16 ก.ค. 2021 เวลา 01:09 • นิยาย เรื่องสั้น
5.5. ค่ายกลสิบแปดอรหันต์
เตียวหุย ขุนพลฟ้าคำราม - ลิฉุย ไร้ชื่อ - กุยกี ไร้วาสนา
การเคลื่อนไหวของค่ายกลสิบแปดอรหันต์ผลัดเปลี่ยนหมุนวนเป็นจังหวะ รูปหล่อทรงนั่ง ทรงยืน ทรงนอน คล้ายสอดประสานกันราวมีชีวิต สร้างความสับสนงุนงงต่อผู้คนยิ่งนัก ทำให้คนเป็นทั้งหลายตกอยู่ในสภาพคับขัน หาทางเอาชีวิตรอดไปพลาง พยายามหยุดยั้งกลไกไปพลางด้วยความร้อนใจ
ขณะที่คนมีฝีมือก็พอรับมือได้อย่างลำบากร่อแร่ เตียวเจียว ตันเซ็ก ที่ไม่มีวิทยายุทธ์ ถูกรูปหล่อฟาดใส่จนบาดเจ็บล้มลงกับพื้นแล้ว ทำให้คนอื่นๆต้องผลักไสให้คนหมดสติพ้นภัย และตั้งสมาธิป้องกันตัวเองไปพลาง สกัดกั้นให้กับบ้อคง ผู้เป็นนายใหญ่ไปพลาง กลายเป็นสถานการณ์ที่ย่ำแย่ยิ่งนัก
บางคนคิดจะหักล้างทำลาย แต่ก็กริ่งเกรงว่าจะทำให้ทองคำเสียหายด้อยค่า บางคนพยายามจะกระโดดขึ้นสูง แต่คล้ายมีกระสุนหินยิงสกัดออกมาจากผนัง พลังทำลายกลับยังรุนแรงกว่าฝ่ามืออรหันต์ของค่ายกลเสียอีก
ช่วงเวลาที่ผู้คนกำลังว้าวุ่นใจ พลันเห็น “จูล่ง” หมุนตัว กระโดด ก้าวเท้าซ้ายขวาหน้าหลัง กลับหลุดรอดออกจากค่ายกลไปได้อย่างง่ายดาย คล้ายได้รับการฝึกฝนคลุกคลีกับค่ายกลมาอย่างช่ำชอง จนต้องก่นด่าออกมา เพื่อระบายโทสะบ้าง
เห็นจูล่งอ้อมไปด้านหลังพระประธานสักพักใหญ่ แล้วค่อยออกมาพร้อมกับคนคลุมหน้าอีกคน ในมือโอบอุ้มคนในถุงผ้าไว้กับบ่าทั้งสองคน ยังถือดาบใหญ่สีดำติดมือมาด้วยอีกเล่ม ถึงกับยืนรอดูความครึกครื้นอยู่ด้านนอก
เภาเจ๋งมีอาวุโสสูง ย่อมมากประสบการณ์ เริ่มตั้งสติได้ สั่งการให้สุมาอี้ ตันฮก และหลวงจีนบ้อเมี่ย บ้ออ้วง ไม่ต้องเสียดายทรัพย์สิน ยอมให้ทำลายทิ้งไปก่อน ต่างคนจึงกล้าเร่งพลังผ่านอาวุธคู่กาย ฟาดทำลายแขนขาของรูปหล่อทองคำจนหักสะบั้น ค่ายกลอรหันต์ที่พิกลพิการ จึงเริ่มเปิดช่องโหว่มากขึ้นเรื่อยๆ
พวกจูล่งทั้งสองเห็นว่าไม่อาจรุกคืบก่อกวนมากไปกว่านี้แล้ว จึงชักชวนกันหลบหนีฝ่าความมืดด้านนอกไปโดยเร็ว โดยที่จูล่งไม่ลืมหันมาคว้าเอาทวนอสรพิษที่ปักคาอยู่ช่องกลไกออกไปด้วย
การก่อกวนโดยจูล่งผู้มาใหม่ ย่อมเป็นฝีมือของเหยี่ยวดำ และลกซุน พวกมันสองคนเกรงว่า สุมาอี้ ตันฮก จะจดจำลกซุนได้ จึงไม่กล้าให้ลกซุนเผยตัว ย่อมเท่ากับว่า เหลือเพียงเหยี่ยวดำออกหน้าได้เพียงคนเดียวในครั้งนี้ แต่เผอิญตำแหน่งที่ซ่อนตัวอยู่ด้านนอก มองเห็นลวดลายการแสดงของกาเซี่ยงได้ชัดเจน
จังหวะที่กุนซือเงาปีศาจ กาเซี่ยงสะดุดล้มนั้น ที่จริง เขามองเห็นรูปหล่ออรหันต์ซึ่งเป็นท่านั่งขัดสมาธิถือเจดีย์ มีรูปนกหัวขวานสลักไว้ที่หลังคาเจดีย์ด้วย กาเซี่ยงจึงอาศัยจังหวะการล้มนั้น พิจารณาความนัยที่หลังคา และหยิบเอาของสิ่งหนึ่งจากเจดีย์มาซ่อนไว้ในแขนเสื้อ โดยไม่มีคนอื่นรู้เห็น ดูจากรูปการณ์นี้ เหยี่ยวดำจึงพอวางใจว่า กระตั้ว-กาเซี่ยงยังคงอยู่ฝ่ายเดียวกับตน
เมื่อนางแอ่น-เตียวหุยปรากฏกายในร่างเดิมที่เป็นหญิงสาว ทำให้ลิฉุย กุยกีถูกระแวง สูญเสียความไว้วางใจ เหยี่ยวดำจึงตัดสินใจใช้หน้ากากแผ่นพิสดารที่เคยได้รับมาจากหัวขวาน ปลอมเป็นจูล่ง ก่อนที่จะเปิดถุงผ้าที่สองที่สมควรจะเป็นร่างของจูล่ง ตอกย้ำความสับสนวุ่นวาย ทำเอาฝ่ายบ้อคงปั่นป่วนชุลมุน จนไม่มีใครทันสังเกตเห็นลกซุนที่อ้อมไปฉุดลากเตียวหุย จูล่งตัวจริงในถุงผ้า ไปซ่อนตัวทางด้านหลังพระประธานที่คล้ายฉากม่านกางกั้นระหว่างด้านหน้าอารามส่วนที่มีค่ายกลอรหันต์ กับด้านหลังห้องโถง
จากจุดนั้น เป็นจุดที่เหยี่ยวดำ "ส่งตัว" กาเซี่ยงกับเอียวสิ้วเข้าไปรอไว้ก่อนแล้ว เอียวสิ้วย่อมสลบไสลไปกับพื้นจริงๆ แต่กาเซี่ยงเพียงโดนผลักหลอกๆเท่านั้น กาเซี่ยง ลกซุนจึงรีบทำความรู้จักกันด้วยรหัสสัญญาณมือที่รู้กันในหน่วยปักษาสวรรค์
กาเซี่ยงประเมินว่า การก่อกวนของเหยี่ยวดำ-จูล่งทางด้านหน้า น่าจะดำเนินไปได้ไม่นานนัก แต่เผอิญลกซุนชี้ให้เห็นภาพนกหัวขวานสลักอยู่ด้านหลังของพระประธานด้วยอีกจุดหนึ่ง จึงเสี่ยงกดภาพนั้น ถึงกับเป็นปุ่มเริ่มต้นค่ายกลสิบแปดอรหันต์ทองคำ ช่วยสร้างความปั่นป่วนขึ้นไปอีก และทำให้เหยี่ยวดำหลุดรอดออกมาได้ เพราะเหยี่ยวดำและคนในหน่วยปักษาล้วนเคยผ่านการฝึกฝนกับค่ายกลหุ่นยนต์ไขลานมาแล้วทั้งสิ้น
ต้องนับว่า หัวขวาน นักประดิษฐ์สติเฟื่องที่ย้อนอดีตกลับไปเป็นเตียวล่อ ผู้ก่อสร้างขุมทรัพย์ฟ้าเหลืองแห่งนี้ รอบคอบลึกซึ้งยิ่งนัก ถึงกับฝากลวดลายไว้ในขุมทรัพย์ เพื่อสร้างความได้เปรียบแก่คนในหน่วยปักษาสวรรค์อย่างมากในอีกหลายสิบปีต่อมา
เมื่อเหยี่ยวดำอ้อมมาด้านหลังอีกคน กาเซี่ยงสวมกอดแสดงความยินดี แต่ไม่กล้ากล่าววาจา ด้วยเกรงว่า ด้านหน้าจะได้ยิน รีบล้วงของที่ได้จากเจดีย์จากแขนเสื้อ ยัดใส่มือเหยี่ยวดำทันที พร้อมกับชี้ไปยังดาบใหญ่สีดำสนิทที่หล่นอยู่กับพื้น ให้น้องเล็กของหน่วยนำกลับไปด้วย แล้วสุดท้ายชี้ที่หน้าอกตัวเอง รอรับฝ่ามือที่ค้างกันอยู่
เหยี่ยวดำประสานมือขออภัย พร้อมแผ่พลังฟาดเข้าที่หน้าอกกาเซี่ยงให้เกิดร่องรอยบอบช้ำพอเป็นพิธี แล้วชักชวนให้ลกซุนคว้าร่างเตียวหุย จูล่ง ขึ้นบ่า ยื่นส่งดาบใหญ่ไปให้ ส่วนตนเองออกแรงฉุดดึงทวนอสรพิษที่ยังค้างคาอยู่กับกลไกติดมือกลับไปด้วย
เมื่อทวนอสรพิษหลุดพ้นจากกลไกประตู กลับเกิดเสียงระเบิดทำงานอีกชุดใหญ่ดังมาจากด้านล่าง พื้นห้องที่มีรูปปั้นพระประธาน และค่ายกลอรหันต์ค่อยๆทรุดถล่มลงไปในโพรงลึกดำมืด พร้อมกับเศษวัสดุกระเบื้อง ไม้จากขื่อ หลังคาภายในที่ค่อยๆร่วงหล่นคล้ายจะถล่มทลายลงมา ทำให้พวกบ้อคงต้องช่วยกันฉุดรั้งตัวคนสำคัญหลบหนีออกจากพระอาราม รวมทั้งกาเซี่ยง เอียวสิ้วที่ยังสลบไสลอยู่ ก็ถูกช่วยไว้ได้ทันเวลา
จนสุดท้าย เกิดเสียงโครมใหญ่ โครงสร้างภายใน และหลังคาพังทลาย ร่วงล้มทับถมกันลงตามไปในโพรงลึก แรงระเบิดเปิดช่องผาทะลุออกสู่ลำน้ำ และทำให้ก้อนหินใหญ่น้อยเลื่อนถล่มลงไปในแม่น้ำไต้กังด้านข้าง จนแม่น้ำใหญ่ ถึงกับขุ่นข้นด้วยตะกอนดินทราย ด้านบนของโพรงลึก ยังคงหลงเหลือเพียงหลังคาพระอารามที่ยังอยู่ในสภาพเดิมปกปิดช่องโพรงลึก เหล่าหลวงจีนน้อยใหญ่ที่เคยถูกสั่งห้ามวุ่นวาย ต่างออกจากที่พัก ออกมาดูเหตุการณ์อยู่ระยะไกล
ไม่ต้องให้มีคนสั่งการ เภาเจ๋ง พยักหน้าเรียกบ้อเมี่ย-ลิฉุย บ้ออ้วง-กุยกี ให้ติดตามไล่ล่าคนร้ายที่น่าจะยังไปได้ไม่ไกล โดยส่วนตัว เภาเจ๋งคลุกคลีร่วมกับอดีตขุนพลทั้งสองมานาน จึงไม่คิดว่า พวกมันจะทรยศหักหลังในครั้งนี้ หากเมื่อครู่นี้ ไม่มีจูล่งเข้ามาพัวพันได้อย่างสูสี มันย่อมออกหน้าคลี่คลายปมคดีให้แล้ว ส่วนทางนี้ ปล่อยให้บ้อคงสะสางเรื่องราวในที่เกิดเหตุไปพลางๆก่อน
บ้อคง-เล่าเจี้ยงจ้องมองความล่มสลายของขุมทรัพย์ด้วยความแค้นเคืองอย่างที่สุด ทองคำและทรัพย์สมบัติที่ซุกซ่อนไว้ในอาราม เพื่อเป็นต้นทุนสำหรับก่อการณ์ใหญ่ ล้วนตกหล่นไปในโพรงลึก และถูกทับถมด้วยเศษวัสดุของหลังคาอาราม ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลามากน้อยเพียงใดในการขุดค้นขึ้นมาได้ ดูเหมือนครานี้ ลมพัด เมฆเคลื่อน ไม่โบยบิน สู่ฟ้า หากแต่ ร่วงหล่น ลงนรกโลกันต์ไปเสียแล้ว
แน่นอนว่า มันคาดคิดไม่ถึง กับดักระเบิดที่ถล่มทลายขุมทรัพย์ตรงหน้านั้น กลับเป็นลวดลายของคนที่ก่อสร้างขุมทรัพย์ตัวจริง เตียวล่อ ดาวปกครองแห่งขุมกำลังสัตตดารา หรือที่แท้จริงคือ หัวขวาน ยอดนักประดิษฐ์แห่งหน่วยปักษาสวรรค์ ที่ย้อนอดีตเพื่อล้างแค้นในเรื่องส่วนตัว แล้วพลอยทำให้เรื่องราวรอบข้างปั่นป่วนยุ่งเหยิงไปด้วย
“เสียสละทวน รับขุมทรัพย์ อาลัยทวน ล้วนสูญสิ้น” วลีปริศนาที่หัวขวาน-เตียวล่อ เขียนไว้ ที่แท้ก็คือหมากสุดท้ายที่ใช้ทำลายขุมทรัพย์พรรคฟ้าเหลืองนั่นเอง มันย่อมจดจำได้ว่า ตัวมันในอนาคต ค้นพบแผ่นกระดาษซุกซ่อนอยู่ในทวนอสรพิษ และนำมาให้อินทรีมือเหล็ก และคนในหน่วยปักษาสวรรค์ ช่วยกันตีความอยู่เนิ่นนาน
ในเมื่อมันเองเป็นผู้แอบมาก่อสร้างขุมทรัพย์มหาศาลอันเป็นที่ปรารถนาของขุมกำลังทุกฝ่าย มันจึงต้องป้องกันไม่ให้ทรัพย์สมบัติตกไปอยู่ในมือของฝ่ายที่ไม่สมควรจะได้ไป สุดท้าย จึงซุกซ่อนไม้ตายไว้ที่ทวนอสรพิษ หากทวนยังคงค้างคาอยู่ที่รูกุญแจ ก็แล้วกันไป แต่หากถูกดึงหลุดออกมา นั่นคือหายนะที่จะทำลายล้างขุมทรัพย์ให้สิ้นซาก
พงศาวดารไม่มีการบันทึกเรื่องราวของขุมทรัพย์ มันจึงได้แต่วางเงื่อนไขสำคัญนี้ เฉลยไว้ให้กับพวกหน่วยปักษาสวรรค์ ซุกซ่อนไว้ในทวนอสรพิษ ที่ตัวมันเองในอนาคต และพี่น้องในหน่วย จะได้รับข้อความนั้น
อย่างไรก็ตาม ขุมทรัพย์มหาศาลเช่นนี้ หากปล่อยให้จมหายไปกับสายน้ำย่อมจะร้าวรานใจเกินไป มันจึงยังสร้างกลไกโพรงลับไว้ด้านล่างแม่น้ำใหญ่ รองรับขุมทรัพย์ทั้งหมดเอาไว้ไม่ให้สูญหายไปไหน วันใดที่หัวขวานอีกคนในอนาคตรู้สึกปลอดภัยและว่างเปล่า ย่อมสามารถมาเก็บเกี่ยวสมบัติเหล่านี้มาใช้สอยเพื่อความได้เปรียบของหน่วยงานอีกประการหนึ่ง
ในเมื่อสิ่งของมีค่าที่นำมาจากอนาคตล้วนถูกคนของพรรคฟ้าเหลืองเผาทำลายไปในกระท่อมรังนกแห่งใหม่จนหมดสิ้น มันจึงไม่เกรงใจที่จะชักนำขุมทรัพย์ฟ้าเหลืองกลับมาสู่อ้อมกอดของหน่วยปักษาสวรรค์แทน
...
เหยี่ยวดำ ลกซุน แบกร่างของเตียวหุย จูล่ง ลงจากเขา ฝ่าด่านการป้องกันของหลวงจีนประจำการณ์อย่างไม่ยากเย็นนัก แต่ก็เสียเวลาไปไม่ใช่น้อย ดังนั้น สามหลวงจีนอาวุโสจึงติดตามมาได้ทันที่เชิงเขาด้านล่าง
เมื่อหลบหนีไม่พ้น ก็ต้องลงมือต่อสู้กัน เหยี่ยวดำในคราบของจูล่ง ยังคงยืนสง่า ป้องมือเคียงคู่กันกับคนคลุมใบหน้าที่ถือดาบใหญ่สีดำสนิท บัดนี้ ไม่มีคนของทายาทมังกรอยู่ตรงหน้า ลกซุนจึงกล้าที่จะลงมือได้อย่างเต็มที่ ปล่อยให้ร่างของจูล่งตัวจริง และหญิงสาวปริศนาที่อยู่ในถุงผ้า พิงต้นไม้ทางด้านหลัง
เภาเจ๋งยังคงใช้มือเปล่า ตรงเข้าต่อสู้กับจูล่งอีกครั้ง เป็นพลังภายในที่แกร่งกล้าปะทะกันกับฝ่ามือสยบมังกรที่รุนแรง ต่างฝ่ายต่างยืนหยัดฟาดฟันด้วยกระบวนท่าที่หนักหน่วง ที่จริง เหยี่ยวดำสมควรเสียเปรียบอยู่บ้าง หากแต่ก่อนลงมือ เหยี่ยวดำตัดใจใช้ยากระตุ้นพลังชีวิตที่เคยใช้ในการฝ่าศึกทุ่งเตียงปันช่วยอาเต๊าอีกครั้ง เพื่อเร่งเร้าพลังฝีมือต่อสู้กับเภาเจ๋ง ศัตรูสายพลังภายในที่น่าจะแข็งแกร่งที่สุดในชีวิต จึงพอสูสีก้ำกึ่งได้บ้าง
ขณะที่บ้อเมี่ย บ้ออ้วง ที่มีไม้เท้าพระธรรมเป็นอาวุธ รุมกระหน่ำใส่คนถือดาบใหญ่ ทั้งสองคุ้นเคยกันมานาน ใช้อาวุธที่คุ้นเคย จึงประสานกระบวนท่ากันได้ดี กลับมีเปรียบเหนือกว่าลกซุนที่ใช้ดาบใหญ่เทอะทะไม่ถนัดมือ เพียงไม่นานนัก ลกซุนก็เหงื่อไหลโทรมกาย เริ่มมีร่องรอยบอบช้ำ และบาดแผลเกิดขึ้นตามร่างกาย
ในที่สุด ลกซุนก็พลาดท่า โดนหลวงจีนบ้อเมี่ยเกี่ยวขาล้มลงกับพื้น ในขณะที่กำลังจะถูกหลวงจีนบ้ออ้วงตามมาซ้ำ เสียงคำรามดังสะท้านหู จนอื้ออึงไปทั่วทั้งบริเวณ แม้แต่คู่ของ “จูล่ง” กับเภาเจ๋ง ยังหยุดชะงักไปครู่หนึ่งด้วยเช่นกัน
ในขณะที่ทุกคนกำลังงุนงงอื้ออึงด้วยพลังเสียงดังสนั่น เงาร่างคนลึกลับพุ่งมาด้านข้าง ของลกซุน ใช้ร่างกระแทกใส่บ้อเมี่ยจนกระเด็นไปกระทบบ้ออ้วง พากันเสียจังหวะไปทั้งคู่ พร้อมทั้งหมุนตัวตามสภาวะ แทงซ้ำด้วยอาวุธคู่มือ อาศัยร่างของบ้อเมี่ยบดบังสายตา ถึงกับแทงใส่ร่างของบ้ออ้วง-กุยกี ทะลุหน้าอก เป็นทวนอสรพิษอันเลื่องชื่อ
บ้อเมี่ย-ลิฉุย มองเห็นเป็นชายหน้าดำวัยกลางคน ร่างท้วมใหญ่ ไว้หนวดเคราครึ้ม นี่มันคือ เตียวหุย ขุนพลฟ้าคำราม ชัดๆ จึงอดไม่ได้ ต้องลอบกวาดตามองไปยังต้นไม้ใหญ่ที่เมื่อครู่มีหญิงสาวปริศนานอนอยู่ แต่ก็ไม่เห็นร่างของนางเสียแล้ว หรือว่า..
เสียดายที่ความคิดของมันไม่ปราดเปรื่องมากนัก ตรงหน้า ก็มีทวนอสรพิษกวาดเข้ามาใส่แล้ว บ้อเมี่ย รีบลนลาน ใช้ไม้เท้าพระธรรมตั้งรับกระบวนท่าของผู้มาใหม่ทันที แต่แล้ว ทวนอสรพิษกลับเปลี่ยนกระบวนท่า จากการแทงตามกระบวนท่าทวน ไปเป็นการฟาดกวาดแบบง้าวแทน
พอมันเปลี่ยนมือปักไม้เท้าสกัดกั้นทวนไว้ พลันทวนอสรพิษเกิดความแปรเปลี่ยนอีกครั้ง จากที่เข้มแข็งกลับเหมือนไร้พลัง ร่วงหล่นลงกับพื้น พร้อมกับเสียงดังกร๊อบ กระโหลกศีรษะของหลวงจีนบ้อเมี่ย-ลิฉุย ปริแตกตายในทันที
ลกซุนที่อยู่ด้านข้าง ย่อมเห็นเหตุการณ์ชัดเจน เตียวหุยใช้ความเร็วผนวกกับกระบวนท่าโหดเหี้ยม ทวนในมือสะบัดไปมา เพียงหลอกล่อให้ฝ่ายตรงข้ามเปิดช่องว่าง แล้วเตียวหุยถึงกับละทิ้งทวน หมุนตัวอ้อมไปด้านหลัง ตบฝ่ามือเข้าใส่บ้อเมี่ย จนเผด็จศึกได้อย่างรวดเร็ว แต่แล้ว ขุนพลจอมอำมหิตกลับหันขวับมามองมัน ใช้ปลายเท้าสะกิดเอาทวนอสรพิษขึ้นมาจากพื้น แล้วเตะปลายทวนพุ่งเฉียดใบหน้ามันไปเพียงเล็กน้อย
เสียงร้องก่อนตายดังขึ้นที่ด้านหลัง ที่แท้ บ้ออ้วงที่ถูกทวนแทงทะลุหน้าอก ล้มคว่ำไปเมื่อครู่ กลับยังไม่หมดสิ้นฤทธิ์ หมายจะใช้ไม้เท้าอรหันต์ฟาดใส่มันเพื่อแลกชีวิตด้วยชีวิต แต่เตียวหุยหันมาเห็นเข้าก่อน จึงสามารถจัดการได้อย่างรวบรัดหมดจดยิ่งนัก ทวนอสรพิษที่ปักตรึงร่างของบ้ออ้วงไว้กับต้นไม้ใหญ่ด้านหลังยังสั่นพลิ้วอยู่เบาๆ แสดงถึงพลังส่งที่รุนแรง
ที่จริงแล้ว บ้อเมี่ย บ้ออ้วง หรือ ลิฉุย กุยกีนั้น ฝีมือมิใช่อ่อนด้อยเลย หากแต่พวกมันสูญเสียเรี่ยวแรงมากมายในการเดินทางมาตลอดทั้งวัน ซ้ำยังต้องต่อสู้มาตลอดทั้งคืน ตั้งแต่การปะทะกับสุมาอี้ ตันฮก การฝ่าด่านอรหันต์ทองคำ และไล่ตามลงเขามารุมลกซุนจนเนิ่นนาน ยิ่งเมื่อสูญเสียเพื่อนรักบ้ออ้วงไปต่อหน้า บ้อเมี่ยจึงยิ่งสับสนว้าวุ่นใจ จนเปิดช่องว่างให้จัดการโดยง่าย
เตียวหุยเคยคลุกคลีอยู่กับขุนพลทั้งสองในช่วงที่อยู่เมืองเสเหลียงด้วยกัน จึงพอรู้จุดอ่อนของคนทั้งสองที่เชื่องช้า ปัญญาทึบ จึงใช้กลยุทธ์แบบฟ้าร้องไม่ทันอุดหู เปล่งพลังเสียงราชสีห์คำรามก่อกวนสมาธิก่อน แล้วรีบลงมืออย่างรวบรัด ใช้กระบวนท่าเหนือความคาดหมาย โจมตีเข้าใส่อย่างอำมหิตเพื่อพิชิตศึกให้เสร็จสิ้นอย่างรวดเร็วนั่นเอง
ถึงแม้ลกซุนจะสนิทสนมกับเหยี่ยวดำ จนคล้ายกับเป็นญาติสนิทกัน แต่ก็ไม่เคยล่วงรู้เบื้องหลัง หรือพรรคพวกของท่านอาผู้มีพระคุณมาก่อน มีเพียงแค่อินทรีมือเหล็กที่เคยพบเจอกันบ้างแล้ว ทางฝ่ายสมาชิกหน่วยปักษาสวรรค์เอง นอกจากอินทรี นกฮูก-ฮัวโต๋ และเหยี่ยวดำแล้ว ก็ไม่มีคนใดรู้จักตัวตนที่แท้จริงของสายลับในกังตั๋งที่อินทรีมักจะกล่าวถึงมาก่อน เพราะถือเป็นความลับสุดยอดประการหนึ่ง
จนบัดนี้ นางแอ่น-เตียวหุย ลกซุน เจอหน้ากันในที่แคบ ค่อยคาดเดาความเป็นมาของฝ่ายตรงข้ามได้บ้าง จึงแสดงท่วงท่ารหัสมือต่อกัน เพื่อยืนยันอีกครั้ง ลกซุนค่อยวางใจ รีบทำแผลให้กับตนเองไปพลาง สังเกตเหตุการณ์รอบด้านไปพลาง
กลับมาที่ท่าเรืออีกครั้ง นักทำนายร่างทรงกำลังจะก้าวเข้าสู่ร้านอาหารใหญ่ชานเมือง พลันได้ยินเสียงตะโกนอึกทึกวุ่นวายดังมาจากตรอกซอยด้านข้าง ผู้คนวิ่งไปมาวุ่นวาย กระตุ้นความสนใจให้ไปชมดูสักครา
ที่แท้ ก็เป็นการทำงานของพวกมือปราบ รับฟังพอเข้าใจว่า ตรวจสอบซากศพคนแปลกถิ่นที่ถูกสังหารหมาดๆ เบื้องแรก ไม่ได้คิดสนใจใคร่รู้ หมุนตัวจะกลับไปยังร้านอาหาร แต่พลันได้ยินบางคนกล่าวคาดเดาขึ้น “เป็นท่านเคาเจ้งแห่งเสฉวน ใช่หรือไม่”
นักทำนายได้ยินแล้ว พลันสั่นสะท้านไปทั้งร่าง รีบพิจารณาซากศพที่กำลังถูกตรวจสอบ พบเห็นว่า มีเค้าหน้าคุ้นเคย แม้นว่า มิได้พบพานมานาน แต่เชื่อมั่นว่า ใช่หลานชายของตนเองจริงๆ ยิ่งเมื่อมือปราบล้วงค้นสิ่งของจากอกเสื้อเพื่อหาเบาะแสร่องรอย พบเห็นอุปกรณ์ทำนายดวงชะตาที่ประหลาด สะดุดตา ยิ่งเชื่อมั่นได้ว่า ผู้ตายคือเคาเจ้ง ทายาทคนโตของปราชญ์หยั่งรู้ เคาก้าน อย่างแน่นอน
นักทำนายทบทวนความทรงจำ ดวงชะตาของเคาเจ้งยืนยาวอย่างน้อยต้องอีกสิบปีจึงจะถึงฆาต แต่ช่วงนี้ คล้ายกับฤกษ์ยามบ้านเมืองสับสน ลิขิตชะตาชีวิตแปรเปลี่ยนไปมากมายอย่างไร้สาเหตุ แม้แต่บันทึกลับพิสดารที่ตนเองได้รับมา ก็พลอยมีเรื่องราวพลิกผันไปจากเดิมด้วยเช่นกัน หรือว่า ดวงดาวแห่งโชคชะตาได้รับความกระทบกระเทือนจากสิ่งใด ทำให้ชะตากรรมของบางคนจึงเปลี่ยนแปลงไป
นึกถึงหลายสิบปีก่อน ตัวมัน เคาเฉียว และน้องชาย เคาฮิว ล้วนตกเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ทางการเมือง ต้องพากันเปลี่ยนสกุลให้ผิดเพี้ยนจากเดิม หลบหนีคดีก่อขบถ ยังดีที่เรื่องราวไม่กล้ำกรายต่อลูกพี่ลูกน้องที่เป็นปราชญ์ใหญ่แห่งแผ่นดิน ตระกูลเคาจึงยังคงสืบทอดความรุ่งเรืองของนักพยากรณ์ได้ไม่ขาดตอน
ต่อมา เค้ารางร้ายพลันปรากฏ เมื่อเคาทู ลูกชายคนเล็กของเคาก้าน ดันเกิดอุบัติเหตุุ สร้างรอยแผลอาถรรพ์บนใบหน้า หากไม่ตกตายไปเอง จักต้องกลายเป็นตัวกาลกิณีที่ก่อให้เกิดการล้างผลาญตระกูลผู้ให้กำเนิด
ยามนั้น ตนเองแฝงตัวทำงานให้กับงานลับของพวกพ้อง มีแต่น้องชายเคาฮิวที่หลบซ่อนตัวอยู่กับเคาก้าน พลันคิดหาทางออกให้ปราชญ์ใหญ่ด้วยการผลักเด็กน้อยเคาทูตกแม่น้ำ หมายให้จมน้ำตายลบล้างอาถรรพ์ร้ายที่เกิดขึ้น
เหตุการณ์ผ่านไปนานหลายปี เขาฮิวเลือกทำงานสายกุนซือกับคนสกุลอ้วนเนิ่นนาน สุดท้าย กลับหักหลัง บอกความลับให้แก่ศัตรู จนสกุลอ้วนล่มสลาย แต่คาดไม่ถึง กลับถูกสังหารตายในวันเลี้ยงฉลอง ไม่ทันได้รับการแต่งตั้งยอมรับอันใด และขุนพลที่ลงมือสังหารเขาฮิวกลางงานเลี้ยง ถึงกับชื่อเคาทู
ตัวมันเสาะหาเบาะแสเพิ่มเติม รับรู้ว่า ขุนพลหมีทมิฬมีตำหนิแผลเป็นที่ใบหน้า เฉกเช่นตัวกาลกิณีที่คาดว่า ตายไปแล้ว จึงได้แจ้งต่อผู้คนในตระกูลให้เพิ่มความระมัดระวัง อย่าได้ไปยุ่งเกี่ยวกับเคาทูโดยเด็ดขาด หรือว่า สุดท้าย เคาเจ้งที่หลบซ่อนตัวอยู่ในแดนไกล ก็ไม่รอดพ้นมือยมทูตที่นรกสรรค์สร้างขึ้น
คนเล่นพิณและองครักษ์ถือทวนรั้งรอนักทำนายร่างทรงอยู่ที่เชิงเขาจวนหยกสันอยู่เนิ่นนาน ที่จริง เมื่อวาน พวกมันทั้ังสามสมควรขึ้นเขาไปแสดงตัว ร่วมประชุมใหญ่ครั้งแรกของนิกายแสงจรัสในรอบหลายสิบปี และเป็นผู้นำในการลงมือครั้งสำคัญ
แต่แล้ว กลับเป็นนักทำนายที่แจ้งข่าวให้เปลี่ยนแผนอย่างกระทันหัน ปล่อยให้บ้อคง เภาเจ๋ง คุมสถานการณ์ อ้างชื่อ บังเต๊กกง เป็นประมุขหุ่นเชิด ตามแผนสำรองที่เคยตระเตรียมเอาไว้เผื่อใช้ในยามฉุกเฉินแทน
เบื้องแรก คนเล่นพิณย่อมร้อนใจที่จู่ๆที่ปรึกษาด้านพยากรณ์กลับฉุดรั้งตนเองอย่างหนักหน่วงเช่นนี้ เมื่อพบหน้า หมายคาดคั้นให้รู้ความนัย มิคาด รอคอยอยู่ทั้งคืน กลับยังไม่เห็นนักทำนายร่างทรงมาถึง จนเกิดความรู้สึกเป็นกังวลใจขึ้นแทนที่ แต่ก็จนใจ ไม่รู้จะไปตามหาได้ในที่ใด จึงได้แต่เฝ้ารอคอย ณ จุดนัดหมาย
หากแต่ยามที่รั้งรอนั้นเอง ทางด้านวัดใหญ่บนเขากลับเกิดเหตุเปลี่ยนแปลง ได้ยินเสียงระเบิดดังสนั่น และมองเห็นเศษซากปรักหักพังร่วงหล่นลงไปในแม่น้ำมากมาย แสดงให้เห็นว่า ที่ประชุมใหญ่เกิดเหตุร้ายขึ้นจริงๆ ซึ่งเท่ากับเป็นอีกครั้งที่ผลการพยากรณ์แม่นยำนัก แล้วจู่ๆ จึงพบเห็นผู้คนที่มีชื่อเสียงสองกลุ่มทะยอยกันลงมาจากด้านบน มาต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตายที่เบื้องหน้า
ภายในใจ คนเล่นพิณย่อมเชื่อมั่นในฝีมือของหลวงจีนเภาเจ๋ง จึงหลบซ่อนดูเหตุการณ์ไปพลาง จนนักทำนายร่างทรงค่อยๆเข้ามาสมทบพร้อมกันกับเตียวเจียว แสดงว่า นักทำนายอาจใช้เวลาไปเรียกตัวพวกพ้องคนสนิทที่ไว้วางใจได้ และอยู่ในเหตุการณ์ด้านบนมาบอกเล่าเรื่องราวโดยละเอียด
ทั้งสี่จึงค่อยๆถอนตัวห่างออกไปพ้นระยะคับขัน เพื่อบอกเล่าประเมินสถานการณ์ต่างๆ พร้อมกับคุมเชิงดูท่าทีของผู้คนทั้งสองฝ่ายที่ยังคงต่อสู้กันอยู่ หากเกิดความผิดพลาดใดๆขึ้นอีก ก็พร้อมจะลงมือช่วยเหลือเภาเจ๋งได้ทันเวลา แสดงว่า บทบาทของเตียวเจียว มีความสำคัญมากกว่าเพียงดาวนักปราชญ์ กุนซือในสังกัด ที่ปรากฏแล้วกระมัง
...

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา