14 ก.ค. 2021 เวลา 00:06 • นิยาย เรื่องสั้น
5.3. นิกายมารปรากฏ
เหยี่ยวดำ ยอดยุทธ์มือสังหาร - ลกซุน ตัวแทนสหพันธ์พยัคฆ์หยก - กาเซี่ยง กุนซือเงาปีศาจ
วัดวาอารามบนภูเขาสูง ปกติจะตั้งอยู่ห่างไกลผู้คนและชุมชนทั่วไป เพื่อความสงบเงียบ และเป็นส่วนตัวในการศึกษาพระธรรม ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองการทหารมาโดยตลอด การเคลื่อนไหวภายในจึงดูลึกลับ และง่ายต่อการปกปิด หากเป็นสำนักสงฆ์ธรรมดาก็แล้วไป แต่หากซ่องสุมกำลังพลเอาไว้ ฝึกฝนเตรียมพร้อมเพื่อก่อการณ์ใหญ่ ก็นับว่าเป็นตำแหน่งยุทธศาสตร์ที่ไม่เลวทีเดียว
วัดป่าน้อย สาขาที่สอง บนเขาจวนหยกสันในยามนี้ ปิดประตูใหญ่ มิเพียงไม่เปิดต้อนรับผู้คนที่มาทำบุญทำทานเหมือนยามปกติ ซ้ำยังมีพระภิกษุถืออาวุธตั้งด่านป้องกันไว้ที่เชิงเขาเป็นระยะ จนไม่แตกต่างจากค่ายทหารแต่อย่างใด ด้านบนมีเสียงสวดมนต์หมู่ประสานกันดังต่อเนื่องเป็นระยะๆ คล้ายมีพิธีกรรมสำคัญอันใด แต่ก็ไม่มีเหตุผลใดต้องมากีดกันคนทำบุญถึงเพียงนี้
เหยี่ยวดำและลกซุน ย่อมไม่เห็นด่านป้องกันเหล่านี้ในสายตา จึงลักลอบผ่านขึ้นเขาได้อย่างง่ายดาย และปีนป่ายขึ้นไปบนกำแพงใหญ่ เพื่อสอดส่องดูความเคลื่อนไหวภายในวัด เห็นกำลังทำพิธีสำคัญอยู่จริงๆ
พระสงฆ์ไม่ต่ำกว่าหนึ่งพันรูปนั่งขัดสมาธิเรียงแถวกันเต็มลานหน้าวัด ดูเคร่งขรึมเป็นทางการ อันเป็นที่มาของเสียงสวดมนต์ที่ดังขึ้นต่อเนื่อง ตำแหน่งพระอารามที่ตั้งอยู่ริมหน้าผาสูงชันติดกับแม่น้ำใหญ่ไต้กัง มองเห็นพระภิกษุหนุ่มใหญ่ในชุดเหลืองจีวรแดงบนรถม้าเมื่อครู่ นั่งคุกเข่าอยู่ต่อหน้าพระประธานองค์ใหญ่ทั้งสาม ด้านข้างยังเป็นพระภิกษุกลางคนชุดเหลืองจีวรแดงเช่นกัน ยืนอยู่สองฟากข้าง โดยมีฆราวาสคลุมหน้าในชุดแตกต่างกัน ยืนปะปนอยู่ด้านหน้าห้าหกคน รวมทั้งบัณฑิตหน้าใสคนนั้นด้วย
พอดี น่าจะเป็นช่วงสุดท้ายของพิธีกรรม พระภิกษุสูงวัย ดูมีสง่าราศี ก้าวออกมาจากแถว หยุดที่ตรงด้านหน้าพระหนุ่มที่นั่งคุกเข่า ประคองไม้เท้าธรรมห่วงทองคำส่งให้ฝ่ายตรงข้าม ที่แท้ ก็เป็นพิธีการส่งมอบตำแหน่งเจ้าสำนักให้แก่กันนี่เอง
เมื่อเจ้าอาวาสคนใหม่รับเอาไม้เท้าห่วงทองคำมาจากเจ้าอาวาสคนเก่ามาแล้ว จึงเดินก้าวออกมาด้านหน้าอาราม กล่าวคำอมิตาพุทธนำขึ้นก่อน พระสงฆ์ทั้งหมดที่ลานวัดค่อยหยุดสวดมนต์ เปล่งเสียงอมิตาพุทธพร้อมกัน เป็นอันเสร็จพิธีการ
ครั้งนั้น ศาสนาพุทธกำลังเข้าสู่ช่วงเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ยังไม่มีกฏเกณฑ์ชัดเจนนัก แล้วแต่เจ้าอาวาสท่านใดจะนำความรู้ใหม่มาถ่ายทอด อย่างเช่น คำอมิตาพุทธนี้ ที่จริงเป็นการสรรเสริญบูชาต่อพระอมิตาภะ (ผู้มีแสงส่องสว่างไปไม่มีที่สิ้นสุด หรือหมายถึง ปัญญาที่หาที่สุดมิได้) มีรากฐานมาจากดินแดนอิวจื่อ โดยผู้ที่นำเอามาสั่งสอนในประเทศจีนครั้งแรก คือ เจ้าชายปาร์เถียน ซึ่งมีชื่อทางภาษาจีนว่า งันเชเกาในราชวงศ์กุษาณะที่กำลังรุ่งเรืองอยู่ในแถบนั้น
หลังจากที่กาเซี่ยงให้การสนับสนุนต่อเภาเจ๋งแห่งวัดป่าน้อยที่สองขึ้นเป็นผู้นำฝ่ายสงฆ์จนมีชื่อเสียงโด่งดังยิ่งขึ้น ชักนำให้เกิดกระแสพุทธประยุกต์ ผสมผสานหลักธรรมความเชื่อ และพิธีกรรมของเต๋า ขงจื้อ พุทธเข้าด้วยกัน อีกทั้ง ภายในศาสนาพุทธเองก็ยังมีลัทธินิกายแตกแขนงแยกย่อยอีกมากมาย ทำให้เภาเจ๋งเลือกนำวิธีการที่กำลังเป็นที่นิยม ผนวกเข้ามาในคำสั่งสอนของตนเองด้วย เพื่อสร้างบารมีควบคุมหลวงจีนทั่วแผ่นดิน
นับจากหลวงจีนซ่อนกายแห่งวัดม้าขาวได้รับบาดเจ็บสาหัส ไม่ได้ออกมาพบปะผู้คนมานาน ทายาทสืบทอดก็ขาดบารมีค้ำจุน ทำให้กลุ่มก้อนสายพุทธแทบรวมตัวกันไม่ติดมานาน พอหลวงจีนเภาเจ๋งซึ่งเป็นศิษย์ผู้น้องได้รับความนิยมเช่นนี้ จึงทำให้วงการสงฆ์กลับมาคึกคักตื่นตัว หันมาเชื่อมโยงความสัมพันธ์กับผู้นำคนใหม่ ยกระดับความสำคัญของวัดป่าน้อยที่สองขึ้นใกล้เคียงกับวัดม้าขาวแล้ว
เจ้าอาวาสคนใหม่กวาดตามองไปรอบๆ พร้อมกล่าว “ตัวเรา เล่าเจี้ยง เชื้อพระวงศ์ชั้นผู้ใหญ่ในราชวงศ์ฮั่น บัดนี้ มีชื่อทางสมณะเพศเรียกว่า บ้อคง (ไม่สูญเปล่า) และรับตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสวัดป่าน้อยทั้งสองสาขา สืบต่อจากท่านอาเภาเจ๋ง หวังว่า ท่านทั้งหลายจะให้การสนับสนุน และทุ่มเทแรงกายแรงใจให้ถึงที่สุด เวลาสำคัญที่พวกเรารอคอย กำลังจะมาถึงแล้ว”
เสียงโห่ร้องก้องดังสอดรับคำของเจ้าอาวาสบ้อคง หรืออดีตเล่าเจี้ยง พวกลกซุนฟังจากคำกล่าว ดูคล้ายถ้อยคำปลุกใจก่อนออกรบทำสงคราม มากเสียกว่าเป็นเพียงกิจการของสงฆ์เสียแล้ว เกรงว่า จะไม่ใช่เรื่องดีงามเสียแล้ว
บ้อคงกล่าวต่อ “อีกสองวันจะถึงวาระสำคัญของแผ่นดิน จงแยกย้ายกันเตรียมตัวให้พร้อม พวกเราจะเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว และรวบรัด ทุกอย่างต้องไม่ผิดพลาดเด็ดขาด” เสียงโห่ร้องดังมาจากปากของเหล่าพระสงฆ์ แทนที่จะเป็นเสียงอมิตาพุทธอย่างที่ควร แสดงว่า ถึงขั้นนี้แล้ว พวกมันไม่คำนึงถึงเรื่องการปกปิดฐานะอันใดอีกต่อไป
บ้อคง ขยับมือโบกให้กลุ่มพระภิกษุกลางคนในชุดเหลืองจีวรแดงก้าวขึ้นมาสั่งการในรายละเอียดต่อเหล่าพระภิกษุให้แยกย้ายกันไปเตรียมการ แล้วเรียกเฉพาะอดีตเจ้าอาวาส ซึ่งก็คือ เภาเจ๋ง และฆราวาสที่ปะปนเข้าไปยังอารามด้านใน เพื่อปรึกษาหารือกันเป็นการลับเฉพาะ
ลกซุนกับเหยี่ยวดำรอจนผู้คนแยกย้ายคลายตัวกันพอสมควร จึงลอยตัวแนบที่หลังคากระเบื้อง ห้อยหัวลงมาฟังบทสนทนาภายในต่อ
วงสนทนาล้อมวงกระจายกันนั่งด้านหน้าพระประธานทั้งสามองค์ มีประมาณเจ็ดแปดคนเท่านั้น พระภิกษุบ้อคง-เล่าเจี้ยงนั่งเป็นประธาน เภาเจ๋ง เจ้าอาวาสคนเดิมนั่งถัดมา จากนั้น จึงเป็นฆราวาสในชุดต่างๆ นั่งเรียงแถวต่อมาโดยมีบัณฑิตหน้าใสนั่งรั้งท้ายสุดด้านหนึ่ง คงเป็นการจัดเรียงตามลำดับอาวุโสของขุมกำลังกลุ่มนี้
บทสนทนามาถึงตอนที่คนคลุมหน้าร่างเล็กในชุดบัณฑิต นั่งตำแหน่งท้ายสุดอีกฝั่งหนึ่ง กำลังสรุปเข้าใจความสำคัญพอดี “...โอกาสอันดีเช่นนี้หาได้ยากยิ่งนัก อสูรร้ายออกจากรังใหญ่ มาอย่างเร่งร้อน เพื่อหวังช่วยผู้คนใกล้ชิด จำนวนคนติดตามก็ไม่มากมายนัก ซึ่งอีกสองวันก็จะมาถึงบริเวณใกล้เคียงนี้แล้ว หากเราจัดเตรียมการลงมือได้รวบรัด น่าจะพลิกสถานการณ์ ยึดแผ่นดินกลับคืนมาได้อย่างวีรบุรุษสงคราม”
คนคลุมหน้าร่างสูงในชุดพ่อค้าเร่ อีกข้างหนึ่ง เพียงนั่งในตำแหน่งถัดจากเภาเจ๋ง อดีตเจ้าอาวาส แสดงว่าตำแหน่งไม่ต่ำต้อยเลย กล่าวบ้าง “ถึงแม้โจรเฒ่าจะเร่งรีบติดตามผู้คน จนละทิ้งกองทัพใหญ่ไว้เบื้องหลัง หากแต่ข้างกายมัน ยังมีสุมาอี้ แฮหัวตุ้น และเคาทู กับกองทหารอีกสิบหมื่น ประกบติดอย่างใกล้ชิด อย่างไรก็ยังไม่อาจประมาทเด็ดขาด”
เพียงฟังข้อความท่อนนี้ ลกซุนกับเหยี่ยวดำก็หันมาสบตากัน ขยับปากบอกใบ้ตรงกัน ที่แท้ อสูรร้ายเอย โจรเฒ่าเอย ที่พวกนี้หมายถึง ก็คือ โจโฉ ที่กำลังเร่งรีบตามล่ากองทัพของนางโจรฟ้าเหลืองลงมาทางใต้นั่นเอง
ถึงคราวที่คนคลุมหน้าในชุดคหบดี ซึ่งนั่งถัดจากเจ้าอาวาสบ้อคง กล่าวด้วยน้ำเสียงแหบพร่าขึ้นบ้าง “สุมาอี้นั้น มิใช่ปัญหา เมื่อถึงเวลาสำคัญ ท่านหัวหน้าใหญ่บังเต๊กกงสั่งความลงมา มันย่อมมิอาจไม่ทำตามแผนการของพวกเรา แต่ก่อน ความผิดพลาดหลายครั้งเกิดจากขุมกำลังที่แยกเป็นเอกเทศแต่ละหน่วยดำเนินการขัดแย้งกันเอง แต่คราวนี้ ขุมกำลังทุกกลุ่มควรจะได้รับรู้สถานะของตนเอง และประสานงานตามแผนการขั้นสุดท้ายไปด้วยกัน”
คนคลุมหน้าในชุดขุนนาง นั่งถัดจากคหบดี กล่าวเสียงทุ้มหนัก “ในเมื่อเป็นเช่นที่ท่านผู้อาวุโสกล่าวว่า สถานการณ์มาถึงจุดแตกหักแล้ว ข้าก็ขอให้ทุกคนเปิดเผยตัวตนให้ชัดเจนในที่ประชุมครั้งนี้เสียเลย อีกสองสามวันก็จะถึงเวลาลงมือแล้ว จะได้ไม่มีอะไรผิดพลาดได้อีก”
ว่าแล้ว มันถึงกับปลดผ้าคลุมหน้าออก เห็นเป็นชายชราวัยประมาณหกสิบปี มีหนวดเคราเรียบร้อยบนใบหน้าที่เคร่งขรึม ดูอิ่มเอิบด้วยอำนาจและบารมี “ข้าคือ กาเซี่ยง กุนซือเงาปีศาจ สังกัดฝ่ายโจโฉแห่งรัฐบาลฮั่น เข้าร่วมขบวนการตั้งแต่ครั้งลิฉุย กุยกี ตาย และเตียวสิ้ว แสร้งพ่ายแพ้ต่อโจโฉที่ศึกเมืองอ้วนเซีย”
เหตุการณ์ศึกเมืองอ้วนเซีย เป็นกาเซี่ยง กุนซือเงาปีศาจหักหลังลิฉุย กุยกี นายเก่าทั้งสอง ด้วยการชักชวนให้เตียวสิ้ว สังหารลิฉุย กุยกีทิ้ง เปิดเมืองสวามิภักดิ์ต่อโจโฉ แต่แล้วเกิดเรื่องราวพลิกผันเพราะฝีมือจารชนสาว เตียวเฟิง (ชื่อเดิมของเตียวเสี้ยน) ที่ปลอมมาเป็นนางเจ๋าซือ ชักนำพรรคฟ้าเหลืองที่นำทัพมาโดยขุนพลม้าขาว จูล่ง และทวนไร้น้ำใจ ลิโป้ในครั้งนั้น ลอบเข้าโจมตีกลางดึก ทำให้โจโฉเกือบถึงที่ตาย สูญเสียทั้งโจงั่ง ลูกชาย ทั้งโจอันบิ๋น หลานชาย และองครักษ์ผู้ยิ่งใหญ่ ทวนวชิระ เตียนอุยไปในคราวเดียว (รายละเอียดศึกเมืองอ้วนเซีย ปรากฏอยู่ในภาค 1)
ลกซุนเบิ่งตาโตที่กุนซืออันดับหนึ่งในแผ่นดิน คนที่โจโฉไว้วางใจที่สุด ถึงกับเป็นพวกเดียวกันกับขุมกำลังลับกลุ่มนี้ แต่ยังไม่เท่ากับเหยี่ยวดำที่รับรู้เบื้องลึกเบื้องหลังของบุคคลผู้นี้ยิ่งกว่า เพราะกาเซี่ยง ก็คือ กระตั้ว อันดับห้าแห่งหน่วยปักษาสวรรค์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการเมืองที่สุดในกลุ่มวิหคที่หลงเหลืออยู่
จะว่าไปแล้ว การที่พวกมันสองคนแอบติดตามมาถึงอารามแห่งนี้ได้ ก็เป็นฝีมือการวางแผนของกาเซี่ยงนี่เอง หรือว่า นี่คือแผนซ้อนแผนที่กาเซี่ยงต้องการเปิดโปงโฉมหน้าบุคคลสำคัญในขุมกำลังแห่งนี้ให้พวกมันได้รับรู้ได้พร้อมๆกัน มันยังมุ่งหวังไปในทางบวกต่อพรรคพวกเดียวกัน มิเช่นนั้น ก็จะกลายเป็นการก้าวเดินเข้าสู่ประตูนรกไปพร้อมกันทั้งสองคนเสียแล้ว
เหตุการณ์นกกระสา-อ้วนเสี้ยว คนทรยศคนแรกของกลุ่ม ล่อลวง ผู้วิเศษนกกระเรียน กับตัวมัน เข้าไปติดกับดัก จนอันดับสองแห่งหน่วยปักษาสวรรค์ โดนสังหาร ตัวมันโดนทำร้ายบาดเจ็บปางตาย ในกระโจมแม่ทัพเมื่อหลายปีก่อน แว่บขึ้นมาในความคิดคำนึงของเหยี่ยวดำอีกครั้ง
ยามนี้ มันได้แต่เพ่งมองท่าทีของกระตั้ว-กาเซี่ยงอย่างใจจดจ่อ ค่อยๆหยิบอาวุธลับมาถือไว้ในมือ เพียงแต่ฝ่ายตรงข้ามคิดจะเปิดโปงร่องรอยพวกมัน เห็นที หน้าผากของกระตั้วก็คงจะเกิดรูโพรงแล้ว
คนคลุมหน้าร่างเล็กในชุดบัณฑิต รีบตอบสนองต่อกาเซี่ยงในฐานะผู้ด้อยอาวุโสกว่า “ข้าพเจ้า เอียวสิ้ว กุนซือคู่ใจของโจสิด เป็นทายาทที่รอดร่างแหของท่านน้าอ้วนเสี้ยว อ้วนสุด ผู้เป็นขบถต่อแผ่นดิน เพิ่งเข้าสังกัดจากการชักจูงของท่านกาเซี่ยง เมื่อก่อนจะเกิดเหตุการณ์ม้าเท้งปลอมแปลงเป็นโจโฉ เมื่อไม่นานเอง”
เอียวสิ้วด้อยอาวุโสเกือบจะที่สุดในวงสนทนา อีกทั้งเป็นกาเซี่ยงชักจูงเข้าสังกัด จึงโอนอ่อนตามคำเสนอของผู้มีพระคุณในทันที
บัณฑิตหน้าใส ไม่ได้ปิดบังใบหน้าอยู่แล้ว หากแต่ไม่เป็นที่รู้จักอยู่ดี จึงกล่าวบ้าง “ข้าพเจ้า ตันเซ็ก สังกัดท่านเล่าเจี้ยง เป็นบุตรของตันหลิม หลานของท่านลุงตันก๋ง ผู้เฒ่าทั้งสองที่จริงล้วนเป็นสายตรงของท่านบังเต๊กกงที่ส่งให้มาร่วมงานกับเครือข่ายสุมาตั้งแต่แรกเริ่ม หากแต่ท่านทำหน้าที่เป็นสายลับสองหน้า เข้ากับอ้วนเสี้ยว ลิโป้ และโจโฉ เนิ่นนาน จนเครือข่ายสุมาโดนแทรกซึมเสียหาย สุมาเต๊กโชตายไปตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ได้”
คาดไม่ถึงว่า นอกจากบังทองที่เป็นหลานของบังเต๊กกงอย่างเปิดเผยแล้ว ยังมีตันก๋ง ตันหลิม ลูกสมุนเก่าแก่ของเครือข่ายสุมา ที่เป็นสายตรงของบังเต๊กกงในทางลับด้วย แสดงว่า ตันฮกเอง ก็ย่อมเป็นพวกพ้องเดียวกัน สุมาเต๊กโชถึงกับปล่อยให้สองในห้าทายาทมังกร เป็นพวกของขุมกำลังลับนี้ไปได้โดยไม่ทันรู้ตัว
ลำดับถัดมา คนคลุมหน้าร่างสูงในชุดพ่อค้าถอดหน้ากากออกบ้าง “ตันฮก กุนซือกิเลนพิสดาร ปัจจุบันไร้สังกัด บุตรของตันก๋ง มีศักดิ์เป็นพี่ชายของตันเซ็ก เพิ่งรับรู้สถานะที่แท้จริงจากปากของบิดาก่อนตาย เมื่อครั้งที่เกิดขบวนการต่อต้านทรราชย์ถล่มปราสาทนกยูงที่ผ่านมา”
นัยน์ตาของลกซุนกระจ่างวูบ ศิษย์พี่คนที่สอง บุตรชายของตันก๋ง ศัตรูผู้ล้างตระกูลของตนเอง ร่วมกับโจโฉ ก็มาปรากฏตัวตรงหน้า นับว่า คู่แค้นพบกันในทางแคบ จริงๆ แต่ความได้เปรียบของมันคือ ฝ่ายตรงข้ามยังไม่ล่วงรู้สถานะที่แท้จริงของตนเอง และเป็นตัวมันที่สังหารตันก๋งไปกับมือที่ปราสาทนกยูงครั้งนั้น
คนคลุมหน้าเปิดเผยไปเกือบหมดสิ้น หลงเหลือเพียงคหบดีที่อยู่ข้างกายบ้อคง เล่าเจี้ยง กับคนคลุมหน้าในชุดนายทหารเท่านั้น เล่าเจี้ยงจึงพยักหน้าเชิงอนุญาตให้อีกครั้ง คนคลุมหน้าในชุดคหบดีจึงปลดหน้ากากลง “เราผู้เฒ่าคือเตียวเจียวแห่งกังตั๋ง ดาวนักปราชญ์แห่งขุมกำลังสัตตดารา หนึ่งในสามผู้อาวุโสพรรคฟ้าเหลือง ขึ้นตรงต่อท่านบังเต๊กกงมาตั้งแต่แรกเริ่มแล้ว”
ครั้งนี้ ไม่เพียงลกซุน เหยี่ยวดำ ที่คาดไม่ถึง แม้แต่คนในห้องด้วยกันเอง ยกเว้นบ้อคง-เล่าเจี้ยง กับเภาเจ๋ง อดีตเจ้าอาวาส ก็ตกตะลึงกันถ้วนหน้า เสาหลักกังตั๋ง เตียวเจียว เสนาบดีคนสำคัญที่ถนอมตัวดั่งบุปผาที่เปราะบาง อ่อนด้อย ถึงกับเป็นกุนซือหลักให้กับพวกบังเต๊กกงมาตั้งแต่ต้น
เตียวเจียว หยุดเล็กน้อย ค่อยกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “ท่านบังเต๊กกงได้รับประสบการณ์พิสดารในขณะที่เดินทางไปสำรวจดินแดนไกลโพ้นนอกด่าน จึงก่อตั้งนิกายแสงจรัสขึ้นเอง เพื่อสร้างสันติสุขให้กับแผ่นดิน โดยหวังจะล้มล้างฮ่องเต้อ่อนแอ เลนเต้-เล่าหลิง (พระนามเดิม) สร้างสถานการณ์ผ่านผู้วิเศษเตียวก๊กสามพี่น้อง ก่อตั้งพรรคฟ้าเหลือง สร้างความปั่นป่วนวุ่นวาย เพื่อให้ผลัดเปลี่ยนแผ่นดิน แต่เกิดความผิดพลาด เตียวก๊กทั้งสามพี่น้องตายอย่างกระทันหัน พรรคฟ้าเหลืองล่มสลาย ทำให้ขุมกำลังเปลี่ยนแปลง เกิดทรราชย์ตั๋งโต๊ะ ลิโป้ ครองอำนาจ จนแผ่นดินแบ่งแยกไปหลายส่วน เจ้านครต่างก็ตั้งตนเป็นใหญ่เสียเอง จนไม่อาจควบคุมสถานการณ์เอาไว้ได้
หมายเหตุ นิกายแสงจรัส (แผลงเป็น รู้แจ้ง - เม้งก่า) ที่จริง ได้รับอิทธิพลมาจากลัทธิมานิ Manichaeism ซึ่งเป็นสาขาหนึ่งในศาสนาบูชาไฟ Zoroastrianism ที่แพร่หลายในอาณาจักรเปอร์เซีย (ปัจจุบันคือประเทศอิหร่าน) ในช่วงพุทธศตวรรษที่แปด นิกายนี้ถูกอ้างอิงว่ามีบทบาททางการเมือง ต่อต้านอำนาจรัฐอยู่บ่อยครั้ง และภายหลัง จากนิกายแสงจรัส (เม้งก่า) จึงถูกเรียกเชิงล้อเลียนเป็นนิกายมาร (ม้อก่า)
เบื้องแรก ท่านบังเต๊กกงไม่ต้องการใช้กำลังรุนแรงตอบโต้ไปรอบด้านตามแนวคิดที่ตนเองศรัทธา ทั้งยังคงมีขุมกำลังอื่นๆในกำมือ จึงอาศัยเวลาในการซ่องสุมกำลัง ค่อยๆผลักดันให้ตระกูลอ้วนยึดครองอำนาจด้านเหนือ ตระกูลซุนยึดครองอำนาจด้านใต้ จนสำเร็จ อีกทั้งยังมีขุมกำลังสัตตดารา เครือข่ายสุมา และกองทัพธรรมที่นี้ เป็นกองกำลังลับอยู่ในมืออีกด้วย รอจังหวะที่จะรวบรวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่ง
แต่ทั้งหมดนั้น ถูกจัดสร้างในรูปแบบ แบ่งแยกแล้วปกครอง ต่างฝ่ายต่างดำเนินการไปสู่เป้าหมายเดียวกัน โดยไม่รู้ว่าเป็นรากเหง้าเดียวกัน เลยเกิดปัญหาขึ้นในภายหลัง ขุมกำลังในมือกลับลงมือฆ่าฟันบั่นทอนกันเอง เช่น อ้วนเสี้ยวกับเครือข่ายสุมา ซุนเกี๋ยนกับขุมกำลังสัตตดารา ในขณะที่ จู่ๆ โจโฉกลับปรากฏตัวขึ้นมาสอดแทรก ฝ่ามรสุมการเมือง จนยึดอำนาจเมืองหลวง และรวบรวมแผ่นดินฮั่นไปได้อย่างรวดเร็ว
ความสูญเสียของบุคคลสำคัญของนิกายแสงจรัส ยังเกิดขึ้นต่อเนื่อง ท่านเล่าเปียวเอย สุมาเต๊กโชเอย จิวยี่เอย ตันก๋งเอย กระทั่งล่าสุด สูญเสียบังทองไปอีกคน และเมืองหลวงเองยังเกือบถูกม้าเท้งปลอมตัวชุบมือเปิบ ชิงอำนาจในมือโจโฉไปเสียด้วย ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริง ก็คงต้องวุ่นวายไปอีกนานแล้ว
ท่านบังเต๊กกงจึงตัดสินใจ อาศัยจังหวะที่กลุ่มการเมืองเหลือเพียงสามเส้า โจโฉ เล่าปี่ ซุนกวน ปรับเปลี่ยนแผนการจากตั้งรับเป็นรุกคืบ ชิงลงมือสังหารโจโฉ รวบรวมกำลังที่เหลือ บุกจู่โจมเข้ายึดอำนาจคืนจากเหี้ยนเต้-เล่าเหียบโดยตรง แล้วค่อยจัดการกับเล่าปี่ ซุนกวนให้กลับคืนเป็นหนึ่งเดียว”
“เมื่อเป็นเช่นนี้ ใครกันหรือคือบังเต๊กกง” คนคลุมหน้าในชุดนายทหารอดมิได้ ต้องสอดแทรกขึ้น พลางเหลียวมองไปทางบ้อคง-เล่าเจี้ยง ใช่สิ ใครกันที่อยู่เหนือเล่าเจี้ยง ผู้เป็นเชื้อพระวงศ์ลำดับสูงได้อีก
บ้อคง-เล่าเจี้ยงขบคิดอยู่ครู่ใหญ่ สบตากันกับเภาเจ๋ง ค่อยกล่าวตอบ “ยังไม่ถึงเวลาอันสมควร ท่านบังเต๊กกงยังไม่พร้อมจะเปิดเผยโฉมหน้าให้ทราบ”
กาเซี่ยงยังคงสนใจคนคลุมหน้าคนสุดท้าย จึงกล่าวเสริมขึ้น “เอาเถิด คนอื่นๆก็เปิดเผยตัวตนกันหมดแล้ว คงมีแต่ท่านเท่านั้น เชิญเถอะ”
คนคลุมหน้าในชุดนายทหารจึงจำยอมปลดหน้ากากออกอย่างช้าๆ “สุมาอี้ กุนซือเต่าสมถะ ผู้นำเครือข่ายสุมาคนปัจจุบัน”
ทันใดนั้น เกิดความเคลื่อนไหววูบใหญ่ ตันฮกที่สงบนิ่งมานาน พลันทะยานเข้าใส่สุมาอี้ ผู้เป็นเสมือนศัตรูผู้ฆ่าบิดาตนเองในทันที เพื่อชิงความได้เปรียบ แต่ยังไม่ทันเห็นสุมาอี้เคลื่อนไหวใดๆ ตันฮกเองกลับล้มกลิ้งไปกับพื้น พร้อมกับความเจ็บปวดที่ท้องน้อย ยังดีที่เป็นเพียงบาดเจ็บแค่ผิวกายเท่านั้น ร้องโอดโอยชั่วครู่ก็ลุกขึ้นมาได้เอง
แม้ว่าในห้องโถงใหญ่มีผู้คนมากมาย แต่มีไม่กี่คนเท่านั้นที่ทันเห็นเภาเจ๋งขยับฝ่ามือขัดขวางแล้วกลับคืนสู่ท่วงท่าเดิมอย่างรวดเร็ว แสดงว่า พลังฝีมือของอดีตเจ้าอาวาสผู้นี้ต้องสูงส่งมากแล้ว จึงสามารถโค่นล้มกิเลนพิสดารได้ในกระบวนท่าเดียว
คาดไม่ถึง หลวงจีนชื่อดังที่ตระเวนไปทั่วแผ่นดินมานาน ทุ่มเทชีวิตวางรากฐานใหม่ให้กับศาสนาพุทธนั้น ถึงกับเป็นยอดฝีมืองำประกาย สามารถจัดการกับคนระดับทายาทมังกรได้ในพริบตา ทอดสายตาทั่วแผ่นดิน น้อยคนจะสามารถทำได้รวบรัดเช่นนี้
บ้อคง-เล่าเจี้ยงกล่าวสำทับในทันที “ท่านอาเภาเจ๋งซ่อนกายฝีกวิชาประจำตระกูลมาหลายสิบปี ในขณะที่คนอื่นๆมัวแต่วุ่นวายสร้างกองทัพ ปกครองดินแดน ฝีมือของท่านจึงก้าวหน้าขึ้นยิ่งนัก” แล้วค่อยหันมากล่าวเตือนต่อตันฮก “พวกเรายังต้องร่วมมือกันเพื่อสถานการณ์ที่ยิ่งใหญ่ ห้ามมิให้ใช้อารมณ์มาเกี่ยวข้องเด็ดขาด การตายของตันก๋งที่จริงก็คือคำสั่งของม้าเท้งที่ปลอมเป็นโจโฉ มิใช่มันต้องการลงมือแต่อย่างใด”
กระตั้ว-กาเซี่ยงพอเคยได้ยินเรื่องราวของนิกายแสงจรัสมาบ้างแล้ว เพียงนึกไม่ออกว่า นิกายนี้เริ่มมาแพร่หลายในเมืองจีนตั้งแต่เมื่อใด และใครเป็นผู้ริเริ่มก่อตั้ง แต่บัดนี้ กลับกลายเป็นว่า นิกายมารได้เริ่มต้นฝังรากลงในแผ่นดินจีนตั้งแต่ยุคสมัยสามก๊กนี้แล้ว โดยบุคคลที่ยังคงเป็นปริศนาที่ชื่อ บังเต๊กกง ก่อตั้งขึ้นเพื่อปฏิวัติล้มล้างราชวงศ์ฮั่นอย่างมุ่งมั่น โดยมีพรรคฟ้าเหลืองเป็นสมาชิกกลุ่มแรกในขบวนการล้มล้างแผ่นดิน
ส่วนรัชทายาทเล่าเจี้ยงเอ่ยปากเรียกหาเภาเจ๋งเป็นท่านอาอย่างสนิทสนม ทำให้กาเซี่ยงต้องทบทวนสาแหรกราชวงศ์ฮั่นที่เคยศึกษามานาน ครั้งก่อนโน้น คนแซ่เล่าสายนี้ มีพี่น้องวัยหนุ่มฉกรรจ์สามคน คนโต เล่าเปียว หนักแน่น มากน้ำใจ โดดเด่นเรื่องวิชาการ คนรอง เล่าเอี๋ยน เจ้าความคิด ชำนาญการวางแผน สุดท้าย เล่าฉวน เป็นทั้งยอดขุนพล ที่เหี้ยมหาญแห่งราชสำนัก แต่ละคนล้วนมีชื่อเสียงเลื่องลือ สมควรได้รับตำแหน่งสูงส่ง เพื่อค้ำจุนบัลลังก์ราชวงศ์ฮั่นต่อไป
น่าเสียดาย พระเจ้าฮวนเต้ไม่ทรงโปรดสามพี่น้องกลุ่มนี้ เพราะเคยบาดหมางชิงชังอยู่กับบิดาพวกมันตั้งแต่วัยเยาว์ ถึงกับไปรับเล่าหลิง ญาติในลำดับชั้นที่ห่างออกไป เข้ามาเป็นพระราชโอรสบุญธรรม และกีดกันเชื้อพระวงศ์ทั้งสามให้ออกไปเป็นเจ้าเมืองแดนไกล กระจายกันคนละทิศละทาง
จนต่อมา เกิดการเปลี่ยนแปลงในราชสำนัก เล่าหลิง ผู้อ่อนด้อย ทะยานขึ้นเป็นกษัตริย์เลนเต้อย่างกระทันหัน ทุกสายตาจับจ้องดูท่าทีของสามพี่น้อง ไม่เห็นเล่าเปียวแห่งเกงจิ๋ว เล่าเอี๋ยนแห่งเสฉวน เคลื่อนไหวอันใด หากแต่เล่าฉวนแห่งกิจิ๋ว กลับเกิดข่าวเมาสุราล่าสัตว์ แล้วพลัดตกเหว สิ้นชีพไปอย่างน่าเสียดาย
ดังนั้น กาเซี่ยง กระตั้วการเมือง ได้แต่ถอนหายใจ รำพึงขึ้นในใจ “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง เล่าฉวนที่มีฝีมือเข้มแข็งที่สุด ยินยอมตัดทางโลก เข้าสู่เส้นทางธรรม เพื่อแอบฝึกปรือวิชาฝีมือ และสร้างกองทัพธรรมไว้อย่างลับๆตามวัดวาอารามน้อยใหญ่เหล่านี้เป็นเวลาหลายสิบปี น่านับถือความอดทนของมันยิ่งนัก”
ด้วยการแทรกซึมของเภาเจ๋ง-เล่าฉวน และแรงสนับสนุนจากคนในนิกายแสงจรัส ขุมกำลังลับนี้จึงค่อยๆซุ่มสร้างวัดม้าขาว วัดป่าน้อย และวัดอื่นๆ ปรับเปลี่ยนหลวงจีนอาวุโส สร้างเป็นกองทัพธรรม รอวันเวลาที่จะยึดครองแผ่นดินฮั่นต่อไป แต่สุดท้ายแล้ว ความน่ากลัวกลับเป็นคนที่บงการสูงสุด เหนือสามพี่น้องตระกูลเล่าอีกชั้นหนึ่ง บังเต๊กกง ผู้นำนิกายที่ยังคงเป็นปริศนา

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา