12 ก.ค. 2021 เวลา 23:41 • นิยาย เรื่องสั้น
5.2. สืบคดีสะท้านภพ
เคาเจ้ง เคาทู เคาฮิว ตระกูลนักพยากรณ์
เจ้าสัวจงฮิว ผู้นำสหพันธ์การค้าหมาป่าเงินและเตงงาย องครักษ์ เดินทางด้วยรถม้าโดยสาร เลี่ยงผ่านตัวเมืองอ้วนเซีย อ้อมไปตามเทือกเขาใหญ่ ผ่านเมืองซินเอี๋ย ไปทางเมืองหับป๋า ในเมื่อออกเดินทางมาแล้ว มันจึงคิดเปลี่ยนเส้นทาง สำรวจไปตามหัวเมืองชายแดนแถบใต้ของฝ่ายรัฐบาลฮั่นเสียเลย แทนที่จะตัดตรงกลับสู่เมืองหลวงฮูโต๋เหมือนตอนขามา
ปากบอกกล่าวกับเตงงายเช่นนั้น หากแต่ในใจ จงฮิวสนใจใคร่รู้ความเคลื่อนไหวอันใดเกิดขึ้นที่เมืองน้อยซินเอี๋ย และมีความเกี่ยวพันอันใดกับคดีสินค้าหายลึกลับหรือไม่ คล้ายมีพยาธิก่อกวนในลำไส้ ไม่อาจไม่ไปสำรวจดูสักครา
เส้นทางทางหลวงแถบนั้นไม่กว้างขวางนัก ซ้ำยังคดเคี้ยวเลียบไปตามแม่น้ำไต้กัง เมื่อหลายปีก่อน เล่าปี่ยังเคยต้อนผู้คนอพยพหลบหนีกองทัพร้อยหมื่นของโจโฉจากเมืองอ้วนเซีย ซงหยง ซินเอี๋ย จนเกิดเป็นวีรกรรมผู้กล้าเตียงปันของสองยอดขุนพล ขุนพลฟ้าคำราม เตียวหุยและขุนพลท่องเมฆา จูล่ง ตามชื่อฉายาใหม่ที่ถูกตั้งขึ้น
เมื่อผ่านมาถึงเมืองซินเอี๋ย พอดีกับกลุ่มเรือสินค้าขนเกลือขนาดใหญ่ผูกโยงกันยาวบ้าง สั้นบ้าง ที่ลอยเอื่อยๆมาตามกระแสของแม่น้ำไต้กัง เข้าเทียบท่าเรือของเมืองน้อยตามปกติ แต่ทำให้เกิดติดขัดการสัญจรทั้งทางบกและทางน้ำบ้างเล็กน้อย เพราะมีจำนวนเรือผูกโยงเป็นจำนวนมาก แต่ทั้งสองไม่ถึงกับรีบร้อน จึงผ่อนอิริยาบถ สำรวจทิวทัศน์ไปรอบๆแถวท่าน้ำนั้น
1
แม้ว่าตำแหน่งเมืองซินเอี๋ยจะอยู่ใกล้เมืองหลวงฮูโต๋ หากเพราะขวางกั้นด้วยเทือกเขาสูงใหญ่ซับซ้อน จึงไม่ถือเป็นจุดยุทธศาสตร์ทางการรบ เหมือนเช่นเมืองอ้วนเซีย หับป๋า ที่เคลื่อนทัพผ่านทุ่งหญ้าป่าเขาได้สะดวกกว่า การรักษาเมืองจึงไม่ได้เข้มงวดกวดขันมากเท่ากับอีกสองเมืองที่กล่าวถึง ทั้งๆที่เป็นพื้นที่ชายแดนเช่นกัน
ขณะที่เจ้าสัวจงฮิวกำลังเพลิดเพลินกับธรรมชาติของแม่น้ำป่าเขา องครักษ์เตงงายตาไว กลับสะกิดเตือน พลางกระซิบเบาๆ ให้กับเจ้านาย “บัณฑิตหน้าอ่อนบนเรือเกลือลำนั้น ท่าทางชอบกลนัก”
จงฮิวไม่มีฝีมือการต่อสู้ หากแต่คร่ำหวอดในแวดวงการค้า ผ่านประสบการณ์มาไม่น้อย เสแสร้งกวาดตามองทิวทัศน์ เรื่อยไปในทิศทางที่ระบุ พบเห็นบัณฑิตหนุ่มน้อยหน้าใส เดินเข้าออกระหว่างหัวเรือกับห้องโดยสาร ขมวดคิ้วนิ่วหน้า คล้ายรอคอยผู้คน
สักครู่ จึงมีกลุ่มพระภิกษุร่างใหญ่เดินฝ่าผู้คนที่สัญจร มาพูดคุยสอบถามบัณฑิตหนุ่มอยู่ที่ท่าเรือ แล้วทั้งหมดค่อยเดินหายเข้าไปในลำเรือพร้อมกัน ดูจากการแต่งกายในชุดสีเทาแล้วคงเป็นกลุ่มพระภิกษุฝ่ายครัว นัดมารับอาหารหรือสิ่งของใช้สอยกลับไปส่งวัดใหญ่ตามปกติ มิน่า จึงดูท่าทางแข็งแรง คงเพราะผ่านการทำงานหนักมาไม่น้อย
และแล้ว ขบวนรถม้าก็พุ่งทะยานโลดแล่นออกจากเรือเกลือขนาดใหญ่นั้นไม่ขาดสาย ล้วนเป็นพระภิกษุชุดเทากลุ่มนั้น ควบคุมรถม้าออกมาเองด้วยท่าทางคล่องแคล่วแข็งขันเกินกว่านักบวชทั่วไป วิ่งไปตามเส้นทางหลักอ้อมผ่านเมืองซินเอี๋ยไปอีกเส้นทาง คงมุ่งหน้าสู่วัดใหญ่บนป่าเขาตามที่ทั้งสองสันนิษฐานเอาไว้
หนึ่ง สอง สาม สี่ นับไปนับมา ถึงกับนับได้ตั้ง 31 คันรถ เจ้าสัวจงฮิวยิ่งนับยิ่งตื่นตะลึง รู้สึกสังหรณ์ใจ หรือว่า นี่คือ ขบวนรถม้าในคดีลึกลับทั้งสามครั้งที่ปากน้ำเมืองอ้วนเซียที่หายสายสูญไป
พระภิกษุที่ดูคล้ายหัวหน้าขบวนบังคับรถม้าคันสุดท้าย เพื่อกำกับดูแลขบวนทั้งหมด แผ่นผ้าที่ปกปิดหน้าต่างรถม้าเปิดขึ้นตามแรงลมวูบหนึ่ง เป็นเตงงายที่พบเห็นบัณฑิตหน้าใส นั่งอยู่กับพระภิกษุหนุ่มใหญ่ในชุดสีเหลืองจีวรแดง ภายในรถ
ปกติ ชุดจีวรภิกษุบ่งบอกสถานะลำดับชั้น ในเมื่อกลุ่มพระที่มา ล้วนเป็นพระในชุดสีเทาทั้งสิ้น แสดงว่า พระหนุ่มในชุดเหลืองนี้ ต้องมีความสำคัญไม่น้อย และต้องมาพร้อมกับขบวนรถม้า และเรือเกลือลำนี้อย่างแน่นอน ส่วนบัณฑิตน้อยนั้นก็อาจจะเป็นตันเซ็ก ผู้เป็นเจ้าของสินค้าเดินทางกำกับมาเองเสียด้วยซ้ำ
การที่ขบวนรถม้าหายไปจากเส้นทางสัญจร ก็เพราะถูกเคลื่อนย้ายลงเรือขนเกลือขนาดใหญ่ ล่องมาตามแม่น้ำไต้กังนั่นเอง เมื่อเป็นเช่นนี้ สหพันธ์การค้าพยัคฆ์หยกก็อาจจะถูกตันเซ็กหลอกลวง ปล้นชิงสินค้าของตนเอง สร้างเงื่อนงำเพื่อหวังเอาเงินค่าประกันสินค้าเสียแล้วกระมัง
จงฮิวสบตากับเตงงาย พยักหน้าให้ลองสอบถามเบาะแสกลุ่มพระภิกษุดังกล่าวจากชาวบ้านแถบนั้น พอได้ความว่า เป็นพระภิกษุฝ่ายครัวของวัดป่าน้อยที่สองบนเขาจวนหยกสัน ลงเขามาซื้อหาเสบียงตามปกติวิสัย หากแต่ซื้อเสบียงถึงสามสิบกว่ารถม้า นับว่า เอิกเกริกครึกโครมไปบ้าง
และจริงดั่งคาด หลายวันมานี้ ถึงกับมีพระภิกษุเดินทางมาจากหลากหลายทิศทาง กลุ่มใหญ่บ้าง เล็กบ้าง เข้ามาพักแรมที่วัดดังกล่าว จนสถานที่ทางศาสนาดูพลุกพล่านแปลกตาเป็นอย่างยิ่ง คงจะเป็นสาเหตุให้ต้องมีการระดมเสบียงอาหารเพิ่มเติมขึ้นมา ต่างก็คาดเดาว่า จะมีพิธีกรรมยิ่งใหญ่อันใดเกิดขึ้นที่วัดแห่งนี้ในไม่ช้า
วัดป่าน้อยทางด้านเหนือของเมืองซินเอี๋ยแห่งนี้ เป็นวัดสาขาที่สองของวัดป่าน้อย เมืองลกเอี๋ยง วัดพุทธอันดับที่สอง รองจากวัดม้าขาว วัดดังแห่งเมืองลกเอี๋ยงที่เป็นเสมือนศูนย์กลางของพุทธศาสนาในเมืองจีน
ในยุคสมัยสงครามการเมืองที่สับสนวุ่นวายมาหลายสิบปี นอกจากการค้าขายที่เปิดกว้างให้พ่อค้าและคนทำงาน สามารถผ่านไปมาข้ามเขตแดนได้โดยสะดวกในระดับหนึ่งแล้ว กิจการของนักบวชในลัทธิศาสนาต่างๆก็เป็นอีกกลุ่มก้อนหนึ่งที่สัญจรได้อย่างอิสระ ทหารและขุนนางมักจะหลีกเลี่ยงการกระทบกระทั่งกับสองกลุ่มชนนี้ กลุ่มหนึ่งเป็นพลังอำนาจแห่งเศรษฐกิจ อีกกลุ่มหนึ่งเป็นพลังอำนาจแห่งศรัทธา
"จ้าวลัทธิอวิชชา พลิกแผ่นฟ้าล้างแผ่นดิน จากต่ำต้อยค่อยโบยบิน กลืนกินสิ้นสุดราชวงศ์” คำทำนายสะท้านฟ้ายังคอยหลอกหลอนอยู่ภายในจิตใจของผู้นำรัฐเรื่อยมา
ตั้งแต่เตียวก๊ก ผู้นำพรรคฟ้าเหลือง ที่ตั้งตนเป็นผู้วิเศษ มีพลังเวทมนต์รักษาโรคได้ และทำให้คนดังในลัทธินิกายเต๋าเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่น สุมาเต๊กโชแห่งเกงจิ๋ว เตียวล่อแห่งฮันต๋ง อีเกียดแห่งกังตั๋ง ตลอดจนผู้วิเศษลึกลับอื่นๆ ที่เคลื่อนไหวในแถบภาคเหนือบ้าง ภาคใต้บ้าง เป็นต้น แต่สุดท้ายก็พัวพันเข้ากับการเมืองจนเหตุการณ์ลุกลามใหญ่โต และถูกปราบปรามไปจนหมดสิ้น
ส่วนลัทธิขงจื้อและม่อจื้อ ซึ่งผูกพันกับการทหาร การเมืองในราชสำนักมาโดยตลอด ก็มีการแข่งขันปีนเกลียวกันอย่างหนักในช่วง อ้องอุ้น - ซัวหยง จนฝ่ายหลังล่มสลาย แทบหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์
แต่ฝ่ายแรกเองก็อยู่ได้ไม่นาน และถูกกวาดล้างไปไม่น้อย ยิ่งภายหลังเมื่อขงหยง ผู้นำรุ่นถัดมา และทายาทสายตรงของขงจื้อยังถูกสังหารล้างตระกูลไปอย่างมีเงื่อนงำ ทำให้คนดังล้วนหลบหนีไปตามเมืองต่างๆ และลัทธิเหล่านี้ทรุดโทรมไปมากเช่นกัน
จนเมื่อไม่นานนี้เองที่กาเซี่ยง กุนซือเงาปีศาจเข้ามารื้อฟื้นระบบการศึกษา การปกครอง และระดมคนมีชื่อเสียงในวงการศึกษากลับเข้ามาในเมืองหลวงฮูโต๋อีกครั้ง ทั้งผลักดันเจ็ดบัณฑิตรุ่นสองออกมา เปิดรับคนดังสายเต๋า และสายขงจื้อ ให้เข้ามาร่วมงานกัน โดยตัดทอนเรื่องไสยศาสตร์ และการเมืองออกไป ให้เน้นที่การศึกษา การปกครองเป็นสำคัญ ทำให้กระแสวิชาการกลับมารุ่งเรืองขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
การปรับปรุงสำนักหอสมุดใต้หล้าให้กลายเป็นแหล่งความรู้ที่เลื่องชื่อ สืบต่อจากเจ็ดบัณฑิตกลุ่มแรก นับเป็นผลงานชิ้นสำคัญในอีกแง่มุมหนึ่งของวุยก๋ง โจโฉ จนก่อเกิดคำเรียกขานอย่างยกย่องถึงสามนักกวีสกุลโจ อันประกอบด้วย โจโฉ โจผี และโจสิด ผู้อุปถัมภ์หลักของสำนักหอสมุดแห่งนี้
ความพยายามล่าสุดของกาเซี่ยงที่เปิดตัวศาสนาพุทธแบบผสมผสาน ณ ปราสาทนกยูงทองแดง นับเป็นการสั่นสะเทือนวงการพุทธศาสนาในเมืองจีน จนเกิดกระแสการปรับตัวครั้งใหญ่ โดยเฉพาะเภาเจ๋งแห่งวัดป่าน้อยที่สองกลายเป็นหลวงจีนชื่อดังชั่วข้ามคืนด้วยพิธีกรรมพุทธยาตราเดินเท้าฝ่าวงล้อมกองทัพขบถต่อต้านทรราชย์ในครั้งนั้น
เป็นที่น่าสังเกตว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมา ฝ่ายพุทธศาสนากลับไม่เคยมีบทบาทหรือความเคลื่อนไหวใดๆเลย ทั้งๆที่เป็นสายศรัทธาที่สำคัญของราชวงศ์ฮั่นเช่นกัน ยามนั้น พระภิกษุในวัดม้าขาวแห่งเมืองลกเอี๋ยงที่เป็นเหมือนศูนย์กลางของพุทธศาสนาในแผ่นดินจีน รวมทั้งพระสงฆ์ตามวัดสำคัญตามเมืองต่างๆนับรวมแล้วไม่ต่ำกว่าสามสี่พันคน และเมื่อนับรวมกระยาจก ขอทาน และพ่อค้าแม่ค้าที่พักพิงอาศัยอยู่ด้วยอีกกลุ่มใหญ่ กำลังพลของคนเหล่านี้อาจจะมีถึงสองสามหมื่นทีเดียว
ความเคลื่อนไหวของพระภิกษุสงฆ์ และกระยาจกขอทานเหล่านี้ บางส่วนเกิดขึ้นเพราะเจตนาบวชเพื่อหลบเลื่ยงการถูกเกณฑ์เข้ากองทัพ บางส่วนกลับเป็นทหารผ่านศึกที่บาดเจ็บพิการจากการทำศึกสงคราม จึงเหมือนขุมกำลังอีกกลุ่มหนึ่งที่นิ่งสงบมาเนิ่นนาน รอดูความเปลื่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในแผ่นดิน โดยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเมืองการทหาร ราวกับอยู่คนละโลกมาหลายสิบปีแล้ว
เจ้าสัวจงฮิว ปรึกษากันกับเตงงาย องครักษ์คู่ใจ ทางหนึ่งก็อยากสืบค้นเบาะแสข้อมูลต่อไป ทางหนึ่งก็กริ่งเกรงว่าเรื่องราวจะหนักหนาสาหัสเกินไป ขนาดลกซุน กุนซือที่มีชื่อเสียงทั่วแผ่นดิน และมีเบื้องหลังใหญ่โตค้ำจุน ยังถึงกับรีบร้อนถอนตัวกลับกังตั๋ง แล้วนับประสาอะไรกับพวกมันเพียงสองคนเท่านั้น
“อย่าเพิ่งแหวกหญ้าให้งูตื่นเลย แผนการพวกมันเป็นเช่นไร ก็ยังไม่ชัดแจ้ง พวกเรากลับไปรายงานให้นายท่านตัดสินใจก่อนดีกว่า” เจ้าสัวจงฮิวกล่าวสรุป พร้อมล้มเลิกการอ้อมเส้นทาง เปลี่ยนกลับมาทางเมืองอ้วนเซียเช่นเดิม
เตงงายเหลียวมองไปทางเส้นทางสัญจรอย่างคับข้องใจ หากเป็นตัวมันแล้ว คงเดินหน้าสืบหาเบาะแสต่อไป แต่ติดขัดที่เจ้านายตนเองกลับหวั่นเกรง จึงเลือกวิธีที่ปลอดภัยต่อตนเองมากกว่า
เคาเจ้งที่ลอบติดตามสองนายบ่าวมาได้สักพักหนึ่งแล้ว พบเห็นการเคลื่อนไหวเช่นนี้ พอคาดเดาได้ว่า เป้าหมายมาถึงจุดสำคัญแล้วพลันถอดใจ ไม่คิดตามขุดคุ้ยเรื่องราวต่อแล้ว จึงค่อยคลายใจโล่งอก ไม่จำเป็นต้องสะกดรอยต่อไป แต่ในเมื่อมาถึงจุดหมายสำคัญแล้ว จึงรั้งรอหมายพบปะผู้คนไปด้วยเสียเลย
มันเลือกนั่งพักดื่มน้ำชาอยู่ในร้านอาหารใหญ่ชานเมือง ซึ่งมองเห็นได้ทั้งบนบกและทางน้ำ แต่เพิ่งก้าวเดินเข้าไปในร้าน พลันสัมผัสถึงกระแสโกรธแค้นที่มาจากสายตากลมโตของบุรุษร่างใหญ่ที่ซ่อนตัวในเงามืดมุมลึกภายในร้าน และน่าจะกำลังเมามาย
นับว่า พบพานศัตรูในทางแคบ คนที่มันไม่ต้องการพบพานมานานหลายสิบปี ดันมาโผล่ขึ้นในที่นี้โดยบังเอิญได้อย่างไร มันรีบสะกดท่าที เสแสร้งหันหลังกลับ เร่งฝีเท้าหมายกลมกลืนปะปนไปกับฝูงชนในท้องตลาดที่กำลังจับจ่ายซื้อของกันอย่างหนาแน่น
มันเดินวุ่นวายอยู่พักใหญ่ ขบคิดหาทางหลบหนี หรือสมควรขอความช่วยเหลือจากจูกัดจิ๋น แต่เมื่อเหลียวกลับไปมองดูอีกครั้ง ไม่เห็นมีใครติดตาม จึงนึกว่ารอดพ้นเภทภัยแล้ว พลันรู้สึกตึงวูบที่ลำคอ แล้วทุกอย่างก็มืดดับลงอย่างกระทันหัน
ห่างไกลออกไปที่ท่าเรือ เรือโดยสารที่ปะปนอยู่กับเรือลำอื่นๆ กลับปรากฎเงาร่างของลกซุนลอบมองจงฮิวทั้งสองที่ย้อนกลับเส้นทางเดิม และขบวนรถม้าที่ขับอ้อมเมืองไปอีกทางหนึ่ง จนหายลับสายตาไปอย่างรวดเร็ว ไม่ทันสังเกตเห็นความผิดปกติของทางด้านเคาเจ้งที่อยู่ในอีกมุมหนึ่งของสายตา
ลกซุนคล้ายทอดถอนหายใจ กล่าวกับคนเรือด้วยความคุ้นเคย “ท่านอา ครั้งนี้เกรงว่า เรื่องราวจะบานปลายไปใหญ่โตเสียแล้ว ตันเซ็กไม่เพียงปล้นชิงสินค้าของตนเอง ซ้ำยังลากเอาพระภิกษุเล่าเจี้ยงเข้ามาพัวพันกับวงการศาสนาด้วย หรือว่า เล่าเจี้ยง เจ้าของสินค้าตัวจริงเพียงเสแสร้งออกบวช เพื่อกลบเกลื่อนความเคลื่อนไหว และลอบหนีออกมาจากเสฉวน หวังก่อการใหญ่อันใด"
กุนซือพยัคฆ์คะนองทบทวนแล้วยิ่งมั่นใจ แสดงว่า เล่าเจี้ยง เชื้อพระวงศ์อาวุโส ยังมีนัยสำคัญ คงจัดฉากโยกย้ายสิ่งของมีค่าออกจากเมืองเสฉวน ตบตาคนทั่วไปว่า บัณฑิตตันเซ็กขนย้ายสินค้าด้วยขบวนรถม้าตามปกติ แล้วแสร้งปล้นชิงลงเรือเกลือมาถึงที่นี่ แต่คาดไม่ถึงว่า ขุมกำลังที่รอรับนั้น ถึงกับเป็นนักบวชในพุทธศาสนาแห่งวัดป่าน้อยที่สอง
ที่จริง ลกซุนรับเนื้อความในข้อความลับ ยิ่งคิดยิ่งไม่ถูกต้อง เพราะพี่ใหญ่ไม่น่าจะระบุถ้อยคำชัดเจนให้ผูกมัดตัวเช่นนี้ จึงแสร้งทำเป็นแตกตื่นลนลานกลับมาจากปากแม่น้ำใกล้เมืองอ้วนเซีย และสุดท้าย ค่อยส่งคนไปทิ้งข้อความลับในกระดาษไว้ให้สะดุดตา เพื่อกระตุ้นให้จงฮิว เตงงาย สองนายบ่าว สงสัยใจ ออกหน้าสืบหาเบาะแสของบังเต๊กกงแทนตัวมัน เพราะผู้ส่งสาส์นไม่จำเป็นต้องระบุชื่อโจ่งแจ้งเช่นนั้น นอกเสียจากเห็นว่า พวกมันไม่สะดวกในการเคลื่อนไหวเอง แต่หากเป็นคนอื่น ก็เป็นอีกเรื่องราวหนึ่ง จึงแสร้งเปิดเผยร่องรอยอย่างโจ่งแจ้ง หวังให้ลกซุนเล่นละครต่อ
เนื่องจากภายในกระบอกไม้ไผ่ที่ผู้ส่งสาส์นให้มา เปลือกนอกคือข้อความในกระดาษ แต่ยังมีผงเกลือสีขาวบรรจุมาอย่างจงใจ ลกซุนจึงคาดเดาได้ทันทีว่า ขบวนรถม้าถูกจัดลงเรือเกลือไปตามแม่น้ำแล้ว มันจึงรีบให้คนบังคับเรือโดยสารของตนเอง ล่องตามน้ำเสาะหาเรือเกลือที่ต้องสงสัยจนทัน และลอบติดตามมาจนเห็นเหตุการณ์การเคลื่อนไหวที่ท่าเรือแห่งนี้ และที่สำคัญคือ เห็นบัณฑิตกับพระภิกษุในรถม้าคันสุดท้ายด้วยเช่นกัน ซึ่งเป็นข้อมูลที่สำคัญยิ่งนัก
"หากเป็นเพียงการอพยพหลบหนีภัยการเมืองก็แล้วไป แต่ถ้าเป็นการอำพรางกายเพื่อตอบโต้ หรือรุกคืบ แผ่นดินฮั่นคงวุ่นวายไปอีกพักใหญ่แล้ว" ท่านอา หรือ คนควบคุมเรือส่งเสียงตอบโต้ ขณะที่มองเห็นเคาเจ้งถูกคนลึกลับร่างใหญ่หิ้วคอพาตัวออกไปซอยแคบด้านนอก แต่เพราะไม่รู้จักหน้าค่าตาทายาทนักปราชญ์ จึงไม่ได้ให้ความสนใจกระไร คิดว่า เป็นแค่เรื่องทะเลาะวิวาทของคนในยุคสมัยโบราณ
ที่แท้ ท่านอา ก็คือ เหยี่ยวดำ จอมยุทธ์มือสังหาร อันดับสิบสามแห่งหน่วยปักษาสวรรค์ ปลอมแปลงมา เพื่อช่วยคุ้มกันให้กับลกซุนอีกแรงหนึ่ง และเป็นผู้ที่ลอบไปทิ้งจดหมายล่อลวงสองนายบ่าวด้วยตนเอง
ผู้ส่งสาส์นลับในครั้งนี้ กลับมิใช่สุมาอี้ นายใหญ่แห่งสหพันธ์การค้าฝั่งเหนือ แต่กลับเป็นกาเซี่ยง-กระตั้ว อันดับห้า แห่งหน่วยปักษาสวรรค์ แอบแทรกแซงเข้ามาในเครือข่ายสุมา หลอกสั่งการให้จงฮิว เตงงาย ซึ่งอยู่ในบริเวณเมืองอ้วนเซียเคลื่อนไหวเช่นนี้ เพื่อสืบค้นตัวตนที่แท้จริงของบังเต๊กกง บุคคลลึกลับแห่งยุคสมัย
หมากครานี้ของกาเซี่ยง ไม่เพียงแต่ตักเตือนให้สุมาอี้ระมัดระวังตัวตนให้มากขึ้น อย่าได้ทรนงเกินไปนัก จึงไม่แยแสที่จะให้สุมาอี้ล่วงรู้ความเคลื่อนไหวที่ผิดปกติของจงฮิวสองนายบ่าว เพื่อชะลอความฮีกเหิมลงบ้าง แต่อาจจะเปิดโปงโฉมหน้าของบังเต๊กกง บุคคลปริศนาที่ขุมกำลังต่างๆน่าจะอยากรู้จักได้ด้วย
ย้อนกลับไปที่กระบอกไม้ไผ่ นอกจากข้อความในกระดาษที่ส่งมาพร้อมกับผงเกลือสีขาวแล้ว อีกส่วนหนึ่งของกระดาษ ยังมีข้อความลับที่ซุกซ่อนเอาไว้ ซึ่งเหยี่ยวดำ พอใช้น้ำลูบให้เปียก ค่อยเห็นกระดาษซ่อนอยู่ภายในอีกชั้นหนึ่ง จึงกรีดออกดู เห็นข้อความว่า “ล่อให้สงสัย ลวงให้ติดตาม - ห้า”
นี่แสดงว่า กาเซี่ยงคาดเดาพฤติกรรมของสองนายบ่าวได้อย่างกระจ่างแจ้ง วิสัยพ่อค้าย่อมไม่ปล่อยให้ขาดทุนเปล่าๆ ในเมื่อผ่านเมืองอ้วนเซียมาแล้ว ย่อมต้องเปิดหูเปิดตาต่อไปดังนั้น คนทั้งสองกลุ่มน่าจะมาถึงได้ในเวลาที่ไล่เลี่ยกันพอดี เพียงแต่ต้องกระตุ้นให้เกิดความสงสัย จึงจะเกิดเหตุการณ์ต่อไปได้
น่าเสียดายที่นายบ่าวทั้งสองตามมาพบเงื่อนงำโดยบังเอิญแท้ๆ กลับถอดใจ ไม่คิดสืบค้นต่อ รีบเร่งย้อนเส้นทางเดิม แสดงว่า เกิดลังเลใจ ยังคงกลับไปรายงานสุมาอี้ นายใหญ่ให้ตัดสินใจแทน จึงนับว่า สองคนนี้ยังไม่มีกำลังขวัญมากพอ จึงเสียแผนขุดบ่อล่อปลาไปเปล่าๆ ไม่ได้ประโยชน์อันใดจากฝั่งของจงฮิวแม้แต่น้อย
เมื่อถึงตอนนี้ ลกซุนกับเหยี่ยวดำ จึงได้แต่ถอดชุดประมงออก เปลี่ยนเป็นชุดรัดกุม ขึ้นจากเรือ ออกไปสืบค้นเบาะแสที่วัดป่าน้อยที่สองกันเองแล้ว
หากแต่ทั้งหมดย่อมไม่ทันล่วงรู้ว่า การเดินทางติดตามร่องรอยเบาะแสของสองนายบ่าว กลับก่อให้เกิดเรื่องราวทับซ้อนอันหนึ่งขึ้นมา เพราะเคาเจ้ง คนสำคัญในขบวนการฟ้าดินที่ลงมือติดตามมาด้วยตนเองกำลังตกอยู่ในเคราะห์กรรมเสียแล้ว
...
จูกัดจิ๋น ผู้นำสหพันธ์การค้ามังกรซ่อนในชุดชาวประมง แอบมองความเคลื่อนไหวของลกซุนทั้งสองอีกทอดหนึ่ง การสืบคดีโจรกรรมในครั้งนี้ พี่รองจูกัดเหลียงสั่งความมาอย่างชัดเจนให้คอยสังเกต และติดตามดูลกซุนอย่างใกล้ชิด สำหรับจูกัดเหลียงแล้ว ในปัจจุบันนี้ ความสามารถของน้องเล็กลกซุนมีน้ำหนักไม่น้อยไปกว่าพี่ใหญ่สุมาอี้เลย จึงส่งเคาเจ้งให้มาประสานงาน คอยแก้ไขสถานการณ์ถึงจุดเกิดเหตุเช่นนี้
ดังนั้น มันจึงงำประกาย ปล่อยให้องครักษ์เตงงายแสดงฝีมือข่มขู่ และคอยดูเหตุการณ์ไปเรื่อยๆ จนลกซุนล่าถอย จงฮิวจากลาไปแล้ว มันจึงค่อยแอบติดตามทายาทมังกรคนเล็กมาห่างๆด้วยเรือประมงลำน้อยที่มันตระเตรียมไว้ล่วงหน้า อาศัยปะปนมากับเรือประมงอื่นๆที่ล่องไปมาบนน่านน้ำไต้กังตามคำสั่งการของเคาเจ้ง
เมื่อพวกลกซุนขึ้นบกติดตามขบวนรถม้า มิคาด เคาเจ้งกลับคล้ายสูญหายไร้ร่องรอย มันรีรออยู่อีกครึ่งค่อนวัน เห็นว่า ผิดสังเกต คงเกิดปัญหากระทันหัน จึงใช้นกพิราบสื่อสาร เขียนเบาะแสใส่กระบอกไม้ไผ่ส่งไปแจ้งกับพี่รองที่เมืองเสฉวน แล้วค่อยสะกดรอยตามลกซุนทั้งสองต่อไปทันที โดยไม่คาดคิดว่า เคาเจ้งกำลังเผชิญชะตากรรมเลวร้ายในตรอกน้อยหลังร้านอาหาร เพียงอยู่ห่างจากตัวมันแค่ไม่กี่ร้อยก้าว
เคาเจ้งเบิ่งตามองดูฝ่ายตรงข้ามด้วยความแตกตื่น มันสองพี่น้องเติบโตมาด้วยกันในวัยเด็ก จนอยู่มาวันหนึ่ง มันเผอิญโต้เถียงกันตามประสาเด็กจนผลักกันไปมาแล้วน้องมันหกล้มกระแทกพื้น เกิดแผลเป็นที่หางคิ้ว ซึ่งเป็นเรื่องปกติของการเล่นซุกซนในวัยเยาว์
หากแต่บิดามันเชื่อมั่นในตำราพยากรณ์ พอรับรู้ว่า นรลักษณ์ของน้องเล็กแปรเปลี่ยน ถึงกับเป็นรูปดาบหักผลาญตระกูล จึงไม่อาจเพิกเฉย หมายวางยาเข่นฆ่าน้องเล็ก แต่เป็นท่านอาที่คิดแก้เคล็ด แกล้งผลักมันลงแม่น้ำฮวงโห หวังเปลี่ยนแปลงเรื่องราว
หลายปีต่อมา มันได้รับข่าวคราวการตายของท่านอาที่เปลี่ยนชื่อแซ่เป็นเขาฮิว เพื่อหลบหนีคดีความเก่า แต่ไม่ทันสะดุดใจอันใด จนกระทั่งทราบว่า เคาทู คนที่ลงมือสังหารมีชื่อแซ่และรอยแผลเป็นที่หางคิ้ว รูปทรงตำแหน่งเดียวกันกับน้องเล็กที่นึกว่าตายไปแล้ว
“น้องเล็ก โปรดจงยั้งมือไว้...” เคาเจ้งพยายามเค้นเสียงออกจากลำคออย่างแหบแห้ง
เห็นเคาทูเอามือเค้นที่ลำคอของพี่ชายร่วมสายเลือดจนเกิดเสียงดังกร๊อบ คอหักพับคามือ “ข้ามาสืบราชการลับในดินแดนของศัตรู จึงมิอาจปล่อยให้เจ้าบอกกล่าวต่อผู้อื่นได้”
องครักษ์หมีทมิฬเพียงสังหารปิดปากผู้คน มิล่วงรู้ว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นพี่น้องที่พลัดพรากกันด้วยซ้ำ แต่กลับสอดคล้องต่อลิขิตพยากรณ์ และพลอยทำลายแผนการเชื่อมประสานของขบวนการฟ้าดิน ทำให้จูกัดจิ๋นต้องมุ่งหน้าเข้าสู่เหตุการณ์คับขันตามลำพัง
กลับมาที่ท่าเรืออีกครั้ง เห็นเรือโดยสารเร็วลำหนึ่ง ที่แล่นเข้าเทียบฝั่งท่าเรืออย่างเร่งรีบ และเพียงชั่วอึดใจ ก็มีรถม้าสีดำขนาดใหญ่พุ่งทะยานออกไปตามเส้นทางหลักเช่นกัน แผ่นผ้าที่ปิดบังหน้าต่างพัดปลิว มองเห็นภิกษุชุดเหลืองจีวรแดงวัยกลางคนสองคน ท่าทางตื่นเต้นตึงเครียด กับถุงผ้าใบใหญ่สองใบผูกมัดอยู่ภายในห้องโดยสาร
เป็นถุงผ้าที่มีขนาดเท่าตัวคน หรือว่า ภายในจะมีผู้คนถูกห่อหุ้มไว้จริงๆ

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา