDP ซึ่งอย่างที่กล่าวในข้างต้นว่า การเติบโตของ GDP เป็นการเติบโตที่ฉาบฉวย เกิดจากการนำเงินกู้เข้ามาลงทุนในโครงการที่มีประสิทธิภาพต่ำ ‘ฟองสบู่’ จึงค่อยๆ ก่อตัวใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
1
อาคารสาธร ยูนีค ตึกระฟ้าสูง 185 เมตร ตั้งอยู่ในพื้นที่เขตสาธร ถือเป็นหนึ่งในร่องรอยความเสียหายที่เกิดจากวิกฤตเศรษฐกิจไทยปี 2540 ซึ่งปัจจุบันยังคงเป็นตึกร้างตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางกรุง จนกลายเป็นอนุสรณ์สถานของวิกฤตเศรษฐกิจในคราวนั้น รูปโดย: ฐานิส สุดโต
วิกฤตเริ่มฉายภาพให้เห็น เมื่อตอผุดหลังน้ำลด
ในที่สุดเศรษฐกิจที่เติบโตแบบเปราะบางเริ่มเดินมาถึงจุดสิ้นสุด ปัญหาที่เคยถูกซ่อนไว้ค่อยๆ แสดงออกมาให้เห็น โดยเฉพาะปัญหาในระบบสถาบันการเงิน ซึ่งเวลานั้น ธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การ หรือ BBC เป็นหนึ่งในปัญหาที่กวนใจ ธปท. อย่างมาก
ด้วยความที่ผู้บริหาร BBC ปล่อยสินเชื่อหละหลวม ทั้งยังพบการทุจริตกันภายใน ทำให้ ธปท. ต้องเข้าไปดูแลด้วยการสั่งเพิ่มทุนหลายครั้ง ขณะเดียวกันยังสั่งให้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (กองทุนฟื้นฟูฯ) ใส่เงินเข้าไปช่วยเหลือ เพื่อเติมสภาพคล่องให้กับ BBC โดยหวังจะให้ธนาคารพาณิชย์แห่งนี้อยู่รอดต่อไปได้
แม้ว่า ธปท. จะให้การช่วยเหลืออย่างเต็มที่ แต่ความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อ BBC ไม่ได้ดีขึ้นเลย ผู้คนเริ่มพากันมาไถ่ถอนเงิน เกิดภาวะ Bank Run ส่งผลให้ในวันที่ 17 พฤษภาคม 2539 กระทรวงการคลังต้องสั่งควบคุมการดำเนินงานของ BBC
1
ความเชื่อมั่นต่อระบบสถาบันการเงินที่ลดลง เริ่มลามไปยังสถาบันการเงินอื่นๆ โดยเฉพาะในส่วนของกลุ่มบริษัทเงินทุน (บง.) ซึ่งในเดือนสิงหาคม 2539 กองทุนฟื้นฟูฯ เริ่มเข้าไปช่วย บง. เป็นครั้งแรก ได้แก่ บง.ไทยฟูจิ ซึ่งก็เป็นบริษัทในเครือของ BBC และหลังจากนั้น ก็มี บง. อื่นๆ อีกจำนวนมากมาขอรับการช่วยเหลือจากกองทุนฟื้นฟูฯ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในเวลานั้นจากที่เคยเฟื่องฟูสุดขีดเริ่มตกต่ำลงอย่างรวดเร็ว ความเปราะบางทางเศรษฐกิจค่อยๆ แสดงออกมาให้เห็นเด่นชัดมากขึ้น ทำให้ ‘มูดี้ส์’ บริษัทจัดอันดับเครดิตเรตติ้งชื่อดังของโลกต้องปรับลดเรตติ้งที่มีต่อตราสารหนี้ระยะสั้นของไทยลงในวันที่ 3 กันยายน 2539 นำไปสู่ความเชื่อมั่นของผู้ลงทุนต่างชาติที่ลดลงตามไปด้วย เงินทุนต่างชาติในเวลานั้นเริ่มไหลออกอย่างชัดเจน
สงครามค่าเงินครั้งประวัติศาสตร์
เมื่อความเปราะบางทางเศรษฐกิจแสดงตัวให้เห็นเด่นชัดมากขึ้น เงินทุนที่เคยไหลเข้าจำนวนมาก ก็เริ่มไหลออกมากขึ้นตามไปด้วย ประกอบกับช่วงเวลานั้น ไทยมียอดขาดดุลบัญชีเดินสะพัดที่สูงมาก แต่ค่าเงินบาทยังย่ำอยู่กับที่เพราะ ธปท. ตรึงไว้ไม่ให้ขยับไปไหน ทั้งที่เงินบาทในเวลานั้นควรต้องอ่อนค่าลง ประเด็นนี้จึงทำให้ไทยตกเป็น ‘เป้าหมาย’ ของบรรดาเฮดจ์ฟันด์ที่จ้องหาโอกาสการทำกำไรจากส่วนต่างของอัตราแลกเปลี่ยน
ในเวลานั้นกองทุนเฮดจ์ฟันด์ยักษ์ใหญ่ที่บริหารโดย ‘จอร์จ โซรอส’ เริ่มมองเห็นโอกาสว่า หากเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ หนีไม่พ้นที่ไทยจะต้อง ‘ลดค่าเงิน’ ดังนั้นโซรอสจึงเริ่มเข้ามา ‘ชอร์ตเงินบาท’ เพราะเชื่อว่า ไม่ช้าก็เร็ว ธปท. ต้องปรับค่าเงินให้อ่อนลง ซึ่งจะสร้างกำไรให้กับเฮดจ์ฟันด์ของเขาได้อย่างมหาศาล การโจมตีค่าเงินบาทระลอกแรกจึงเริ่มขึ้น
(* ชอร์ตเงินบาท คือการกู้ยืมเงินบาทออกมาขายในตลาด เพื่อหวังว่าในอนาคตหากเงินบาทอ่อนค่าลง ผู้ขายชอร์ตเงินบาทจะใช้เงินดอลลาร์ที่น้อยลงในการซื้อเงินบาทกลับไปคืนผู้ให้กู้ ซึ่งก็จะทำให้ได้ส่วนต่างจากค่าเงินไปโดยปริยาย)
ศึกค่าเงินบาทในปลายปี 2539 ยังเป็นเพียงศึกย่อมๆ ไม่รุนแรงนัก โดยสัญญาณของการโจมตีที่ชัดเจนเริ่มมีให้เห็นตั้งแต่เดือนมกราคม 2540 และหลังจากนั้นเป็นต้นมา ไทยก็ถูกโจมตีค่าเงินเป็นระยะ
โดยศึกที่หนักหน่วงรุนแรงสุดเกิดขึ้นในช่วงกลางเดือนพฤษภาคม 2540 ศึกครั้งนั้นมองผิวเผินเหมือน ธปท. เป็นฝ่ายชนะ เพราะทำให้บรรดาเฮดจ์ฟันด์ล่าถอยออกไป แต่ท้ายที่สุด ธปท. ก็ไม่สามารถปกป้องค่าเงินเอาไว้ได้อยู่ดี เพราะถึงแม้จะชนะศึก แต่กระสุนที่ต้องใช้ในการทำสงครามครั้งถัดไปแทบไม่เหลือเลย โดยกระสุนที่ว่านี้คือ ‘เงินดอลลาร์’ ที่อยู่ในรูปเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ ซึ่ง ณ เวลานั้นเรียกว่าแทบจะหมดหน้าตักแล้ว
ธปท. ยกธงขาวประกาศลอยตัวค่าเงินบาท
หลังจบศึกใหญ่ช่วงกลางเดือนพฤษภาคม 2540 สถานการณ์ค่าเงินบาทเหมือนจะดูดีขึ้น เพราะเหล่าเฮดจ์ฟันด์เริ่มล่าถอยไป แต่แล้วสถานการณ์ทุกอย่างก็เริ่มกลับมาแย่ลงอีกครั้งในช่วงกลางเดือนมิถุนายน โดยเฉพาะหลังจากที่ ‘อำนวย วีรวรรณ’ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในขณะนั้น ได้ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่ง ทำให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนดำดิ่งลง
ช่วงเวลานั้นเงินที่ไหลออกไม่ได้เกิดจากการโจมตีค่าเงิน แต่เกิดจากการที่คนในประเทศขาดความเชื่อมั่นที่มีต่อเงินบาท พากันไปแลกเงินดอลลาร์ ส่งผลให้ ธปท. ซึ่งแทบไม่เหลือกระสุนในการดูแลค่าเงินจำใจต้องยอมปรับนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนใหม่
ด้วยเหตุนี้ทำให้ในวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 หรือวันนี้เมื่อ 24 ปีที่แล้ว ธปท. ต้องตัดสินใจ ‘ลอยตัวค่าเงิน’ แทนที่จะเป็นการ ‘ลดค่าเงิน’ เพราะต่อให้ใช้วิธีการลดค่าเงิน ธปท. ก็ไม่เหลือกระสุนเพียงพอที่จะปกป้องให้ค่าเงินบาทอยู่ในกรอบที่กำหนดเอาไว้ได้ เนื่องจากในวันนั้น ธปท. เหลือเงินทุนสำรองระหว่างประเทศเพียงแค่ 2.8 พันล้านดอลลาร์เท่านั้น
หลังการประกาศลอยตัวค่าเงินบาทในครั้งนั้น ทำให้เงินบาททยอยอ่อนค่าลงต่อเนื่อง จากระดับ 25 บาทต่อดอลลาร์ ไปทำสถิติอ่อนค่าสุดเป็นประวัติการณ์ที่ระดับ 56.50 บาทต่อดอลลาร์ ณ วันที่ 12 มกราคม 2541
แน่นอนว่าการอ่อนค่าของเงินบาทแบบ ‘เท่าตัว’ ย่อมทำให้ผู้ที่กู้ยืมเงินจากต่างประเทศมีภาระหนี้เพิ่มขึ้นแบบเท่าตัวตามไปด้วย จุดนี้เองที่ทำให้หลายกิจการในเวลานั้นต้องล้มละลาย ปิดตัวลง แม้จะมีพื้นฐานทางธุรกิจที่ดีก็ตาม แต่เพราะไม่มีใครคาดคิดว่า ‘อัตราแลกเปลี่ยน’ จะกลายเป็นความเสี่ยงใหญ่ในเวลาต่อมา จึงไม่มีใครทำประกันความเสี่ยงเอาไว้
ผู้บริหารธนาคารแห่งประเทศไทย แถลงข่าวการเข้าโปรแกรมการกู้ยืมเงินจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF)​ รวมกว่า 1.7 หมื่นล้านดอลลาร์ เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2540 อ้างอิง: หอจดหมายเหตุธนาคารแห่งประเทศไทย
หลังการลอยตัวค่าเงินบาท ได้นำไปสู่การปิดกิจการของสถาบันการเงินราว 56 แห่ง และทำให้ประเทศไทยต้องเข้าโปรแกรมกู้ยืมเงินจาก IMF กว่า 1.7 หมื่นล้านดอลลาร์
บทเรียนในคราวนั้นฝังใจคน ธปท. จนถึงทุกวันนี้ จะเห็นว่าช่วงหลังวิกฤตต้มยำกุ้งเป็นต้นมา ธปท. ให้ความสำคัญกับคำว่า ‘เสถียรภาพระบบการเงิน’ ค่อนข้างมาก สิ่งหนึ่งที่สะท้อนได้อย่างดีคือการกำกับดูแลสถาบันการเงินที่เข้มงวด ดูได้จากระดับเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงของธนาคารพาณิชย์ที่สูงเกินเกณฑ์ขั้นต่ำอย่างมาก
รวมไปถึงระดับเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ ซึ่งในวันนี้ไทยถือเป็น 1 ใน 12 ประเทศที่มีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศสูงสุดของโลก สูงจนกระทั่งนักเศรษฐศาสตร์หลายคนเริ่มตั้งคำถามว่าเป็นระดับที่สูงเกินความจำเป็นหรือไม่ แต่ ธปท. ยังคงสะสมเงินทุนฯ ส่วนนี้เพื่อไว้ดูแลเสถียรภาพของระบบอัตราแลกเปลี่ยน
หลังวิกฤตต้มยำกุ้งเป็นต้นมา แม้เสถียรภาพระบบการเงินของไทยจะดีขึ้นต่อเนื่อง แต่เป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายไม่ควรประมาท เพราะหลายครั้ง ‘วิกฤต’ มักมาในรูปแบบที่เราไม่ทันคาดคิด เช่น วิกฤตที่เกิดจากโรคระบาดที่เรากำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน ดังนั้นการให้ความสำคัญกับการรักษาเสถียรภาพระบบการเงินจึงเป็นเรื่องสำคัญ เพื่อเป็นเกราะป้องกันภัยจากวิกฤตที่ไม่รู้ว่าอนาคตจะมาในรูปแบบใด
เรื่อง: ศรัณย์ กิจวศิน
อ้างอิง:
- รายงานผลการวิเคราะห์และวินิจฉัยข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสถานการณ์วิกฤตทางเศรษฐกิจ จัดทำขึ้นโดยคณะกรรมการศึกษาและเสนอแนะมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการระบบการเงินของประเทศ (ศปร.)
- หนังสือ 72 ปี ธนาคารแห่งประเทศไทย
- หนังสือ การเดินทางแห่งชีวิต 30 ปี ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
- หนังสือ 15 ปี วิกฤตเศรษฐกิจ 2540: ประเทศไทยอยู่ตรงไหน
โฆษณา