15 ก.ค. 2021 เวลา 01:29 • นิยาย เรื่องสั้น
5.4. ถอดรหัสเปิดขุมทรัพย์
บ้อคง เภาเจ๋ง แกนนำกองทัพธรรม - กุญแจขุมทรัพย์ฟ้าเหลือง
เมื่อตันฮกได้รับการตักเตือนอย่างหนักหน่วง ย่อมไม่มีใครกล้าทำการผลีผลามขึ้นอีก ฝีมือของเภาเจ๋งเพียงกระบวนท่าเดียวถึงกับสงบปากคำของเหล่าคนดังได้ทันที ทั้งหมดล้วนสงบเสงี่ยมระวังตัว ไม่อยากต้องเสียหน้าเฉกเช่นกิเลนพิสดารอีก
บ้อคง-เล่าเจี้ยงจึงโยงเข้าเรื่องสำคัญต่อ "ก่อนที่กองทัพธรรมจะเคลื่อนไหว จำเป็นต้องมีเงินทองมาใช้จ่าย จัดซื้อเสบียงและอาวุธจำนวนมาก ทรัพย์สินที่วัดต่างๆมีมากอยู่ แต่ก็ยังไม่เพียงพอ เราจึงต้องพึ่งพาขุมทรัพย์พรรคฟ้าเหลืองที่หลายคนเข้าใจว่าหายสาบสูญไปเป็นเวลานาน ที่จริงแล้ว เราเพียงกลบเกลื่อนปิดบังร่องรอยไว้โดยเจตนา เพื่อรอให้ถึงเวลาที่เหมาะสมเท่านั้น"
บ้อคงกวาดตามองทุกคน ค่อยเน้นย้ำทีละคำ "ขุมทรัพย์พรรคฟ้าเหลือง ซุกซ่อนอยู่ที่นี่ วัดป่าน้อยที่สองแห่งเขาจวนหยกสัน"
...
กาเซี่ยงรับฟัง กลับไม่รู้สึกเกินความคาดหมายด้วยความช่ำชองทางการเมือง ในเมื่อนับตามตำแหน่งที่ตั้ง วัดป่าน้อยแห่งที่สองนี้ตั้งอยู่ใกล้ใจกลางประเทศ บนภูเขาสูงชัน ด้านข้างมีแม่น้ำสายหลักไหลผ่าน จึงสะดวกต่อการเคลื่อนย้ายไปทุกทิศทาง นับตามความสำคัญ วัดนี้เป็นเพียงวัดสาขา ไม่น่าจดจำอันใด แต่กลับมีชัยภูมิคับขัน พื้นที่กว้างขวาง ผู้คนมากมาย และเภาเจ๋งผู้มีความเป็นมาลึกลับยังโยกย้ายมาประจำอยู่ด้วยตนเอง แสดงถึงความสำคัญในด้านมืดของสถานที่แห่งนี้
ทางหนึ่ง เสแสร้งตื่นตกใจให้คล้ายกันกับคนอื่นๆ ทางหนึ่งลอบกวาดตามองรายชื่อคนอุปถัมภ์ค่าใช้จ่ายรายใหญ่ที่แกะสลักบนป้ายไม้ใกล้ๆองค์พระประธาน กลับสะดุดตาชื่อล่างสุด เป็น กวนอู ผู้เป็นเจ้าเมืองเกงจิ๋วคนปัจจุบัน พอไล่เลื่อนสายตาขึ้นไปอีก เป็นชื่อไม่คุ้นเคยสิบกว่าชื่อ ค่อยปรากฏชื่อ เตียวหุย เจ้าสัวใหญ่ปะปนอยู่ด้วยในลำดับต้นๆ เพียงรองจากเล่าเปียว เจ้าเมืองเกงจิ๋ว หากไล่เรียงคร่าวๆ แสดงว่า ชื่อนี้ต้องถูกจารึกมาไม่น้อยกว่ายี่สิบสามสิบปีแล้ว หรือว่า...
...
บ้อคง-เล่าเจี้ยงกล่าวเฉลยให้พอดี "ครั้งนั้น ท่านบังเต๊กกงต้องการให้ซุกซ่อนขุมทรัพย์สำคัญ จึงสั่งการให้เตียวก๊ก ประมุขพรรคฟ้าเหลือง ร่วมมือกับเล่าเปียว เจ้าเมืองเกงจิ๋ว ซุ่มสร้างคลังลับพิสดาร โดยให้เตียวหุย ลูกบุญธรรมที่ไว้วางใจได้ แฝงตัวเป็นเศรษฐีใหญ่ออกหน้าสร้างวัดแห่งนี้ขึ้นที่นี่ โดยมีเล่าเปียว เตียวหุย ดาวร่ำรวย และเตียวสิ้ว ดาวองครักษ์ คอยเฝ้าดูแลอยู่อีกชั้นหนึ่ง จนภายหลัง ท่านเภาเจ๋งค่อยย้ายมาเป็นเจ้าอาวาส ตระเตรียมกองทัพธรรม ส่วนกุญแจทางเข้า ท่านบังเต๊กกงให้แยกเป็นสามส่วน กระจายออกไปอยู่กับคนสามคน เพื่อไม่ให้ใครเข้ามาชุบมือเปิบไปได้"
บ้อคงล้วงวัตถุชิ้นหนึ่งออกจากอกเสื้อ เป็นกำไลหยกชิ้นหนึ่ง "กุญแจชิ้นแรก กำไลหยกลายสลัก เป็นสัญลักษณ์แทนลมพัด เดิมที ฝากไว้กับเตียวเฟิง ดาวนางงาม (เฟิง-สายลม) หากแต่นางเป็นอิสตรี มีหน้าที่เป็นจารชน ทำภารกิจอยู่ภายในหมู่ศัตรูตลอดเวลา ไม่สะดวกจะเก็บติดตัว เราจึงรับขึ้นมาเก็บรักษาไว้เสียเอง และกุญแจอีกสองส่วนนั้น ก็ได้มาถึงที่นี่แล้วเช่นกัน ..."
บ้อคงเหลือบมองหน้าประตู พอดีกับที่หลวงจีนกลางคนสองคน นำพาลูกสมุนแบกถุงผ้าใหญ่สองถุงเข้ามาส่ง พร้อมกับรายงานผล "นายท่าน สิ่งของที่ต้องการมาถึงแล้ว ตลอดทางราบรื่น ไม่มีใครติดตาม"
ว่าแล้ว หลวงจีนคนซ้ายค่อยเปิดย่ามสะพายข้างเอว หยิบเอาป้ายหยกชิ้นหนึ่งออกมา และหลวงจีนคนขวาเปิดห่อผ้าทรงยาวที่สะพายอยู่ด้านหลัง ภายในที่ห่อหุ้มไว้ กลับเป็นทวนอสรพิษ อาวุธที่สร้างชื่อให้กับเตียวหุยในอดีต ออกมาส่งให้ต่อเภาเจ๋งตรวจสอบ
บ้อคงจึงกล่าวจบประโยคที่ค้างไว้ "เป็นป้ายหยกรูปก้อนเมฆ สัญลักษณ์แทนเมฆเคลื่อน และทวนอสรพิษที่มีรูปทรงคดเคี้ยว สัญลักษณ์แทนการโบยบิน นี่แหละคือ ลมพัด เมฆเคลื่อน โบยบิน สู่ฟ้า"
ปริศนา ลม - เมฆ - บิน ที่พรรคฟ้าเหลืองร่ำลือกันมาเนิ่นนาน ทุกคนเข้าใจว่า เตียวก๊กใช้หลักเต๋าตั้งชื่อให้ลูกทั้งสาม เตียวเฟิง - เตียวหยุน - เตียวหุย แต่ที่แท้ กลับเป็นรหัสลับที่บังเต๊กกงสั่งให้แยกย้ายกุญแจสามชิ้น ให้คนสามคนออกไปเก็บรักษา เพื่อรอวันก่อการใหญ่ ขึ้นสู่ฟากฟ้า กลายเป็นโอรสสวรรค์คนใหม่นี่เอง
คำกล่าวที่คล้ายล้อเล่นคล้ายจริงจัง กลับทอดเวลาเสียเนิ่นนาน ด้วยความพลิกผันเหนือความคาดหมาย จนหลายสิบปี เพิ่งมีโอกาสได้คลี่คลายความจริงเสียที
ครั้งก่อน หน่วยปักษาสวรรค์อันประกอบด้วยนางแอ่นเตียวหุย และหัวขวาน ค้นพบลายแทงขุมทรัพย์พรรคฟ้าเหลืองที่ซุกซ่อนอยู่ในทวนอสรพิษ แล้วนำไปรายงานต่ออินทรีมือเหล็ก แต่ไม่มีใครสามารถตีความรหัสลับของลายแทงได้ เพราะบนลายแทงไม่ได้ระบุตำแหน่งของขุมทรัพย์ มีเพียงภาพขีดเขียนวงกลมใหญ่เล็ก และคำสามคำด้านบน เฟิง - หยุน - เฟย (สายลม เมฆา โบยบิน) พร้อมกับวลีสั้นๆ “เสียสละทวน รับขุมทรัพย์ อาลัยทวน ล้วนสูญสิ้น”
หัวขวานคิดว่า นี่เป็นเพียงคำอธิบายการเปิดกลไกของขุมทรัพย์ มิใช่ลายแทงที่บ่งบอกตำแหน่งแต่อย่างใด แต่ต้องมีความเกี่ยวข้องกับ เตียวเฟิง เตียวหยุน และเตียวหุย อย่างใดอย่างหนึ่ง นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ขุมทรัพย์ฟ้าเหลือง ยังคงเป็นปริศนาคาใจเรื่อยมา
กระตั้ว-กาเซี่ยง เป็นสมาชิกของหน่วยปักษาสวรรค์ย่อมรับรู้ข้อมูลเรื่องนี้มาแล้วเช่นกัน เมื่อเห็นเป็นโอกาสอันดีในการคลี่คลายปริศนาเรื่องขุมทรัพย์ จึงรีบเสริมต่อทันที “นายท่าน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ คงต้องรบกวนให้ท่านทดลองใช้กุญแจทั้งสาม เปิดกลไกประตูขุมทรัพย์เสียในทันที ดูว่า ใช้ได้จริงหรือไม่”
บ้อคงพยักหน้าเชิงเห็นด้วย พลางสั่งการให้หลวงจีนลูกสมุน แจ้งต่อผู้คน หากไม่ได้เรียกหา ห้ามคนอื่นขึ้นมาในเขตอารามอีก ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์ หรือ เสียงอึกทึกใดๆ จนหลงเหลือเพียงระดับชั้นหัวหน้าของนิกายแสงจรัสในอาราม ค่อยเดินตรงไปยังฐานของพระพุทธรูปที่เป็นองค์ประธานด้านซ้าย
บ้อคงหมุนเลื่อนป้ายชื่อองค์พระไปด้านข้าง เห็นเป็นร่องวงกลมเล็กๆ จึงกดกำไลหยกชิ้นแรกลงไปในร่องจนมิดร่อง แล้วค่อยเคลื่อนไหวเช่นเดียวกันกับองค์พระด้านขวา ภายใต้ป้ายชื่อเป็นร่องสี่เหลี่ยม ภายในมีร่องรอยประหลาดตา แต่พอวางป้ายหยกรูปก้อนเมฆลงไป กลับแนบสนิทพอดี จนป้ายหยกกลืนเป็นเนื้อเดียวไปกับร่องนั้นเช่นกัน เกิดเป็นเสียงคล้ายกลไกเคลื่อนตัวดังขึ้นเบาๆอยู่ภายใน
สุดท้าย บ้อคงจึงตรงไปยังองค์พระตรงกลาง เลื่อนป้ายชื่อองค์พระออก เห็นเป็นร่องลึกทรงยาวคล้ายรูกุญแจใหญ่ จึงใช้ทวนอสรพิษ ประหนึ่งกุญแจขนาดใหญ่สอดเข้าไปจนสุดปลาย และหมุนด้ามทวนไปอย่างแช่มช้าทีละรอบๆ ปลายทวนที่คดเคี้ยวคล้ายกำลังผลักดันกลไกภายในให้เคลื่อนตามกัน
ทันใดนั้น เกิดเสียงเอี๊ยดอ๊าดดังลั่นเป็นทอดๆต่อเนื่องไปทางด้านล่าง พื้นห้องค่อยๆเลื่อนยุบตัวลง เกิดเป็นช่องว่างกว้างใหญ่ เริ่มจากใจกลางองค์พระเลื่อนไล่วนไปรอบๆห้อง ลึกลงไป ทำให้คนที่ร่วมประชุมต้องพากันไปยืนเบียดตัวอยู่ด้านข้างของตัวห้อง เพื่อดูความเคลื่อนไหวต่อไป
และแล้วตรงใจกลางห้องโถงใหญ่นั้น ค่อยๆมีโครงสร้างใหญ่เคลื่อนตัวขึ้นมาแทนที่ เกิดเป็นแท่นบูชาใหญ่ พร้อมกับรูปปั้นศิลาพร้อมฐานสูงเท่าตัวคนของสิบแปดพระอรหันต์ตามเนื้อหาทางศาสนาพุทธ จัดวางให้ตั้งซ้อนกันคล้ายกับค่ายกลใหญ่ ตั้งตระหง่านขึ้นมาแทนที่ใจกลางห้องโถง
ภาพรูปปั้นกลุ่มอรหันต์สิบแปดองค์ บ้างยืน บ้างนั่ง บ้างนอนเอนกาย พอเรียงรายเบื้องหน้าพระประธานทั้งสาม กลับดูน่าเกรงขามยิ่งนัก เสริมส่งให้พระพุทธรูปองค์ประธานดูสูงส่ง และลึกลับในคราวเดียวกัน
ผู้คนที่มาร่วมประชุมยังคงงุนงงกับรูปปั้นค่ายกล และแล้ว เภาเจ๋งจึงค่อยๆเดินไปใกล้รูปปั้นศิลารูปแรก สำรวจดูอยู่ครู่หนึ่ง แล้วค่อยนับตำแหน่งรูปปั้นตามซ้ายครั้งขวาหน จนถึงกับเดินหน้า ถอยหลังจนวุ่นวายสับสน แต่ไม่มีใครกล้าส่งเสียงให้เสียสมาธิ เพราะล้วนเข้าใจว่า เภาเจ๋งกำลังนับตำแหน่งตามรหัสที่สำคัญยิ่ง
มีเพียงกาเซี่ยงในอาราม และเหยี่ยวดำที่นอกหน้าต่าง ที่พอจะคาดเดาได้แล้วว่า ที่แท้ วงกลมใหญ่เล็กในรูปภาพนั้น ก็คือ ตำแหน่งของรูปปั้น 18 อรหันต์นี่เอง หากมีใบลายแทงนั้นอยู่ในมือ ก็คงจะทราบเช่นกันว่า เภาเจ๋งกำลังค้นหารูปปั้นตัวใดอยู่
ในที่สุด เภาเจ๋ง จึงหยุดยืนที่หน้าตำแหน่งรูปปั้นพระอรหันต์ที่กำลังชี้นิ้วขึ้นสู่ท้องฟ้า พลางเลื่อนนิ้วไปกดลงตรงใจกลางของเครื่องหมายสวัสดิกะที่กลางทรวงอกของรูปปั้นนั้นในทันที ทำให้เกิดเสียงเปรี๊ยะดังขึ้นเบาๆ พร้อมกับเสียงกลไกดังกระหึ่มอยู่เบื้องล่างอีกยาวนาน และแล้ว แผ่นเคลือบศิลาที่คลุมพระอรหันต์ก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆ ร่วงกระจายลงกับพื้น เปิดให้เห็นภายใน เป็นวัตถุสีเหลืองอร่ามสวยงาม ตัดกับแสงอาทิตย์ยามเย็นที่สาดส่องเข้ามาทางประตูใหญ่ของอารามพอดี เป็นทองคำเนื้อบริสุทธิ์
“ที่แท้ ขุมทรัพย์พรรคฟ้าเหลือง ก็คือ รูปหล่อสิบแปดอรหันต์ทองคำนี่เอง” เอียวสิ้วโพล่งขึ้น ทำลายความเงียบสงบ
“ยังมี ที่ใต้แท่นฐานของพระประธานเอง ก็ยังบรรจุเพชรพลอยอัญมณีอีกเป็นจำนวนมาก เพียงพอต่อการใช้จ่ายสร้างกองทัพอันเกรียงไกรได้แล้ว” บ้อคงเสริมขึ้น “แต่หากกดปุ่มกลไกรูปปั้นเคลือบองค์แรกผิดพลาด จะกระตุ้นให้เกิดระเบิดทำลายล้างทั้งขุมทรัพย์ และอารามแห่งนี้ไปหมดสิ้นในคราวเดียว เพื่อป้องกันไม่ให้สมบัติตกไปอยู่กับฝ่ายอื่น นี่จึงนับว่าเป็นขุมทรัพย์ที่สมบูรณ์แบบที่สุดแห่งหนึ่ง”
ในยุคสมัยโบราณนั้น การเคลื่อนย้ายทรัพย์สินเงินทองมาซุกซ่อนย่อมไม่สะดวกง่ายดายนัก โดยเฉพาะช่วงที่มีศึกสงครามบ่อยครั้ง แต่หากอ้างเหตุก่อสร้างวัดวาอาราม ค่อยๆเคลื่อนย้ายทองคำและอัญมณีมีค่ามาทีละเล็กทีละน้อย จึงไม่เป็นที่ผิดสังเกตอันใด ส่วนการขึ้นรูปหล่อทองคำขนาดเท่าตัวคน กลับไม่ยากเย็นเกินไป เพียงใช้เตาเผาหลอมโลหะมีค่าแล้วขึ้นเป็นรูปทรงใหม่ และยิ่งเมื่อปั้นเคลือบทับด้วยศิลาอีกชั้น จึงไม่เป็นที่สะดุดสายตาผู้คนแต่อย่างใด ด้วยมูลค่าทองคำ และอัญมณีที่มากมายมหาศาล เพียงพอต่อการเริ่มต้นสร้างกองทัพขนาดย่อมๆได้ไม่ยากแล้ว
ส่วนกุญแจสามส่วน นับเป็นการสร้างสรรค์ที่ซับซ้อน จนยากยิ่งจะปลอมแปลง หรือรวบรวมเข้ามาได้โดยง่าย สุดท้าย ยังซุกซ่อนไว้ด้วยกลไกกับดักระเบิด ซึ่งมีแต่เจ้าของขุมทรัพย์เท่านั้น จึงจะจัดการได้ จึงเป็นไม้ตายที่ยากจะคาดเดา และโหดเหี้ยมอย่างที่สุด นี่ต้องนับว่าเป็นฝีมือการจัดการที่เยี่ยมยอดของเตียวก๊ก ประมุขพรรคฟ้าเหลือง และเตียวหุย ผู้ดูแลการก่อสร้างกลไกโดยแท้
หมายเหตุ เตียวล่อ หรือ นกหัวขวาน ผู้ออกความคิดตัวจริง แอบอาสาเตียวหุย มาลงมือก่อสร้างออกแบบกลไก โดยประมุขเตียวก๊กก็ไม่ทราบเรื่อง ความลับนี้จึงตกตายไปพร้อมกับเตียวหุย ดาวร่ำรวยตัวจริงแล้ว
บ้อคงยังระงับความเบิกบานใจไม่ได้ นึกยินดีที่ค้นพบขุมทรัพย์โบราณได้โดยง่ายดาย เภาเจ๋งจึงพยักหน้าชวนให้หลวงจีนกลางคนผู้มาใหม่ทั้งสองแยกย้ายกันกดปุ่มกลไกที่เหลือ ทำลายศิลาเคลือบจนเกลื่อนกลาดพื้นห้อง เปิดให้เห็นพระอรหันต์ทองคำอันสวยงามทั้งสิบแปดรูป จนเกิดเป็นแสงสะท้อนสว่างอร่ามไปทั่วทั้งอาราม
“เอ๊ะ พระอรหันต์ที่ถือห่อผ้าอยู่ใจกลางนี้ คล้ายยังสะพายห่อผ้าเรียวยาวอันใดอยู่ที่ด้านหลังด้วย” เอียวสิ้วตาไว ไม่แพ้กับฝีปาก จึงชี้มือไปยังห่อผ้าสีเหลืองซีดที่กลืนไปกับเนื้อทองคำของรูปหล่อ หากมิใช่ตำแหน่งมุมมองที่จำเพาะ ก็คงไม่ทันพบเห็นแล้ว
กาเซี่ยงที่บังเอิญอยู่ใกล้สุด จึงก้าวเดินฝ่าค่ายกลอรหันต์ไปหยิบห่อผ้าด้วยตนเอง แต่ด้วยความพลั้งเผลอหรือแก่ชราแล้ว จึงคล้ายสะดุดเข้ากับเศษศิลาเคลือบที่หล่นกระจายตามพื้นห้อง จนทรุดตัวลงใกล้กับรูปหล่ออรหันต์ที่นั่งขัดสมาธิถือเจดีย์คราหนึ่ง แล้วค่อยยันตัวเปะปะอยู่กับรูปหล่อข้างกาย จนลุกขึ้นไปถึงห่อผ้า หากแต่คล้ายห่อผ้าจะหนักกว่าที่คาด กาเซี่ยงจึงยื้อยุดอยู่อีกครู่ใหญ่ จนเอียวสิ้วต้องเดินเข้าไปช่วยอีกแรง ค่อยหอบหิ้วห่อผ้าออกมาได้สำเร็จ
เมื่อทั้งสองช่วยกันประคองห่อผ้าส่งให้กับบ้อคง ผู้เป็นเสมือนหัวหน้าสูงสุดในที่นี้ บ้อคงก็เหมือนไม่ทราบเรื่องห่อผ้านี้มาก่อนเช่นกัน จึงเปิดออกดู เห็นเป็นดาบใหญ่ไร้ฝักสีดำสนิทเล่มหนึ่ง ตัวดาบหนาใหญ่กว่าดาบปกติ และดูทั้งหนาหนักทั้งเทอะทะ แต่กลับมันวาว สะท้อนกับแสงอาทิตย์ได้ดี
บ้อคงส่งสายตาเชิงไต่ถามกับเภาเจ๋ง แต่ก็เหมือนทั้งสองจะไม่ล่วงรู้เรื่องราวนี้ว่าเป็นผู้ใดก่อกวน หรือสอดแทรกเข้ามาในขุมทรัพย์นี้ จึงคาดเดาว่า เตียวก๊กอาจจะหลงลืมแจ้งเรื่องนี้ให้ทราบเช่นกัน
เภาเจ๋ง หยิบดาบขึ้นมาพิจารณา พลางกล่าว “ดาบเล่มนี้ หยาบหนากว่าปกติ แต่ไม่พบเห็นว่า จะมีคุณค่าสำคัญอันใด เกรงว่าจะเป็นขุนพลนายทหารในสังกัดฟ้าเหลือง หลงลืมเอาไว้ ตอนก่อสร้างกลไกขุมทรัพย์เหล่านี้แล้ว กระมัง”
ต่างคนต่างมองหน้ากันไปมา ในเมื่อไม่สามารถให้คำตอบที่ดีกว่าได้ จึงเออออตามกัน เภาเจ๋งจึงวางดาบใหญ่ที่หนักอึ้งพิงกับรูปหล่ออรหันต์ข้างๆตัวไว้ก่อน รอไว้ค่อยสะสางต่อในภายหลัง
กระตั้ว-กาเซี่ยง ที่จริง จับตามองดูความสัมพันธ์ของผู้คนโดยตลอด เปลือกนอก คล้ายทุกอย่างขึ้นอยู่กับบ้อคงว่ากล่าว หากแต่ความเป็นจริงแล้ว กลับเป็นเภาเจ๋งที่คอยตัดสินใจในเรื่องราว แสดงว่า คนที่คุมสถานการณ์ที่แท้จริงคือ หลวงจีนอาวุโส เภาเจ๋ง
เมื่อจับพิรุธได้เช่นนี้ ก็ยังเป็นไปได้ว่า คนทั้งสองอาจซุกซ่อนเลศนัยไว้ในคำบอกเล่าทั้งหมดในรูปแบบของ “กึ่งเท็จกึ่งจริง” บังเต๊กกงอาจจะมิใช่หัวหน้าใหญ่ที่แท้จริง เพียงถูกหยิบยกมาวางเป็นตัวล่อบังหน้า คนทั้งสองจึงเน้นย้ำบ่อยครั้งว่า บังเต๊กกงคือ คนวางแผนจัดการเรื่องราวทั้งหมด
ยามนี้ กระตั้ว-กาเซี่ยงย่อมคาดเดาว่า พวกเหยี่ยวดำสมควรซุกซ่อนตัวอยู่ในมุมมืดจุดใดจุดหนึ่ง รับฟังการเปิดโปงเรื่องราวของนิกายแสงจรัสไปพร้อมกัน ดังนั้น มันจึงได้แต่กระตุ้นความสงสัยให้คลี่คลายต่อไปให้ได้มากที่สุด
 
“พูดถึงเรื่องห่อผ้า ท่านหลวงจีนทั้งสองนำถุงผ้าอันใดกลับมาด้วยหรือ ท่านบ้อคง” กาเซี่ยงฉวยจังหวะเปลี่ยนเรื่องต่อไป ชี้ไปทางถุงผ้าที่ถูกวางไว้เนิ่นนาน ทำให้บ้อคงนึกเรื่องสำคัญอีกเรื่องขึ้นมาได้ จึงประกาศดังๆอีกครั้งด้วยความภาคภูมิใจ
“ครั้งนี้ เพื่อเป็นการเซ่นสังเวยให้กับประมุขเตียวผู้จากไป เราจึงได้สั่งการให้นำตัวการแห่งความยุ่งเหยิง ความเปลี่ยนแปลงที่ทำลายแผนการทั้งหมดกลับมาด้วยเช่นกัน คนทรยศที่เป็นต้นเหตุการตายของเตียวก๊ก และการล่มสลายของพรรคฟ้าเหลือง เตียวหุย ดาวร่ำรวย" บ้อคง เล่าเจี้ยงส่งสัญญาณให้หลวงจีนทั้งสองเปิดถุงผ้าใหญ่ หวังว่า จะพบกับคนทรยศที่กลับกลายเป็น ขุนพลฟ้าคำราม เตียวหุยผู้เลื่องชื่อ
แต่แล้ว บุคคลที่ถูกมัดมือมัดเท้าอยู่นั้น กลับกลายเป็นหญิงสาวหน้าตาสวยงาม โครงร่างอวบใหญ่ อยู่ในชุดนายทหาร นอนแน่นิ่งอยู่แทน ตัวการสำคัญในอารามใหญ่ล้วนตะลึงงัน ขุนพลหน้าดำกลับกลายเป็นสาวงามไปได้อย่างไร แสดงให้เห็นว่า แผนการใหญ่อาจจะช่องโหว่ความผิดพลาดเกิดขึ้นแล้ว
ตัวการทั้งหลายต่างมองหน้ากันไปมา งานใหญ่กำลังจะเกิดขึ้นเร็ววันนี้ แต่ช่องโหว่ที่ปรากฏจะส่งผลกระทบต่อเนื่องต่อพวกมันหนักหนาสาหัสเพียงไรหนอ
บ้อคง-เล่าเจี้ยง พบเห็นเรื่องไม่คาดคิดกระทันหัน จึงรู้สึกเสียหน้าและกดดันยิ่งนัก สุดจะยับยั้งความโกรธความอับอาย จึงอดมิได้ที่จะตวาดใส่หลวงจีนกลางคนทั้งสองที่มีสถานะเป็นศิษย์รุ่นพี่ด้วยชื่อเดิมก่อนออกบวช "ลิฉุย กุยกี นี่มันหมายความว่ากระไร"
คาดไม่ถึง หลวงจีนกลางคนทั้งสองถึงกับเป็นอดีตขุนพลคู่ใจของตั๋งโต๊ะที่เคยยึดครองแผ่นดินมาช่วงหนึ่ง แต่ถูกกระแสการเมืองชักนำให้เผชิญหน้ากับจอมทัพคนสำคัญอย่างโจโฉ และพ่ายแพ้จนหมดรูป คำร่ำลือกล่าวว่า เป็นกาเซี่ยงที่เสนอให้เตียวสิ้ว เจ้าเมืองอ้วนเซีย วางยาสังหารไปแล้ว แต่เรื่องจริงคงจะมิใช่เช่นนั้นเสียแล้ว
ลิฉุย กุยกี ปกติ เซื่องซึม ปัญญาน้อยอยู่แล้ว เมื่อโดนตวาดใส่ ก็หน้าซีดปากสั่น ระล่ำระลักแก้ตัว “พวกเราร่วมมือกับขุนพลเบ้งตัด ที่ปรึกษาอุยก๋วน ไส้ศึกของพวกเรา ให้ทั้งสองคนออกหน้าเชื้อเชิญเป้าหมายทั้งสองมาเลี้ยงขอบคุณ แล้ววางยาสลบลงในสุราตามแผนการ จับพวกมันใส่ถุงผ้ามากับมือ จากนั้น จึงควบคุมใส่เรือล่องแม่น้ำมา ตลอดทั้งเส้นทางก็อยู่ในสายตาของพวกเรา นี่กลับเปลี่ยนไปเป็นคนละคนได้อย่างไร"
พวกมันกล่าวไปพลางส่งสายตาให้กาเซี่ยงไปพลาง แสดงถึงความเชื่อใจที่มีต่อกุนซือเงาปีศาจอย่างเต็มเปี่ยม หวังให้ออกปากช่วยเหลือพวกมันอีกแรง
ย้อนกลับไปเหตุการณ์ที่เมืองอ้วนเซียครั้งนั้น หากมิใช่กาเซี่ยงเอ่ยปากเสนอทางรอด พวกมันก็คงจะสิ้นชื่อให้กับเตียวสิ้วไปแล้ว ก่อนที่กองทัพโจโฉจะมาถึง เตียวสิ้วก็จัดงานเลี้ยง แล้ววางยาสลบหมายจะส่งมอบพวกมันให้กับโจโฉ เฉกเช่นเดียวกันกับที่พวกมันกระทำต่อเตียวหุยในครั้งนี้
หากแต่ครั้งนั้น กาเซี่ยง กุนซือเงาปีศาจที่มาด้วยกัน กลับมีอิทธิพลต่อเตียวสิ้ว และคล้ายล่วงรู้เรื่องราวสำคัญอันใด กระซิบปรึกษาอยู่กับเตียวสิ้วอยู่นาน ค่อยยื่นข้อเสนอให้พวกมันยอมแสร้งตาย หลอกลวงผู้คน โกนหัวเป็นหลวงจีนองครักษ์ข้างกาย และช่วยฝึกฝนกองทัพธรรมให้กับเภาเจ๋ง เจ้าอาวาสวัดป่าน้อย ในนาม บ้อเมี่ย (ไร้ชื่อ) บ้ออ้วง (ไร้วาสนา) มานานหลายสิบปี กลายเป็นมือเท้าให้กับเภาเจ๋งทำงานใต้ดิน จนแทบจะลืมเลือนชื่อแซ่เดิมไปแล้วจริงๆ
กาเซี่ยงรีบประเมินสถานการณ์ สมควรช่วยเหลือบ้อเมี่ย-ลิฉุย บ้ออ้วง-กุยกี เช่นไร จึงเอ่ยปากสำทับต่อไป “รีบไปสำรวจอีกถุงหนึ่งโดยเร็ว”
ตันเซ็กขยับกายหมายจะไปเปิดปากถุงผ้าออกด้วยตนเอง แต่กลับบังเกิดเสียงหัวเราะดังก้องอยู่ด้านนอก พร้อมกับมีเงาร่างสูงใหญ่ก้าวมายืนขวางหน้าประตูอาราม บดบังแสงสุดท้ายของพระอาทิตย์ มองเห็นเป็นร่างเงามืดดำของขุนพลท่องเมฆา จูล่งในชุดรัดกุม ผู้มาใหม่รีบสั่งการดังเข้ามา "ลิฉุย กุยกี ยังไม่รีบลงมือตามแผนที่ตกลงไว้"
ไม่รอคำขานรับ เงาร่างนั้นกลับกระโดดปราดเข้าใส่กาเซี่ยง เอียวสิ้ว ที่อยู่ใกล้ประตูใหญ่ พร้อมกดฝ่ามือแผ่พลังภายในกระแทกใส่ร่างทั้งสองปลิวคว้างไปหล่นที่ริมผนัง ด้านหลังพระประธาน สลบไปในทันที
สุมาอี้ ตันฮก มีพื้นฐานด้านการวางแผนซับซ้อน ประเมินสถานการณ์แล้ว คาดเดาว่า สองหลวงจีนที่มาใหม่ คงจะร่วมมือกับจูล่ง จัดฉากทรยศต่อพวกพ้อง จึงรีบชิงลงมือสยบบ้อเมี่ย-ลิฉุย บ้ออ้วง-กุยกี ที่ยืนอยู่ใกล้ตัวเอาไว้ก่อน ค่อยว่ากล่่าวกันภายหลัง
เนื่องจากหลักวิชาของทายาทมังกรรวบรัด ดุดัน และรุนแรง ทางด้านลิฉุย กุยกี จึงแตกตื่นลนลาน จนลืมเลือนกล่าวแก้ต่างให้ตนเอง เร่งเร้าพลังฝ่ามือปกป้องชีวิตตนเองจากทายาทมังกรทั้งสอง ปล่อยให้เภาเจ๋งที่มีฝีมือสูงสุดในกลุ่ม รับมือกับขุนพลท่องเมฆา จูล่ง ผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง จึงเหลือเพียงฝ่ายบุ๋นแก่หนุ่ม เตียวเจียว ตันเซ็กยืนอารักขาบ้อคง-เล่าเจี้ยงเอาไว้ ใกล้กับรูปหล่อสิบแปดพระอรหันต์ทองคำ
ยอดฝีมือสามคู่ต่อสู้กันอย่างดุเดือดทางด้านประตูทางเข้าอาราม จนบ้อคงนึกขึ้นได้ กวาดตามองหาคนในถุงผ้าทั้งสอง กลับไม่พบเห็นผู้คน พอนึกว่าผิดท่า คิดจะตะโกนห้ามปราม คบไฟในห้องโถงใหญ่กลับดับวูบ เหลือเพียงแสงจันทร์ที่สาดส่องเข้ามา
เสียงปงดังสนั่น พร้อมกับรูปหล่ออรหันต์ทองคำทั้งสิบแปดตัวที่เริ่มขยับเขยื้อนราวกับเป็นกลไกไขลาน ทั้งเคลื่อนย้ายร่างกาย ทั้งหมุนเหวี่ยงแขนขาไปทั่วทั้งบริเวณห้อง รุมล้อม และกดดันให้ผู้คนทั้งหมดในห้อง รวมทั้งคู่ต่อสู้ทั้งสามคู่ ต้องหยุดมือ เปลี่ยนความสนใจมาป้องกันตนเองจากการโจมตีของค่ายกลสิบแปดอรหันต์แทน กลายเป็นคนเป็นๆร่วมสิบคนถูกรูปหล่อไร้ชีวิตล้อมวงเอาไว้ ไม่อาจหลบหนีออกไปได้เสียแล้ว

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา