12 ก.ค. 2021 เวลา 02:24 • นิยาย เรื่องสั้น
5.1. ผู้นำสหพันธ์การค้า
จงฮิว ผู้นำสหพันธ์หมาป่าเงิน - เตงงาย ศิษย์ขุนพลห้าพยัคฆ์ - จูกัดจิ๋น ผู้นำสหพันธ์มังกรซ่อน
ลกซุน กุนซือพยัคฆ์คะนองในชุดนักศึกษาหนุ่ม ยืนอยู่บนเรือโดยสารขนาดกลาง ย้อนเส้นทางแม่น้ำไต้กัง มาจนใกล้ถึงเมืองอ้วนเซีย เพื่อสืบหาเรื่องราวที่น่าสงสัยประการหนึ่ง ตามคำสั่งการของท่านเจ้าเมืองซุนกวน และเสนาบดีโลซก แห่งกังตั๋ง ผู้ที่สานต่อกิจการสหพันธ์การค้าพยัคฆ์หยกในลำดับถัดมา
แนวทางการทำการค้าดั้งเดิมของเจ้าพ่อเก่าเกียวชวน คือการสร้างอาณาจักรการค้าให้เชื่อมโยงไปทั่วทั้งแผ่นดิน และภูมิภาค วิสัยทัศน์ของเจ้าสัวจึงมุ่งเน้นสร้างความสามัคคีในหมู่พ่อค้าทั้งหลายให้ร่วมมือกันค้าขาย ไม่ยุ่งเกี่ยวยึดติดกับการเมือง ผลักดันให้เกิดการใช้จ่ายหมุนเวียนอย่างอิสระ นับเป็นเรื่องที่แปลกใหม่ในยุคสมัยโบราณ
แต่ด้วยบารมีของเจ้าสัวที่มีรากฐานหนักแน่นตั้งแต่สมัยอยู่ที่เมืองหลวง จนอพยพย้ายถิ่นมาถึงกังตั๋ง ก็ทำให้มีเครือข่ายสายสัมพันธ์เชื่อมโยงไปทั่วทั้งแผ่นดิน เจ้าสัวเกียวจึงได้รับการยกย่องให้เป็นเจ้าพ่อการค้าอย่างสมภาคภูมิมาเน่ินนานแล้ว แต่ในที่สุด อุทกภัยครั้งใหญ่ คลื่นมังกรสมุทรก็พรากชีวิตอันรุ่งโรจน์ของท่านไปก่อนวัยอันสมควร
ครั้งนั้น ซุนกวน จิวยี่ โลซก ลกซุน ปรึกษากันอย่างลับๆ หากตัวเลือกผู้สึบทอดเป็นซุนกวน ผู้นำตระกูลซุนซึ่งคุ้นเคยกับธุรกิจการค้าอยู่แล้ว และเป็นลูกศิษย์โดยตรงของเจ้าสัว ออกหน้าสวมตำแหน่ง แรงกระเพื่อมต่อต้านจากกลุ่มการค้าต่างๆ สมควรจะเบาบางกว่าผู้อื่น น่าจะยึดโยงความสัมพันธ์ของคนในวงการทั้งแผ่นดินได้อยู่
พลังเศรษฐกิจแดนใต้ในยามนั้น ก็มีน้ำหนักเท่ากับครึ่งหนึ่งของแผ่นดินเลยทีเดียว ไม่ว่าใครก็ยังต้องยอมเกรงใจหลายส่วน ที่ประชุมจึงให้ซุนกวนรับไปจัดการด้านนี้ โดยมีลกซุนเป็นตัวเสริม ส่วนเสนาบดีโลซกนั้น กลับพลิกบทบาทไปดูแลการทหารแทนขุนพลจิวยี่ที่แสร้งตาย จนเกิดเป็นกระแสร่ำลือถึง ลิปุดอุย นายวานิชการเมือง คนดังยุคชุนชิวขึ้นมา แต่คนทั้งสี่มีวาระซ่อนเร้น และต่างก็เชื่อมั่นซึ่งกันและกัน จึงไม่ถือสาแต่อย่างใด
ดินแดนกังตั๋งจึงกลายเป็นโลซก เสนาบดี ดูแลฝ่ายบู๊ พัฒนากองกำลัง ยุทโธปกรณ์ และคลังเสบียง โดยมี ลิบอง กำเหลง จิวท่าย พัวเจี้ยง เป็นผู้ช่วยสำคัญ เตียวเจียว ยังคงเป็นเสนาบดี ดูแลฝ่ายบุ๋น พัฒนาขุนนาง การศึกษา การเกษตรและความเจริญของบ้านเมือง โดยมี โกะหยง จูกัดกิ๋น เป็นผู้ช่วย ส่วนซุนกวนเอง กลับไปเน้นเรื่องเศรษฐกิจการค้า โดยมี ลกซุน เล่งทอง อดีตหนึ่งบุ๋นหนึ่งบู๊ของจิวยี่ เป็นผู้ช่วยหลัก กลายเป็นการบริหารแบบสามประสานเช่นเดิม
เมื่ออัจฉริยะการค้าขายอย่างซุนกวน มาร่วมมือกันกับทายาทมังกร นักประดิษฐ์ ลกซุน จึงปรับเปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า สร้างมิติการเชื่อมโยงธุรกิจ สืบทอดจากเจ้าสัวเกียวชวนไปตามเส้นทางต่างๆ ทั้งทางบก และทางเรือ ถึงกับก้าวพ้นเขตแดนที่มีปัญหาทางการเมือง เกิดโครงข่ายกิจการสำคัญมากมายที่ติดต่อกันได้อย่างอิสระ
หัวเมืองสำคัญทั้งหลาย ไม่ว่า ลกเอี๋ยง ฮัวโต๋ กิจิ๋ว เกงจิ๋ว เสเหลียง ฮันต๋ง เสฉวน ล้วนกลายเป็นจุดค้าขายสำคัญทางการค้า เชื่อมโยงออกไปจนถึงชนเผ่านอกด่านทางเหนือ และประเทศชายฝั่งทางใต้ รวมทั้งประเทศหมู่เกาะต่างๆในบริเวณใกล้เคียงด้วย
ที่จริง ดินแดนอื่นที่มีปัญหาการเมืองต่อกัน เช่น ฝ่ายรัฐบาลฮั่นของโจโฉ ฝ่ายเกงจิ๋วของเล่าปี่ หรือเล่าเปียวในอดีต ฝ่ายเสฉวนของเล่าเจี้ยง สามารถตั้งป้อมกีดกันการค้า ขัดขวางการติดต่อสื่อสารเหล่านี้ได้อยู่ หากแต่เล่าเปียว เล่าเจี้ยง ล้วนมีวิสัยทัศน์กว้างไกล ต่างก็ไม่เคยปิดกั้นเรื่องกิจการการค้ามาแต่ไหนแต่ไรแล้ว และเป็นจังหวะที่เกิดสัญญาพันธมิตรสามปี ระหว่าง โจโฉ กับ เล่าปี่ ซุนกวน ธุรกิจทั้งปวงจึงดำเนินกิจการได้อย่างต่อเนื่องเรื่อยมา
โดยเฉพาะเมื่อทายาทมังกร สุมาอี้ จูกัดเหลียง ลกซุน ล้วนแต่กุมตำแหน่งสำคัญในแต่ละก๊กอยู่ ทั้งสามจึงเห็นเป็นโอกาสที่จะใช้จังหวะดังกล่าว เปิดประตูการค้าที่เคยถูกตัดขาดบางส่วน ให้กลับมาเชื่อมโยงกันได้หมด เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจการค้าที่ซบเซาด้วยภัยสงครามมานาน และเมื่อสหพันธ์การค้าทั้งหลายเห็นถึงผลประโยชน์ที่จะได้รับ ฝ่ายการเมืองก็ไม่อาจสวนกระแสต่อต้านขึ้นมาได้แล้ว ด้วยอำนาจทางการเงินที่มีความสำคัญต่อฐานกำลังของตัวเองเช่นกัน
ดังนั้น กิจการที่ต้องมีการเคลื่อนย้ายจากเครือข่ายต่างๆ เช่น การค้าขาย การขนส่งสินค้า (เปาเปียว) การแลกเปลี่ยนตั๋วเงิน การติดต่อสื่อสาร จึงกลายเป็นกระแสเศรษฐกิจสำคัญ และสร้างรายได้ให้กับฝ่ายการเมืองได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ ชดเชยกับความสูญเสียที่เกิดขึ้นจากศึกสงครามระหว่างเมืองต่างๆที่ผ่านมาเนิ่นนานหลายปี
ฝั่งเหนือ มีสหพันธ์การค้าหมาป่าเงิน ที่มี สุมาอี้อยู่เบื้องหลัง ดำเนินการโดยเจ้าสัวจงกับเจ้าสัวเกียง คู่หูอัจฉริยะทางธุรกิจ แต่เมื่อเกิดศึกสองนางพญา ร่ำลือกันว่า เกียงกวง อดีตเจ้าพ่อวงการสีเทา ฉวยจังหวะสุญญากาศ ชิงทรยศหักหลัง ขนสมบัติหลบหนีไปทางเหนือ แต่พลาดท่าเสียที ถูกโจรร้ายสังหารตายทั้งตระกูล จึงคงเหลือเพียงจงฮิวเป็นใหญ่ ดูแลอาณาจักรการค้าด้านเหนือเพียงผู้เดียว
ฝั่งใต้ โครงข่ายริเริ่มของเจ้าสัวเกียวชวน ใช้ชื่อเรียกเป็น สหพันธ์การค้าพยัคฆ์หยก ด้วยบารมีของเจ้าสัวเกียวเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว จึงมีความแข็งแกร่งหนักแน่น ทัดเทียมฟากฝั่งทางเหนือได้ไม่ยาก แต่บัดนี้ เปลี่ยนมือมาเป็นการดำเนินงานโดยซุนกวน และลกซุน เล่งทอง อย่างเปิดเผย ผลักดันกิจการให้เกิดการลงทุนใหม่ และพัฒนาบ้านเมืองขึ้นอย่างรวดเร็ว ชดเชยความสูญเสียในช่วงคลื่นสมุทรยักษ์ถล่มเมือง กลับตีตื้นขึ้นมาได้ดีขึ้นยิ่งกว่าช่วงรุ่งเรืองในอดีต
ส่วนรอยต่อจุดศูนย์กลางสำคัญแถบเกงจิ๋ว ยาวไปถึงเสฉวนนั้น จูกัดเหลียงไม่กล้าออกหน้าเปิดเผยเต็มตัว เพราะกริ่งเกรงเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน และบ้านเมืองเพิ่งผ่านการต่อสู้ชิงแผ่นดินกัน จึงผลักดันให้จูกัดจิ๋น น้องชาย ในฐานะหัวหน้าหมู่บ้านมังกรซ่อน ออกโรงจัดการแทนในนาม สหพันธ์การค้ามังกรซ่อน ใช้แนวทางโครงสร้างเช่นเดียวกันกับสหพันธ์การค้าทั้งสอง ครอบคลุมพื้นที่เศรษฐกิจเสฉวนมาตั้งแต่สมัยที่เล่าเจี้ยงยังครองเมืองอยู่
สหพันธ์การค้าทั้งสามเขตแดน ติดต่อสื่อสารกันด้วยภาษาการค้า คุ้มครองไปยังธุรกิจอื่นๆในพื้นที่ โดยเน้นย้ำ ไม่ยุ่งเกี่ยวการเมือง ทำให้เถ้าแก่พ่อค้ามากมายล้วนมาขอเข้าสังกัด ทำให้เครือข่ายใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ ราวกับประเทศราชที่ซ้อนทับกันในอีกมิติหนึ่ง
ล่าสุด ศักยภาพของสหพันธ์การค้าทั้งสามก้าวถึงขั้นแข็งแกร่งเกินบรรยาย ถึงกับสามารถผลักดันรื้อฟื้นเส้นทางการค้าทะเลทรายใหญ่ให้สามารถดำเนินการได้อีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่เคยต้องปิดประเทศยกเลิกเส้นทาง อันเนื่องมาจากปัญหาโรคระบาดรุนแรงตามประเทศเขตแดนต่างๆในฝั่งตะวันตกเมื่อหลายสิบปีก่อน
ผู้นำสหพันธ์อย่างจงฮิว จูกัดจิ๋น จะอย่างไรก็เป็นเพียงสามัญชนคนค้าขาย มิอาจต่อรองอำนาจการเมืองการทหาร จึงพร้อมใจยกย่องให้ซุนกวนแห่งสหพันธ์การค้าพยัคฆ์หยก ผู้มีอิทธิพลทั้งมิติการเมืองและการค้า ก้าวขึ้นเป็นหัวหน้าใหญ่ในวงการค้า ว่าไปแล้ว กลับยิ่งใหญ่รุ่งเรืองกว่าสมัยที่เจ้าสัวเกียวชวนพยายามจะสร้างอิทธิพลเอาไว้เสียอีกด้วยแรงหนุนส่งทางลับของทายาทมังกรทั้งสามคน สุมาอี้ ขงเบ้ง และ ลกซุน
หลายวันก่อน ลกซุนได้รับรายงานความเสียหายของการขนส่งสินค้าด้วยความสงสัยใจ เมื่อขบวนรถม้าบรรทุกสินค้านานาชนิดจากเมืองเสฉวน มุ่งสู่เมืองเกงจิ๋ว สามขบวน ที่มีตั้งแต่ข้าวสาร หนังสัตว์ ท่อนไม้ สมุนไพร และน้ำมันเชื้อเพลิง ล้วนเกิดเหตุปล้นชิงที่ปากแม่น้ำไต้กัง ใกล้เมืองอ้วนเซีย
ขบวนสินค้าทั้งหมดร่วมสามสิบรถม้า สมควรมีความอึกทึกวุ่นวายไม่น้อย กลับหายสาบสูญไปจนหมดสิ้น เหลือทิ้งไว้แต่ผู้คนอารักขาที่สลบไสล หมดสติด้วยการวางยาสลบ แต่ไม่มีผู้ใดเสียชีวิต เนื้อหารายละเอียดถึงกับเหมือนกันหมดทั้งสามครั้ง
ที่น่าแปลกใจ ก็คือ เจ้าของสินค้า ผู้ว่าจ้างขบวนสินค้าที่ประสพเหตุร้าย ล้วนเป็นบุคคลเดียวกัน ซึ่งแต่ก่อนไม่ปรากฏชื่อเสียงอันใด ทราบแต่ว่าชื่อ ตันเซ็ก เป็นทนายหน้าหอ คอยดูแลด้านการค้าขายให้กับรัชทายาทเล่าเจี้ยงที่ไม่สะดวกในการออกหน้าลงมือทำการค้าเอง มานานหลายปี ทำให้ประมาณการได้ว่า สินค้าควรมีน้ำหนักอยู่ไม่น้อย
เมื่อเล่าเจี้ยงสูญเสียอำนาจ โดนเตียวหยิมหักหลังที่นอกเมือง และต่อมา ยังโดนรุกรานจำกัดพื้นที่ ตันเซ็กก็เริ่มทะยอยส่งสินค้าดังกล่าวออกมาแล้ว จนนับรวมได้สามครั้ง และเมื่อสินค้าสูญหายไปมากมายเช่นนี้ ตัวตันเซ็กเองก็คล้ายหายสาบสูญไปจากโลกนี้ด้วยเช่นกัน ทำให้กลับกลายเป็นคดีสะท้านสะเทือนวงการการค้าไปแล้ว
ซุนกวน ผู้เป็นเจ้าสัวใหญ่ ดูแลกิจการขนส่งเส้นทางนี้ด้วย ย่อมต้องเดือดร้อนใจ กังวลค่าประกันสินค้ามูลค่ามหาศาลที่จะต้องชดเชยให้กับตันเซ็ก และอาจลุกลามให้เกิดเสื่อมเสียชื่อเสียง จนต้องรีบร้อนให้สืบสวนคดีดังกล่าว ถึงกับส่งลกซุนออกมาสำรวจที่เกิดเหตุ ร่วมกับเจ้าของพื้นที่สักรอบหนึ่ง
สัญญาณแสงสะท้อนวูบวาบ เกิดขึ้นที่เรือโดยสาร ซึ่งจอดนิ่งอยู่ที่ริมฝั่งใกล้ป่าไม้แถบหนึ่ง ลกซุนโบกมือให้บังคับเรือเข้าไปใกล้ เพื่อพบกับเจ้าของพื้นที่ เป็นจูกัดจิ๋น ผู้นำสหพันธ์การค้ามังกรซ่อน และประมุขหมู่บ้านมังกรซ่อน น้องชายสุดท้องของจูกัดเหลียงนั่นเองที่เป็นเจ้าของพื้นที่โดยตรง
ทั้งสองล้วนมีเบื้องหลังเป็นพวกทายาทมังกร จึงไม่มีอะไรปิดบังต่อกัน สามารถพูดคุยเรื่องราวกันได้อย่างเต็มที่ ลกซุนจึงวางใจ ลอยตัวข้ามไปยังเรือของฝ่ายตรงข้ามได้อย่างสนิทใจ
