3 ก.ค. 2021 เวลา 22:00 • ปรัชญา
“พระพุทธเจ้าทรงสอนว่าการไม่คบคนพาลเป็นมงคลอย่างยิ่ง”
1
ธรรมะรุ่งอรุณ ☀️
๔ กรกฏาคม ๒๕๖๔
เพราะฉะนั้นถ้ารู้ว่าคนใดเป็นคนพาลแล้ว ถ้ายังจำเป็นจะต้องคบค้าสมาคมกับเขา ก็ต้องขีดเส้นไว้ คือคบได้ รู้จักกันได้ คุยกันได้ แต่เมื่อถึงเวลาที่เขาชวนไปทำในสิ่งที่ไม่ดี เราต้องหยุด ต้องบอกเขาว่า ทำไม่ได้ ไปไม่ได้ ถ้าเขาจะไม่คบกับเรา ก็ไม่ต้องไปเสียดาย ไม่ต้องไปเสียใจ เพราะคบกับคนพาลคบกับคนชั่วก็เหมือนคบกับอสรพิษนั่นเอง ไม่ช้าก็เร็วก็จะต้องถูกอสรพิษกัด เพราะเมื่อไปทำตามสิ่งที่เขาทำ ไม่ช้าก็เร็วการกระทำเหล่านั้นก็จะนำมาซึ่งความเสื่อมเสียความหายนะให้กับเรา
เราจึงต้องเลือกคบคน คบคนดีอย่าไปคบคนไม่ดี คนดีหรือคนไม่ดีไม่ได้อยู่ที่ว่ารวยหรือไม่รวย มีตำแหน่งสูงหรือไม่สูง มีคนยกย่องสรรเสริญมากน้อยเพียงไรหรือไม่ เพราะในสมัยนี้มีคนอยู่ ๒ ฝ่ายด้วยกัน คนที่ไม่ดีกับคนที่ดี คนที่ไม่ดีก็ยกย่องสรรเสริญคนที่ไม่ดีด้วยกัน เพราะมีความรู้สึกนึกคิดไปในทำนองเดียวกัน แต่คนดีจะไม่ยกย่องสรรเสริญคนไม่ดี อย่างพระพุทธเจ้าไม่ทรงยกย่องสรรเสริญคนไม่ดี แต่ทรงตำหนิ ทรงประณามอยู่เสมอ
ดังนั้น เราอย่าไปดูที่ฐานะเงินทอง ตำแหน่ง เพราะคนร่ำรวยก็อาจรวยมาได้จากความไม่ดี รวยมาจากการกระทำผิด คือโกงเขามา ปล้นเขามา หลอกลวงเขามา ก็เป็นคนรวยได้ มีตำแหน่งสูงๆได้ก็เช่นเดียวกัน ไม่จำเป็นว่าจะต้องรวยด้วยความสุจริต หรือมีตำแหน่งสูงขึ้นมาด้วยความสุจริต
เรื่องร่ำรวยเรื่องมีตำแหน่ง จึงไม่ใช่เครื่องวัดความดีของคนหรือความชั่วของคน  ความดีชั่วของคนต้องวัดด้วยพฤติกรรม คือการกระทำของคนๆนั้น ว่าเขามีพฤติกรรมอย่างไร ถ้าเขายังเกี่ยวพันกับอบายมุขทั้งหลาย ทำผิดศีลผิดธรรม โกหกพูดปดมดเท็จ ประพฤติผิดประเวณี เสพสุรายาเมา ฉ้อโกง ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ถ้าเขากระทำในสิ่งเหล่านี้ ก็ให้ตัดสินใจได้เลยว่าเป็นคนไม่ดี ถึงแม้จะไม่ได้ติดคุกติดตะรางก็ตาม
แต่ตามหลักของพระพุทธศาสนานั้น ไม่จำเป็นว่าจะต้องรอให้ศาลตัดสินเสียก่อน ว่าผิดแล้ว ถูกจำคุกต้องโทษติดคุกติดตะรางแล้ว ทางพระพุทธศาสนาถืออยู่ที่การกระทำ ก็พอแล้ว จะถูกตำรวจจับหรือไม่ก็ไม่สำคัญ สำคัญว่าถ้ากระทำบาปทำกรรมแล้ว ก็ถือว่าเป็นคนไม่ดี เพราะคิดว่าถ้าเขาทำกับคนอื่นได้ ทำไมจะทำกับเราไม่ได้ ถ้าวันดีคืนดีเราไปทำอะไรผิดใจเขา ไปขัดใจเขา ทำให้เขาเกิดความไม่พอใจ ทำไมเขาจะทำร้ายเราไม่ได้ เขาต้องทำได้ เพราะคนแบบนี้จะไม่คิดถึงความรู้สึกของผู้อื่น แต่จะคำนึงถึงความรู้สึกของเขาเท่านั้น
จิตใจของเขาถ้าเปรียบเทียบ ก็เหมือนกับจิตใจของสัตว์เดรัจฉานนั่นเอง  สัตว์เดรัจฉานถึงแม้เราจะเลี้ยงดูเขาดีอย่างไร ถ้าวันไหนเผลอไปเหยียบหางเขาเข้า เขาก็จะแว้งกัดเราได้ เพราะเป็นสัญชาตญาณของสัตว์เดรัจฉาน ที่จะทำอะไรไปตามความรู้สึกนึกคิด ที่ปรากฏขึ้นมาภายในใจในขณะนั้น ถ้าโกรธก็จะโมโห จะด่า จะว่าทุบตีทันที ถ้าทำได้ แต่ถ้ามีอารมณ์ดี ก็จะยิ้มแย้มแจ่มใส พูดจาดี แต่เราไม่รู้ว่าเขาจะมีอารมณ์อย่างใดเมื่อใด เวลาอารมณ์ดีก็รอดตัวไป แต่ถ้าอารมณ์ร้ายขึ้นมา เราก็ต้องเจ็บตัว
ในทางตรงกันข้าม ถ้าเป็นคนดี เป็นมนุษย์  ซึ่งถือว่าเป็นคนดี มนุษย์จะมีศีล ๕ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับอบายมุขทั้งหลาย มีสติคอยดูแลอารมณ์ของตน ยามที่มีอารมณ์โกรธขึ้นมา ก็จะต้องระงับอารมณ์โกรธ จะไม่ระบายไปสู่บุคคลที่ตนเองมีความโกรธอยู่ เพราะนี่คือวิสัยของมนุษย์นั่นเอง มนุษย์จะรู้จักผิดถูกดีชั่ว รู้จักหักห้ามจิตใจ มีหิริโอตตัปปะ  มีความกลัวบาป มีความละอายในการกระทำบาป
คนเราจะน่ารักน่าเอ็นดู น่าชื่นชม ก็อยู่ที่การกระทำนั่นเอง ถ้าการกระทำเป็นการกระทำที่ไม่ดี เช่นกระทำบาปแล้ว คนๆนั้นต่อให้มีรูปร่างหน้าตาสวยงามขนาดไหน ใส่เสื้อผ้าอาภรณ์ราคาแพงๆขนาดไหน ก็ไม่มีความสวยงามหลงเหลืออยู่ภายในใจแล้ว เหลืออยู่แต่ความสวยงามที่ร่างกาย ซึ่งไม่ใช่เป็นความสวยงามที่แท้จริง  ร่างกายนี้สักวันหนึ่งก็ต้องแก่ชราลงไป หนังก็ต้องเหี่ยวย่น ผมก็ต้องขาวลงไป ทรวดทรงก็จะหมดไป อย่างนี้เป็นเรื่องปกติของร่างกาย
ถ้าคิดว่าความสวยงามอยู่ที่ร่างกาย ก็หลงผิด ไปผิดทาง จะไม่ได้ประโยชน์อะไรจากร่างกาย แต่ถ้ารู้ว่าความสวยงามของคนอยู่ที่จิตใจ จิตใจที่ดี ที่มีความเมตตากรุณา มุทิตา อุเบกขา นั่นแหละคือความสวยงามของคนเรา อยู่ที่ภายในใจ เพราะคนที่มีจิตใจที่ดีที่งามนั้น อยู่กับเขาก็จะมีแต่ความสุขใจ เพราะเขาจะไม่แสดงอาการอะไร ที่สร้างความรู้สึกไม่ดีให้กับเรานั่นเอง อยู่กับเขาที่ไหน เมื่อไร เวลาใด ก็จะมีแต่ความสุข เวลาที่ไม่ได้อยู่กับเขา ก็อดที่จะคิดถึงเขาไม่ได้ เพราะเขามีความสวยงามที่แท้จริงอยู่ในตัวของเขานั่นเอง
กำลังใจ ๑๑, กัณฑ์ที่ ๑๖๓
วันที่ ๑๖ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๖
#พระจุลนายก พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี
โฆษณา