“พบเบาะแสอันใดหรือไม่ พี่จูกัด” ลกซุน กุนซือพยัคฆ์คะนอง ที่อ่อนอาวุโสกว่าเล็กน้อย เริ่มบทสนทนาขึ้นก่อน หลังจากทักทายกันตามธรรมเนียม
“เรายังไม่พบเห็นความผิดปกติอันใด หากแต่มีคนผู้หนึ่งรอคอยท่านอยู่ข้างในห้องโดยสาร” จูกัดจิ๋น ใบหน้าซีดขาว กล่าวอย่างไม่มั่นใจในสถานการณ์นัก
ทันใดนั้น ภายในลำเรือ ปรากฏร่างของเศรษฐีหนุ่มใหญ่ร่างผอมสูง เค้าหน้าเจ้าเล่ห์ก้าวพ้นหน้าประตูออกมา พร้อมเสียงหัวเราะเสียดหู เบื้องหลัง กำกับมาด้วยองครักษ์หนุ่มวัยเยาว์ รูปร่างสูงใหญ่ ท่าทางองอาจดุดันไม่ด้อยไปกว่าลิโป้ เคาทูในวัยหนุ่มฉกรรจ์
“ฮ่าฮ่าฮ่า ผู้นำสหพันธ์ทั้งสามแห่งต่างคนต่างทำงานร่วมกันมาเนิ่นนาน เพิ่งจะมีวันนี้ที่ได้พบหน้ากัน น่ายินดียิ่งนัก” มันหยุดหายใจเล็กน้อยก่อนค่อยกล่าวต่อ “ตัวเราคือ จงฮิว เป็นผู้นำสหพันธ์หมาป่าเงิน แทนท่านสุมาอี้ ขอแนะนำตัวแล้ว”
ปกติ สุมาอี้อยู่เบื้องหลังเงาร่างของเจ้าสัวจง เจ้าสัวเกียว สมควรที่จะไม่เคยเปิดเผยความสัมพันธ์มาโดยตลอด หากแต่คราครั้งนี้ จงใจแจ้งข่าวให้ผู้นำสหพันธ์ทั้งสอง จึงยินยอมให้บอกกล่าวได้อย่างเต็มที่ คล้ายดั่งมีพันธะลึกลับกันอยู่ก่อนหน้าแล้ว จงฮิวจึงกล้าพูดจาตรงๆเช่นนี้
ลกซุน เลิกคิ้วไต่ถามจูกัดจิ๋น หากแต่ฝ่ายตรงข้ามคล้ายหลบสายตาอยู่ จึงประสานมือคารวะตามมารยาท “ข้าน้อย ลกซุน มาเป็นตัวแทนท่านซุนกวน ผู้นำสหพันธ์การค้าพยัคฆ์หยก ยินดีที่ได้พบท่านเจ้าสัวจง”
“ไม่ต้องมากมารยาท ท่านสุมาสั่งการผ่านนกพิราบมาถึงตัวข้าที่กำลังเดินทางอยู่แถวนี้ ระบุให้มาพบท่านทั้งสองที่นี่ เพราะมีข้อมูลเบื้องลึกในคดีโจรกรรมสินค้าของตันเซ็กที่หายสาบสูญไปในบริเวณนี้ เชิญท่านผ่านตาเถิด” จงฮิวกล่าวพร้อมยื่นกระบอกไม้ไผ่เล็กๆที่ยังปิดผนึกอยู่ ส่งผ่านองครักษ์ร่างใหญ่ให้กับลกซุน
ลกซุนยื่นมือไปรับตามปกติ แต่องครักษ์หนุ่มกลับพลิกข้อมือ กึ่งหลบหลีก กึ่งจู่โจม คล้ายหยั่งเชิงวิทยายุทธ์ ลกซุนรู้เท่าทัน จึงเปลี่ยนเป็นคว้าจับชีพจรข้อมือของฝ่ายตรงข้าม สะกดความเคลื่อนไหวเอาไว้ด้วยมือเดียวเป็นการตอบโต้ ฝ่ายตรงข้ามยังแปรเปลี่ยนกระบวนท่า พัวพันดั่งอสรพิษใหญ่สองตัวต่อสู้กันไปมา จนสุดท้าย มือทั้งสองข้างหยุดนิ่ง ยันกันด้วยพลังแขน ต้านกันครู่ใหญ่
จงฮิวที่ยืนนิ่งสังเกตความเคลื่อนไหวอยู่ จึงโบกมือกล่าวห้าม “บังอาจนัก เตงงาย ส่งของให้ท่านลกซุนเถิด” แล้วจึงหันมากล่าวกับลกซุน “ขออภัยด้วย ท่านสุมาสั่งให้ลองทดสอบท่านสักเล็กน้อย เผื่อว่าศัตรูแอบปะปนมา อีกทั้ง ตัวข้าไม่เคยพบเห็นท่านทั้งสองมาก่อน จึงต้องให้องครักษ์ของข้าลองทำเช่นนี้”
ลกซุนหันมามองสบตาจูกัดผู้น้อง จูกัดจิ๋นพยักหน้าเล็กน้อย แสดงว่า มันก็โดนทดสอบเช่นนี้มาแล้วเช่นกัน แต่ผลลัพธ์อาจจะเป็นเรื่องที่ไม่น่าเอ่ยถึงนัก มิน่าเล่า เมื่อพบพาน ใบหน้าจูกัดผู้น้องจึงดูซีดเซียว ผิดสังเกต
“องครักษ์เตงงาย ฝีมือไม่เลว ต่อไป คงได้รับชื่อเสียงโด่งดัง” ลกซุนกล่าวชมเชยคนรุ่นใหม่ หยั่งท่าทีของฝ่ายตรงข้ามกลับไปบ้าง แต่เห็นเตงงายแย้มยิ้มวูบหนึ่ง แล้วจางหายไป แสดงว่า ยังพอเป็นคนเปิดเผย ไม่ถึงกับเย็นชาลึกซึ้ง จนสะกดความรู้สึกภายในใจได้ จึงลอบถอนใจโล่งอก
“ตัวมันนับว่าได้รับวาสนาที่ดี ขุนพลห้าพยัคฆ์ถึงกับรับไว้เป็นศิษย์คนแรกในสังกัด” จงฮิวอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถึงความสัมพันธ์ขององครักษ์​คนโปรดกับขุนพลห้าพยัคฆ์ที่กำลังเรืองอำนาจในเมืองหลวง
ทั้งแผ่นดินเวลานี้ ผู้คนล้วนรู้จักสามเทพบุตร ทายาทของขุนพลรุ่นอาวุโส สี่เทวะ อันมี แฮหัวป๋า ลูกคนโตของเทพเหี้ยมหาญ แฮหัวเอี๋ยน และโจจิ๋น โจฮิว สองพี่น้อง ลูกของเทพเสริมส่ง โจหอง ที่สร้างชื่อเสียงขึ้นตั้งแต่ศึกถล่มปราสาทนกยูง เพียงแต่น่าเสียดายที่ เทพคุ้มครอง แฮหัวตุ้น และ เทพมุ่งมั่น โจหยิน กลับไร้ทายาทชายสืบสกุล จึงมีเพียงทายาทของสองเทวะในรุ่นถัดมา
ทางฝั่งของขุนพลห้าพยัคฆ์เอง นอกจากด้อยอาวุโสอยู่ขั้นหนึ่งแล้ว ทั้งมิได้เป็นญาติสนิทของวุยก๋ง โจโฉ ทั้งเป็นขุนพลแปรพักตร์ที่มาเสริมเติมภายหลัง ศักดิ์ศรีและฐานะจึงต่ำชั้นกว่าอย่างเห็นได้ชัดเจน หากแต่โจโฉก็ให้เกียรติยกย่องมาโดยตลอด จึงพอรักษาหน้า รักษาตำแหน่งไว้ได้ แตกต่างกับพวกสี่เทวะรุ่นใหญ่ ที่เบ่งตนข่มชั้นอยู่เนืองๆ
สุมาอี้ กุนซือเต่าสมถะ ลำดับสอง รองจากกาเซี่ยง กุนซือเงาปีศาจ ผู้เป็นหัวหน้าคณะกุนซือ จึงฉวยโอกาสสอดแทรกในความขัดแย้งนี้ โดยส่งเสริมให้ขุนพลห้าพยัคฆ์รับเตงงาย ทหารองครักษ์ส่วนตัว ฝากฝังให้เป็นลูกศิษย์ไว้สืบทอดวิชา และหวังถ่วงดุลย์อำนาจกับพวกสี่เทวะสามเทพบุตรในภายภาคหน้า
ต่อมา เมื่อเกิดเหตุร้ายกับเจ้าสัวเกียงกวง ทำให้สหพันธ์การค้าหมาป่าเงินตกอยู่ในการบริหารของจงฮิวแต่เพียงผู้เดียว จึงตัดสินใจโอนย้ายให้องครักษ์เตงงายออกไปขึ้นกับเจ้าสัวใหญ่แห่งสหพันธ์การค้าแทน เพื่อช่วยป้องกันเภทภัยลอบประทุษร้าย และหวังให้หลุดพ้นวังวนการเมืองไปก่อนเป็นการชั่วคราว
องครักษ์ เตงงาย เป็นคนไร้การศึกษา แต่เคยฝึกฝนวิชาการต่อสู้มาก่อน จึงเคยมีพื้นฐานวิชา สามารถเรียนรู้กระบวนท่าได้ทันที ถูกชะตากับซิหลง อิกิ๋ม และงักจิ้น สามพยัคฆ์นักรบเป็นพิเศษ เก็บเกี่ยววิทยายุทธ์ไปได้มากมายอย่างรวดเร็ว
ส่วนเตียวเลี้ยว และเตียวคับ คล้ายมีเรื่องคับข้องในใจ อ้างว่า พื้นฐานวิทยายุทธ์แตกต่างเกินไป เกรงว่ารีบเร่งถ่ายทอดไปพร้อมกันห้าแนวทาง จะทำให้ร่างกายต้านรับไม่ไหว ทั้งสองจึงเลี่ยงไปสั่งสอนเพิ่มเติมในเรื่องพิชัยสงคราม และกลยุทธ์การศึกแก่ลูกศิษย์พิเศษคนนี้ไปพลางก่อน
ลกซุน กุนซือพยัคฆ์คะนอง รับกระบอกไม้ไผ่มาแกะผนึกออก ดึงเอากระดาษแผ่นน้อยภายในออกมาคลี่อ่าน กลับเหมือนมีใบหน้าถอดสี รีบบอกกล่าวต่อผู้นำสหพันธ์ทั้งสองคนที่เหลือ “ท่านสุมาอี้แจ้งว่า เรื่องนี้หนักหนาสาหัสเกินไป ได้แต่ยอมจ่ายค่าประกันสินค้าไปตามสภาพแล้ว เราได้แต่กลับไปแจ้งต่อท่านซุนกวนตามนี้”
จงฮิว และจูกัดจิ๋นงงงันวูบ ปกติ ธุรกิจขนส่งสินค้าจะต้องพยายามหลีกเลี่ยงการจ่ายชดเชยค่าสินค้าเป็นที่สุด ยิ่งเจ้าของสินค้ายังไม่เอ่ยปาก ยิ่งไม่เคลื่อนไหว แต่ครั้งนี้ ลกซุนถึงกับลนลาน ยอมรับความพ่ายแพ้อย่างง่ายดาย เบื้องหลังของตันเซ็ก หรือสินค้าเหล่านี้ คงเป็นเผือกร้อนลวกมือเสียแล้ว
ลกซุนที่ดูสุขุมเยือกเย็น สงบนิ่งมาโดยตลอด กลับเหมือนร้อนรนขึ้นทันตา หลังจากอ่านข้อความลับของสุมาอี้ ถึงกับยกมืออำลาผู้นำทั้งสอง แล้วกลับขึ้นเรือโดยสารออกเดินทางไปตามแม่น้ำไต้กังในทันที
เมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าสัวจงฮิว พร้อมกับเตงงาย องครักษ์ จึงกล่าวคำอำลาจูกัดจิ๋น แล้วขึ้นฝั่ง กลับมายังรถม้าที่ซุกซ่อนไว้ ขับเคลื่อนคืนสู่เมืองอ้วนเซีย หากแต่เตงงายตาไว สังเกตเห็นกระดาษแผ่นน้อยลอยน้ำสะดุดตา ติดอยู่ข้างพงไม้ไม่ไกลจากข้างทาง จึงคว้าเชือกผูกเรือลอยตัวไปหยิบเอากระดาษปริศนากลับคืนมาส่งให้กับเจ้านายของตน
จงฮิวอดไม่ได้ที่จะคลี่กระดาษที่ขาดวิ่นไปบางส่วน อ่านข้อความที่ถูกน้ำซึมจนเกือบจางหาย เห็นข้อความลับนั้น มีเพียงไม่กี่คำ “บังเต๊กกง ก่อการใหญ่ เมืองซินเอี๋ย เคลื่อนไหวด่วน - สุมาอี้”
“บังเต๊กกงคือผู้ใด มีความเป็นมาเช่นไรจึงสามารถเขย่าขวัญของลกซุน กุนซือพยัคฆ์คะนองได้ถึงปานนี้ และสุมาอี้ เจ้านายที่อยู่เบื้องหลังเงาร่างของมันเอง เกี่ยวพันกระไรด้วยหรือไม่” จงฮิว คหบดีเจ้าปัญญาครุ่นคิดขึ้นภายในใจ จนเริ่มเกิดความรู้สึกกังวลขึ้นมาบ้างแล้ว
แกนนำของสองสหพันธ์เหนือใต้จากกันไปแล้ว จูกัดจิ๋นคงรีรออยู่อีกพักใหญ่ค่อยส่งสัญญาณควันไฟบางเบา จากนั้น เรือโดยสารลำหนึ่งจึงมุ่งหน้ามาเทียบขนาบ เห็นเป็นชายวัยกลางคนในชุดพ่อค้าก้าวขึ้นเรือมาตามลำพัง
เป็นเคาเจ้ง ขุนนางผู้ใหญ่สายเสฉวน คนผู้นี้นับว่า มีเบื้องหลังความเป็นมาไม่เบา เพราะเป็นทายาทของเคาก้าน ปราชญ์หยั่งรู้ หนึ่งในเจ็ดบัณฑิตเจี้ยนอาน ที่ยังมีชีวิตอยู่ และสืบทอดวิชาโหราศาสตร์ สามารถทำนายดวงชะตาได้แม่นยำ
ตลอดมา เคาเจ้งจึงทำหน้าที่คล้ายโหรหลวง พยากรณ์เรื่องราวให้กับเล่าเอี๋ยน เล่าเจี้ยงมาโดยตลอด เพียงแต่ไม่ทราบว่า ดูดวงทำนายชะตาเช่นไร เจ้านายสองพ่อลูกจึงคล้ายตกต่ำเรื่อยมาเช่นนี้ หรือว่า วิชาโหราศาสตร์มิอาจเปลี่ยนวาสนาให้คนสกุลเล่าจริงๆ
เห็นจูกัดจิ๋นให้ความเคารพต่อเคาเจ้งพอสมควร และรายงานเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อครู่โดยละเอียด ราวกับว่า เคาเจ้งเป็นระดับอาวุโสคนหนึ่งของพวกสกุลจูกัดไปแล้ว
เคาเจ้งรับฟังต่อเนื่องโดยไม่เอ่ยปากซักถามอันใด หรุบตานับนิ้วคำนวนอันใดอีกครู่หนึ่ง กลับทำหน้านิ่วคิ้วขมวด เอ่ยปากต่อจูกัดจิ๋นอย่างรวบรัด “ครั้งนี้ อาจมีกลุ่มคนลึกลับคิดสอดแทรก สร้างความวุ่นวายต่อขบวนการฟ้าดินของพวกเรา แต่ไม่ทราบแน่ชัดว่า จู่โจมต่อพวกลกซุนหรือจงฮิวอย่างไร และเมื่อใด ดังนั้น เจ้าจงเดินทางทางน้ำ ติดตามเบาะแสของลกซุนต่อไปโดยเร็ว ส่วนเราจะแยกไปติดตามจงฮิวทั้งสองทางบก หวังว่า สามารถสกัดกั้นการลงมือของกลุ่มคนดังกล่าวได้ทันเวลา”
สายตาของจูกัดจิ๋นลังเลวูบหนึ่ง เคาเจ้งอ่านสีหน้าแล้วคาดเดาว่า ฝ่ายตรงข้ามกริ่งเกรงว่า ตนเองไร้ฝีมือ มิอาจรับมือพวกจงฮิวได้ จึงสะบัดมือวูบไปทางแม่น้ำ เห็นแผ่นน้ำแหวกเป็นสายยาว แสดงถึงพลังดรรชนีลมปราณที่แกร่งกล้าไม่น้อย
“บิดาเราเป็นปราชญ์แห่งแผ่นดิน รอบรู้ทั้งบุ๋นบู๊ เพียงแต่กำชับให้งำประกาย สำแดงแต่ความรู้โหราศาสตร์ แต่ที่จริง ยังพอมีวิทยายุทธ์ติดตัวอยู่บ้้าง แม้ว่า ไม่อาจต่อสู้กับยอดฝีมือชั้นสูง แต่มุ่งหวังเอาชีวิตรอด ย่อมไม่ยากเย็นกระไรนัก” เคาเจ้งกล่าว
นายน้อยแห่งหุบเขามังกรซ่อนจึงแย้มยิ้มคารวะด้วยความโล่งใจ สั่งการให้คนเรือออกเรือล่องติดตามเป้าหมายตามที่ได้รับคำสั่ง ส่วนเคาเจ้งก็ลงจากเรือโดยสาร นำม้าคู่ใจออกจากใต้ท้องเรือ ควบขี่ไปตามเส้นทางหลวงอย่างรวดเร็ว
ฟังความเช่นนี้ เห็นทีว่า ขบวนการฟ้าดินจะมีการเคลื่อนไหวอีกครา หลังจากที่น่ิงสงบมานานตั้งหลายปี นับแต่การหายสาบสูญไปของจูกัดกุ๋ยในครั้งนั้น
...

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา