16 ก.ค. 2021 เวลา 23:46 • นิยาย เรื่องสั้น
5.6. หลวงจีนไร้เทียมทาน
กันหยง ผู้กุมความลับ - กวนอู จันทราจรัสแสง- เล่าฮอง ลูกเลี้ยงจารชนแฝง
วันวานหลังจากองครักษ์หมีทมิฬลงมือสังหารชายวัยกลางคนที่ดันมาพบเห็นร่องรอยของตนเองแล้ว เคาทูก็ไม่รั้งรออยู่ที่เดิมอีก รีบสืบเสาะมาจนถึงหมู่บ้านนอกเมืองซินเอี๋ย แวะกินอาหารรอคอยให้เป้าหมายเดินทางมาถึง
เสียงตีฆ้องแห่เกี้ยวขุนนางดังมาแต่ไกล ขบวนทหารอารักขากับผู้ติดตามนับสิบคนพร้อมเกี้ยวขุนนางตรงเข้ามายังบ้านพักฝั่งตรงข้าม ทำให้เคาทูแสยะยิ้มยินดีที่สายข่าวทำงานได้ถูกต้องตรงเวลา รีบวางเงินจ่ายค่าอาหาร แล้วเดินไปทางเข้าด้านหลังบ้าน
เห็นมันไม่รั้งรอให้มืดค่ำ แอบปีนข้ามกำแพง หมายลงมือกับที่ปรึกษาสายบุ๋นนาม กันหยง ในทันทีที่เป้าหมายเข้ามาถึงในตัวบ้าน ภารกิจของมันครั้งนี้ รวบรัดยิ่งนัก มีเพียงแค่คาดคั้นความจริงเรื่องหนึ่งจาก กันหยง รักษาการเจ้าเมืองซินเอี๋ย หนึ่งในผู้ติดตามใกล้ชิด ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นสหายกับรัชทายาทพลัดถิ่น เล่าปี่มาตั้งแต่วัยเยาว์
มันเห็นเกี้ยวขุนนางถูกวางไว้กลางลานบ้านแล้ว และทหารอารักขาทะยอยประสานมือคารวะ เดินจากกันไป แสดงว่า กันหยงยังรั้งรออยู่ภายในเกี้ยว อาจจะยังหลับใหลอยู่ ตามข้อมูล คนผู้นี้ชอบทำตัวง่ายๆ ไม่ถือสาเรื่องมารยาทมากนัก แม้กับเล่าปี่ บางครั้ง ยังนอนทอดกายเหยียดยาวต่อหน้า จึงไม่มีใครกล้าส่งเสียงรบกวน
เคาทูกระชับมีดสั้น หมายใช้ข่มขู่กันหยง แล้วค่อยๆเดินเข้าไปเปิดผ้าม่าน พลันเห็นฝ่ายตรงข้ามพุ่งกระโจนสวนทางออกมาโดยเร็ว จึงเบี่ยงตัวหลบตามสัญชาตญาณ กลับถูกช่วงชิงมีดสั้นไป จึงฉุกคิดว่าผิดท่า รีบหมุนตัวหลบเลี่ยงไปทางประตู พร้อมจะหลบหนี
เห็นเงาร่างชิงตัดหน้าไปอีกครั้ง ยืนสกัดเส้นทางล่าถอย เคาทูตั้งสติ ค่อยพบเห็นว่า เป้าหมายที่กำลังยืนยิ้ม พิจารณามีดสั้นของตน พลางลูบหนวดเคราอยู่ด้านหน้านั้น แทนที่จะเป็นกันหยง คนสายบุ๋น กลับกลายเป็นขุนพลจันทร์พิฆาต กวนอู ไปเสียได้
“ร่องรอยของท่านถูกพวกเราพบเห็นตั้งแต่เดินปะปนเข้ามาในตัวเมืองแล้ว เล่าฮองเห็นว่า ตึงมือเกินไป จึงแจ้งให้เรามาจัดการด้วยตนเอง เห็นว่า ท่านต้องการตามหากันหยง จึงสวมรอย กระตุ้นความสนใจให้ท่านลงมือโดยเร็ว” กวนอูเฉลยความ
เคาทูถอนหายใจเฮือกใหญ่ ประสานมือให้กับสหายเก่าที่เคยคลุกคลีกันที่เมืองหลวงมาระยะหนึ่ง “ท่านกล่าวถ้อยคำยืดยาว แสดงว่า ไม่ได้คิดจะลงมือต่อเราแล้วกระมัง”
“ถูกต้อง เราท่านเคยมีน้ำใจต่อกันอยู่บ้าง และที่นี่ก็มิใช่สนามรบ เราจึงเพียงมายับยั้งภารกิจ และน้อมส่งท่านกลับออกไปเป็นการตอบแทน” กวนอูคืนมีดสั้นพร้อมผายมือเปิดทาง แสดงเจตนามิได้คิดจับกุม หรือสังหารผู้คนจริงจัง
“ขอบคุณยิ่งนัก เราจะแจ้งกับนายท่านโจโฉถึงน้ำใจที่ได้รับในวันนี้” เคาทูยังห้าวหาญยิ่งนัก รู้ว่า ต่อสู้ไม่ได้ จึงบอกไปเป็นไป ก้าวเดินผ่านหน้าขุนพลเลื่องชื่ออย่างทรนง
กวนอูจ้องมองเคาทูที่เดินจากไป พลางครุ่นคิดในใจว่า กันหยงมีน้ำหนักอันใด ถึงเพียงพอจะดึงดูดให้โจโฉส่งองครักษ์คนสนิทมาลงมือด้วยตนเองเช่นนี้หนอ
กลับมาทางด้านเภาเจ๋งกับ “จูล่ง” ที่ยังปะทะฝ่ามือกันด้วยพลังภายใน จนเกิดเสียงเพียะพะดังขึ้นไม่หยุดหย่อน และไม่มีใครหลบหลีกเปลี่ยนแปลงกระบวนท่า คล้ายว่า ทั้งสองค้นพบคู่ต่อสู้ที่คู่ควรมานาน เมื่อพบเจอ ถึงกับไม่ยอมลาจาก ตัดทิ้งเรื่องราวอื่นๆ ทุ่มเทพลังภายใน อัดฝ่ามือใส่กันอย่างเมามัน จนแม้แต่เตียวหุย ลกซุนที่อยู่ด้านข้าง ยังมองแทบไม่ทัน และไม่กล้าสอดแทรกจอมยุทธ์ทั้งสองแล้ว
เวลาผ่านไป ทั้งสองเริ่มลดความเร็วลง แต่ระดับของพลังปราณน่าจะถูกเร่งเร้าถึงขีดสุด เห็นใบหน้าของเภาเจ๋งแดงเข้ม ตัดกับใบหน้าของ “จูล่ง” ที่เขียวคล้ำ เสียงฝ่ามือปะทะกันอีกสิบกว่ารอบ และแล้ว “จูล่ง” ก็ลอยคว้างออกจากวง พร้อมกับสายโลหิตพุ่งเป็นทางยาวออกจากปาก ส่วนเภาเจ๋ง ก้าวถอยหลังไปหลายก้าว ใบหน้าซีดขาวคล้ายบาดเจ็บภายในบ้างแล้วเช่นกัน
เตียวหุยรั้งรออยู่เนิ่นนาน ไม่กล้าลงมือสอดแทรกเข้าไป เนื่องจากกริ่งเกรงจะทำให้ฝ่ายตนเสียสมาธิ จนอาจจะพลาดพลั้ง แต่เมื่อเห็นบทสรุปเป็นเช่นนี้ มันจึงรีบคว้าทวนอสรพิษพุ่งเข้าแทนที่ ปล่อยให้ลกซุนประคองร่างที่บอบช้ำของเหยี่ยวดำเอาไว้
เภาเจ๋ง แม้ว่ามีอาการบาดเจ็บภายในไม่น้อย แต่ยังไม่อาจประมาทได้ ใช้เท้าเขี่ยเอาไม้เท้าพระธรรมของบ้อเมี่ยที่ตกหล่นอยู่กับพื้น ขึ้นมารับมือกับเตียวหุย ด้วยกระบวนท่าที่รุนแรงรวดเร็วไม่แพ้กัน ท่าทางองอาจดั่งปรมาจารย์บู๊ในตำนาน
หางสายตาของเตียวหุย พลันเห็นกองทัพจำนวนหนึ่งกำลังมุ่งตรงเข้ามา ไม่ทันสังเกตว่าเป็นฝ่ายไหนสังกัดใด จึงต้องการรีบเผด็จศึกตรงหน้า อาศัยจังหวะหมุนตัวเหวี่ยงทวนเป็นวงกว้าง เปล่งพลังเสียงราชสีห์คำรามอีกครั้งหนึ่ง
แต่เภาเจ๋ง-เล่าฉวน ย่อมหนักแน่น แตกต่างจากบ้อเมี่ย บ้ออ้วง อีกทั้งรับรู้ลูกไม้พลังเสียงมาแล้วเมื่อครู่ จึงเพียงฉากหลบแรงปะทะ และเปล่งเสียงกู่ร้องเพื่อระบายพลังเสียงที่กระแทกใส่ พร้อมทั้งดีดลูกประคำ ทะลุใส่ร่างเตียวหุยได้สามเม็ดซ้อน เป็นชายโครงซ้าย ไหล่ขวา และเหนือหัวเข่า จนเตียวหุยเลือดโทรมกาย ต้องทรุดตัวลง หมดสภาพตอบโต้ได้อีกต่อไป
เภาเจ๋งไม่รอช้า รีบเงื้อไม้เท้าพระธรรม หมายจะฟาดหัวเตียวหุยให้แตกตาย แก้แค้นแทนสองสมุนเอกคนสนิท แต่เสียงฝีเท้าม้าศึกดังเข้ามาใกล้ พร้อมกับเสียงตวาดดังลั่น ประกายง้าวสอดแทรกเข้ามาระหว่างกลาง ทำให้เภาเจ๋งต้องหันกลับไปป้องกันตัวเองไว้ก่อน ร่างคนที่ปรากฏ ถึงกับเป็นคนหน้าแดงคล้ำ ไว้เครายาว พร้อมกับง้าวมังกรเขียว เป็นขุนพลจันทร์พิฆาต กวนอู
กวนอูยืนขวางร่างของน้องสามเตียวหุยเอาไว้ กระชับอาวุธพร้อมรับมือ ด้านหลังเป็นกองทัพขนาดย่อมที่นำมาด้วย เล่าฮอง ลูกบุญธรรมของเล่าปี่ ผู้ปกครองเมืองซงหยง และจูกัดจิ๋น ประมุขหมู่บ้านมังกรซ่อน ติดตามมาด้วย
ที่แท้ จูกัดจิ๋นที่แอบติดตามพวกลกซุนมาถึงเชิงเขาจวนหยกสัน ไม่กล้าฝ่าด่านรักษาการณ์ทางด้านล่าง ได้แต่เฝ้ารอดูสถานการณ์ด้านล่างครึ่งค่อนวัน สังเกตเห็นทั้งจำนวนพระลูกวัดนับพันรูป เคลื่อนไหวคล้ายดั่งกองทัพเตรียมพร้อมรบ ทั้งเสียงกลไกดังสนั่นมาจากด้านบนเขา และไม่เห็นพวกลกซุนล่าถอยกลับลงมา จึงคาดเดาว่า ฝ่ายพระเล่าเจี้ยง ตันเซ็กส้องสุมกำลัง ปกปิดรถม้าของกลางในคดีปริศนา และอาจทำร้ายต่อลกซุน ซึ่งมันเองรู้ว่า มีฐานะลับเป็นศิษย์น้องคนสนิทของจูกัดเหลียง พี่ชาย ในกลุ่มทายาทมังกรด้วย
ตัวมันตามลำพังคงไม่อาจแก้ไขได้ จึงปรารถนาดี ตัดสินใจฝ่าราตรี อาศัยสถานะน้องชายของกุนซือจูกัดเหลียง นำความไปแจ้งกับเล่าฮอง ผู้ปกครองดูแลเมืองซงหยง เพื่อนำกองกำลังมาจัดการกับพระเล่าเจี้ยง และจะได้ช่วยเหลือลกซุนอีกทางหนึ่ง
แต่ยิ่งโชคดีซ้ำซ้อนที่กวนอู ขุนพลใหญ่เดินทางมา “ตรวจราชการ” อยู่ด้วยกันพอดี จึงรีบระดมกองทัพที่ประจำการณ์ พากันมาที่วัดป่าน้อยอย่างเร่งด่วน หวังจะทลายขุมกำลังลับของพระเล่าเจี้ยงให้สิ้นซาก กลับพอดีได้ช่วยเหลือเตียวหุยทันเวลา
นี่ก็เป็นเพราะจูกัดจิ๋นซึ่งที่จริง สังกัดเครือข่ายสุมา ผ่านทางจูกัดเหลียง ไม่ทราบว่า ขุมกำลังที่อยู่ในวัดป่าน้อยแห่งที่สองนี้ คือ กองทัพธรรมของนิกายแสงจรัสที่ควบคุมอยู่เหนือเครือข่ายสุมาขึ้นไปอีกทอดหนึ่ง จึงกลายเป็นตอแยฝ่ายเดียวกัน ช่วยเหลือฝ่ายตรงข้าม ไปเสียแล้ว
เภาเจ๋งผ่านการต่อสู้มายาวนาน ตั้งแต่ “จูล่ง”รอบแรก ค่ายกลอรหันต์ทองคำ “จูล่ง”รอบสอง และเตียวหุย นับเวลาก็ตั้งแต่เย็นวันวานมาจนถึงเช้าแล้ว เรี่ยวแรงเริ่มถดถอย เมื่อยล้า และบอบช้ำจากพลังฝ่ามือของ “จูล่ง” ด้วย จึงคิดประวิงเวลาชั่วครู่ ก่อนต้องลงมือกับขุนพลผู้เลื่องชื่อ นาม กวนอู เป็นการส่งท้ายให้สาสมใจสักครา
เภาเจ๋ง จึงเอ่ยคำทักทาย ด้วยว่า เคยรู้จักคุ้นเคยกันในฐานะเจ้าอาวาสวัดป่าน้อยกับเจ้าเมืองเกงจิ๋วคนปัจจุบัน และถึงกับเคยยื่นมือช่วยเหลือกวนอูไว้ในช่วงที่กวนอูฝ่าห้าด่านสังหารหกขุนพลด้วยซ้ำ “ช้าก่อน ประสกกวนอูนำกำลังมากมาย คิดจะมารุกรานวัดเล็กๆแห่งนี้ด้วยเรื่องอันใดหรือ”
กวนอูที่ตอนแรก ก็ไม่ใคร่จะเชื่อจูกัดจิ๋นว่า วัดป่าน้อยจะร่วมมือกันกับเล่าเจี้ยง โดยเฉพาะเภาเจ๋ง เจ้าอาวาสที่เคยมีบุญคุณต่อตนเองในอดีตกาล แต่เมื่อเห็นเภาเจ๋ง แสดงฝีมือกล้าแข็ง และกำลังจะลงมือทำร้ายน้องสาม เตียวหุย จึงกลับเชื่อสนิทใจ อีกทั้งตัวมันก็รู้ฝีมือเตียวหุยว่าสูงส่งเพียงใด กลับมาพ่ายแพ้ต่อเจ้าอาวาส ทำให้มันต้องประเมินเภาเจ๋งใหม่อีกรอบ
“ท่านเจ้าอาวาสไม่ต้องแก้ตัวอีกต่อไป พยานหลักฐานอยู่ตรงหน้าชัดเจน ท่านลงมือทำร้ายน้องสาม ก็เท่ากับเป็นศัตรูกับพวกเราพี่น้องสวนดอกท้อทั้งสามคน ยังมี กองทัพที่กำลังเคลื่อนลงมานั้น ก็แสดงให้เห็นแล้วว่า พวกท่านมีเจตนาแอบแฝง อาศัยสถานที่สงฆ์มาเป็นซ่องโจรโดยแท้ ถึงกับหลอกลวงปิดบังพวกเรามาได้ตั้งเน่ินนาน”
เภาเจ๋ง เหลียวมองไปทางด้านหลัง เห็นกองทัพธรรมหลายสิบคนของหลวงจีนในชุดเหลืองกำลังเคลื่อนตัวลงมาตามไหล่เขา ราวกับมังกรเหลืองส้มตัวใหญ่เลื้อยผ่านขุนเขา กำกับมาโดยสุมาอี้ที่มีผ้าคลุมหน้า ปกปิดตัวตนเอาไว้ แสดงว่า ด้านบนสังเกตเห็นกองทัพฝ่ายตรงข้ามแล้ว จึงนำกองทัพเร็วจำนวนหนึ่งลงมาตั้งรับทางด้านล่าง เห็นที ครั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายคงต้องเกิดการปะทะขั้นแตกหักขึ้นแล้ว
มันลอบประเมินสถานการณ์ทั้งสองฝ่าย ด้านกวนอู มีเล่าฮอง จูกัดจิ๋น และคนคลุมหน้าลึกลับ เป็นกำลังสำคัญ จำนวนทหารพร้อมรบ ทั้งพลธนู ทหารเดินเท้าและทหารม้า มีประมาณพันกว่านาย ส่วนฝ่ายวัดป่าน้อย ก็มีตัวมันเอง และสุมาอี้ ที่พอลงมือได้ กับหลวงจีนมีฝีมือราวหนึ่งพันรูป จำนวนพอใกล้เคียงกัน แต่ฝ่ายมันยังเสียเปรียบด้านอาวุธอย่างเห็นได้ชัด ศักยภาพในการสู้รบยังคงห่างไกลอยู่ขั้นหนึ่ง
หากมันทอดเวลาได้อีกเพียงหนึ่งวันหนึ่งคืน อาศัยช่วงเวลาที่ไม่มีใครคาดคิด จับตัวโจโฉตัวการใหญ่ รุกคืบปล้นชิงคลังแสง คลังเสบียงเสียก่อน เรื่องราวย่อมผิดกันกับเวลานี้ มันจึงได้แต่ถอดทอนหายใจเฮีอกใหญ่
มันเสียดายวันเวลาตั้งเนิ่นนานหลายสิบปี อุตส่าห์จัดเตรียมกำลังคน กำลังทรัพย์ไว้พร้อมมูลแล้ว เพียงอีกหนึ่งวันหนึ่งคืนที่จะลงมือ ดันเกิดเรื่องพลิกผันจากจูล่ง เตียวหุย ชักนำให้ทุกสิ่งทุกอย่างต้องล่มสลายไปกับตา เป็นคนทรยศ เตียวหุย อีกแล้ว
เภาเจ๋งกวาดสายตามองหาเตียวหุยที่ควรจะนอนทอดกายอยู่ด้านหลังกวนอู แต่กลับไม่เห็นเสียแล้ว รวมทั้งคนคลุมหน้าและ “จูล่ง” ด้วย แน่นอน มันย่อมไม่เชื่อว่า “จูล่ง” คนที่ลงมือกับมันมาสองครั้ง จะเป็นตัวจริง เพราะวิทยายุทธ์ของมันสูงส่งเกินไป คงต้องมีใครสักคนสวมรอยปลอมตัวเป็นขุนพลท่องเมฆามาตั้งแต่ต้นแล้ว
กวนอูสังเกตเห็นแววตาอำมหิตของเภาเจ๋ง จึงพอคาดเดาได้ว่า ฝ่ายตรงข้ามคิดหมายจะลงมือแก้แค้นน้องสามอีกรอบ จึงตวาดซ้ำ “ในเมื่อเจ้าอาวาสยังไม่สำนึกผิด เราเห็นทีต้องลงมือแล้ว พวกเรา บุกจู่โจมทันที” และง้าวในมือก็ตวัดใส่เภาเจ๋ง
เพียงขาดคำ เล่าฮองก็สั่งการซ้ำให้ทหารโบกธงแม่ทัพสั่งการส่งสัญญาณให้กองทัพซงหยง ลงมือยิงเกาทัณฑ์รับหน้ากลุ่มหลวงจีนที่เพิ่งลงจากเขาไม่ให้ทันตั้งตัว เป็นการโจมตีระลอกแรก ติดตามด้วย ทัพม้า และทัพเดินเท้า ที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี
ฝ่ายหลวงจีน แม้ว่าจะได้รับการฝึกฝนมายาวนาน และมีอาวุธคู่กาย แต่ขาดแคลนเกราะ และประสบการณ์สู้รบ อีกทั้งบ้อเมี่ย บ้ออ้วงที่เป็นผู้ฝึกสอน ล้วนทอดกายตายอยู่ตรงหน้า จึงตกเป็นฝ่ายสูญเสียกำลังคน และขวัญกำลังใจไปก่อน จนกระทั่งสุมาอี้เร่ิมแสดงบทบาท สั่งการให้เข้ารูปกระบวนทัพหลบหลีกแรงต้านทาน จึงค่อยนำกองทัพพลิกสถานการณ์เป็นการต่อสู้ประชิดตัว หลวงจีนคนน้อยกว่า แต่ฝีมือการต่อสู้สูงส่ง จึงเกิดการปะทะต่อสู้กันอย่างวุ่นวาย โดยมีสุมาอี้ภายใต้ผ้าคลุมหน้า ยืนคุมเชิงอยู่ห่างออกไปสักระยะหนึ่ง คล้ายรอคอยเวลาอันสมควร
จูกัดจิ๋น มองย้อนกลับไปในสมรภูมิรบอีกครั้ง ตัวมันเองสมควรนำลกซุนออกจากสนามรบก่อนจะมีคนสังเกต จึงอาศัยจังหวะที่กวนอูตอบโต้กันกับเภาเจ๋ง โบกมือให้สัญญาณกับลกซุนที่มีผ้าคลุมหน้า เข้าประคองตัวเตียวหุย จูล่ง ขึ้นม้าล่าถอยไป
ลกซุนคาดเดาความคิดของจูกัดจิ๋นออก จึงสงบถ้อยคำ ทำเสมือนเป็นผู้ช่วยของจูล่ง เตียวหุย จนกระทั่งไปถึงเรือโดยสารที่จูกัดจิ๋นตระเตรียมไว้ จัดแจงให้เตียวหุย “จูล่ง” นอนพักด้านใน ค่อยนึกขึ้นได้ว่า หลงลืมจูล่งอีกคนที่ถูกจับมาในถุงผ้า กับดาบใหญ่สีดำอันเป็นปริศนาอีกประการหนึ่งของขุมทรัพย์ไว้เบื้องหลัง จึงต้องปล่อยเลยตามเลยไป แล้วกล่าวต่อจูกัดจิ๋น “ครั้งนี้ หากไม่ได้ท่านพาคนมาช่วย พวกเราคงจะย่ำแย่เป็นแน่ อย่างไร ภายในคงได้ตอบแทนบุญคุณในครั้งนี้”
จูกัดจิ๋นคารวะตอบ ก่อนก้าวกลับคืนสู่ตลิ่ง ปล่อยให้เรือโดยสารล่องลอยทวนกระแสแม่น้ำ หายลับไปจากสายตา เจตนาของลกซุนคงต้องการนำเตียวหุย จูล่ง ส่งคืนให้กับฝ่ายเล่าปี่ก่อนกลับคืนอาณาจักรแดนใต้ จูกัดจิ๋นจึงไม่รู้สึกแปลกใจที่เรือเริ่มกางใบรับลมหนุน ย้อนทวนกระแสน้ำไปทางด้านตะวันตก มันแลดูอยู่พักใหญ่ จึงย้อนกลับไปดูสถานการณ์ที่วัดป่าน้อยที่สองแห่งเขาจวนหยกสันอีกครั้ง
กวนอู ใช้ง้าวตามกระบวนท่าสยบมังกรที่คิดค้นปรับปรุงขึ้นใหม่ ฟาดฟันกับไม้เท้าพระธรรมของเภาเจ๋งอยู่พักใหญ่ ที่จริง สมควรมีพลังโจมตีที่รุนแรงอย่างยิ่ง แต่ไม้เท้าของเภาเจ๋งกลับเต็มเปี่ยมด้วยพลังภายในหยุ่นเหนียว พลังยุทธ์เหนือกว่าอีกหลายขั้นนัก
สุดท้าย กวนอูกลับเป็นฝ่ายที่ต้านทานฝ่ายตรงข้ามไม่ไหว พละกำลังเสื่อมโทรมลงก่อน เริ่มถูกไม้เท้าฟาดใส่ตามร่างกาย และแขนขาหลายครั้ง จนเปิดช่องว่างให้เภาเจ๋งใช้ลูกประคำดีดใส่ในระยะประชิดตัว ทะลุไหล่ซ้ายบาดเจ็บสาหัสไปอีกคน
เล่าฮองที่อยู่ในเหตุการณ์ ห่างออกไปแค่สิบกว่าวา ขยับจะเข้าช่วยเหลือ แต่สำนึกว่าฝีมือตนห่างไกลคนทั้งสองยิ่งนัก อีกทั้งตนเองก็มิได้ชื่นชอบท่านอาบุญธรรมเท่าไรนัก จึงแสร้งรั้งม้าวิ่งไปสั่งการกองทหารในอีกทิศทางหนึ่ง ใช้กองทหารที่มี สร้างระยะห่างกับบุคคลที่เป็นอันตรายต่อชีวิตมากย่ิงขึ้น แต่ยังแอบมองกลับมาดูเหตุการณ์อีกแว่บหนึ่ง ทำให้ตกตะลึงในความเปลี่ยนแปลง จนต้องหยุดดูสถานการณ์อีกครั้ง
กวนอูยืนพิงต้นไม้ใหญ่ กุมไหล่ที่ได้รับบาดเจ็บ คงมิอาจใช้ง้าวที่หนักอึ้งได้แล้ว หากแต่เบื้องหน้า กลับมีชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ ถือดาบใหญ่สีดำสนิท ยืนขวางหลวงจีนเภาเจ๋งเอาไว้อีกแล้ว ครานี้ ถึงกับเป็นขุนพลท่องเมฆา จูล่ง
เภาเจ๋งงุนงงวูบ เพราะเพิ่งจัดการ “จูล่ง” ไปแล้วเมื่อครู่ เหตุใดจึงยังมีจูล่งอีกคนอยู่ตรงหน้า แต่ยังคงเร่งรีบใช้ไม้เท้าพระธรรมฟาดกวาดออกไป ไม่ให้ทันได้ตั้งตัว ฝ่ายจูล่งสะบัดดาบใหญ่ ปะทะกับไม้เท้าพระธรรมของเภาเจ๋งด้วยเพลงดาบที่แปลกตา เภาเจ๋งถอยหลังไปก้าวใหญ่ตามแรงปะทะ แต่ที่จริง กลับยิงลูกประคำสวนกลับมา หมายจะรีบเผด็จศึกให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว เพราะเหน็ดเหนื่อย เสียเรี่ยวแรงไปมากแล้ว
แต่ลูกประคำที่พุ่งตรงใส่กลางหน้าท้องของจูล่ง กลับหักเห เปลี่ยนเส้นทางไปประกบติดอยู่กับดาบใหญ่สีดำ เสียงดังตัง มิคาด ดาบเล่มที่ดูไม่สะดุดตา กลับมีสรรพคุณเป็นแม่เหล็ก ดึงดูดอาวุธโลหะได้ด้วย
ทันใดนั้น เกิดเสียงโห่ร้องแว่วมาจากด้านข้างป่าไม้ เล่าฮองตระหนก คิดไปว่า เป็นฝ่ายตรงข้ามยกพวกมาเพิ่มเติม แต่กลับเป็น ตันฮก กุนซือกิเลนพิสดารที่หายหน้าไปเนิ่นนาน นำกำลังชาวบ้านร้านค้าร่วมหลายสิบคน ตรงเข้ากลุ้มรุมต่อสู้กับฝ่ายหลวงจีนโจร ทำให้หลวงจีนที่เหลือเพียงไม่กี่ร้อยรูป เสียกำลังใจ และเริ่มถอยหนีไปอย่างรวดเร็ว จึงกลายเป็นกลุ่มชาวบ้านที่กีดขวางเส้นทาง ทำให้กองทหารไล่ล่าติดตามหลวงจีนโจรได้ไม่ทัน และไม่อาจใช้อาวุธระยะไกลตามสังหารได้
เห็นสุมาอี้ที่มีผ้าคลุมหน้า คล้ายตัดสินใจล่าถอยเช่นกัน จึงตรงเข้ามาคว้าแขนของเภาเจ๋ง พร้อมขว้างระเบิดหมอกควันไปทางจูล่ง ใช้ท่าร่างลอยขึ้นสู่กิ่งไม้สูง แล้วพุ่งร่างกลับไปทางยอดเขาอีกครั้ง มิคาด ด้านบนก็ดูเหมือนจะมีกลุ่มควันไฟลอยขึ้นสูง ดูท่าฝ่ายหลวงจีนเห็นท่าไม่ดี ชิงเผาสถานที่ หลบหนีไปด้านหลังเขากันแล้ว
เมื่อระเบิดหมอกควันเริ่มจางหาย ได้ยินเสียงหัวร่อลั่น กลับเห็นกวนอู จูล่ง ต่างนั่งกดหัวไหล่ตนเอง อยู่ด้วยกัน เล่าฮอง ตันฮก ซึ่งรู้จักกันดีอยู่ก่อนแล้ว จึงตรงเข้าไปสำรวจอาการบาดเจ็บของคนทั้งสอง กวนอูย่อมเป็นบาดแผลจากลูกประคำที่เพิ่งโดนทำร้าย แต่จูล่งกลับคล้ายได้รับบาดเจ็บตำแหน่งเดียวกัน จนเลือดซีมไหลออกมา
จูล่งจึงเฉลยว่า “ตัวข้าได้รับบาดเจ็บจากศึกเมืองเสฉวนอยู่ก่อนแล้ว เมื่อครู่ ฝืนใช้กำลังต่อสู้กับหลวงจีนเฒ่าตรงๆ จึงกระทบบาดแผลเดิมให้ปริแตกอีกครั้ง หากแม้นหลวงจีนเฒ่าปักหลักนานกว่านี้อีกครู่หนึ่ง คงสังเกตพบความผิดปกตินี้ ดีที่พวกพ้องมันลากตัวกัน ล่าถอยไปก่อน พวกเราก็อย่าได้ติดตามเลย รีบคุ้มครองท่านกวนอูกลับเมืองก่อนเถิด”
 
กวนอูจึงเสริมขึ้นบ้าง “เป็นน้องเรา องอาจกล้าหาญ ข่มขู่จนพวกมันขวัญกระเจิง ทั้งๆที่พวกมันน่าจะได้เปรียบ เหนือกว่าพวกเราแล้ว เอีะ แล้วน้องสามล่ะ”
“จูกัดจิ๋นพาอาสามหลบหนีออกไปก่อน ท่านอารอง ป่านนี้ คงกลับถึงตัวเมืองไปแล้ว” เล่าฮองตอบคำ อย่างไร มันยังมีศักดิ์เป็นหลานบุญธรรม จำต้องให้ความเคารพตามสมควร
“เช่นนั้น พวกเราจงกลับเมืองกันก่อน ค่อยระดมทัพไล่ล่าพวกหลวงจีนทุศีลกลุ่มนี้อีกครั้ง เภาเจ๋ง ร้ายกาจนัก พวกเจ้าน่าจะยังไม่ใช่คู่มือของมันหรอก” กวนอูสรุปปิดท้าย พร้อมส่งสายตาอาฆาตแค้น มองขึ้นไปด้านบนเขาจวนหยกสัน ที่มีหมอกควันไฟปกคลุมหนาแน่นขึ้นกว่าเดิม กลับไม่ทันสังเกตสายตาของตันฮก และจูล่ง ที่จ้องมองกันอย่างมีเลศนัย ความตึงเครียดในสายตาที่ประสานกัน ดูยากยิ่งว่าจะเป็นมิตรหรือศัตรูกันแน่
พวกคนเล่นพิณทั้งสามลอบติดตามความเปลี่ยนแปลงโดยตลอด จึงเป็นพวกมันที่ส่งแผนการเร่งด่วนให้เตียวเจียวไปแจกจ่ายให้ สุมาอี้ ตันฮก นำผู้คนมาคลี่คลายสถานการณ์ตึงเครียดเมื่อครู่่ หวังลดทอนความเสียหายในภาพรวม
เบื้องแรก มันเชื่อมั่นว่า หลวงจีนเภาเจ๋งมีความสามารถมากพอที่จะสยบเตียวหุย จูล่งได้ไม่ยากเย็นกระไรนัก แต่กลับคาดไม่ถึงว่า ขุนพลทั้งสองมีศักยภาพในการต่อสู้สูงส่งยิ่งนัก ทำเอาเภาเจ๋งสิ้นเปลี่ยงเรี่ยวแรงไปไม่น้อยกว่าจะจัดการปราบได้สำเร็จ แต่แล้ว กลับยังมีกวนอูนำกองทัพซงหยงโผล่ขึ้นมาอีกกลุ่มใหญ่
วัดป่าน้อยที่สองเป็นรากฐานสำคัญของนิกายแสงจรัส มิอาจปล่อยให้ถูกช่วงชิงทำลายด้วยกองทัพซงหยง ทางหนึ่ง จึงได้แต่ต้องประวิงเวลาให้คนด้านบนขนของหลบหนี และอีกทางหนึ่ง กลับต้องมุ่งหวังให้คนด้านล่างถอดใจ ไม่ติดตามกระชั้นชิด จนเมื่อเห็นทั้งสองฝ่ายแยกย้ายจากกันเช่นนี้ จึงค่อยคลายกังวล ออกเดินทางเช่นกัน
จูกัดจิ๋น ผู้นำหมู่บ้านมังกรซ่อน กลับมาถึงอย่างเงียบๆ และเฝ้ามองดูความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจนสิ้นสุด เห็นว่า การเข้าร่วมกองทัพกวนอูกลับเมืองซงหยงนั้น ไร้ความหมาย จึงตัดสินใจปลีกตัวกลับถิ่นฐาน หลีกเลี่ยงคำถามการหายตัวไปของเตียวหุย และ “จูล่ง”อีกคน ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสด้วย
อย่างน้อย คดีปริศนารถม้าที่หายไป ได้ถูกคลี่คลายไปแล้ว สหพันธ์ทั้งสามไม่จำเป็นต้องจ่ายชดเชยให้กับเจ้าของสินค้า เพราะเรื่องทั้งหมดล้วนเป็นเล่าเจี้ยง เจ้าของสินค้าที่แท้จริง ที่ก่อการขึ้นมาเอง คงไม่มีเจ้าทุกข์มาเรียกร้องค่าชดเชยสินค้าแล้ว
ส่วนเรื่องจูล่งมีสองคนนั้น มันต้องรีบรายงานให้กับพี่รอง จูกัดเหลียง อย่างแน่นอน เรื่องนี้น่าจะกลายเป็นเบาะแสสำคัญ เพราะอาจเชื่อมโยงไปถึงตัวลกซุน ศิษย์น้องคนเล็ก ผู้ที่ให้ความช่วยเหลือจูล่งตัวปลอม
ขณะที่กำลังขบคิดวุ่นวาย สุดท้าย จูกัดจิ๋นพลันเห็นกลุ่มคนแปลกหน้ากำลังเดินจากไปอีกทางหนึ่ง จนต้องรีบซ่อนตัว ตระหนักได้ทันทีว่า คนทั้งสามต้องเป็นบุคคลสำคัญที่สามารถจะสร้างความวุ่นวายให้แผ่นดินได้ในอนาคตอันใกล้นี้ ตนเองมิอาจตอแยได้

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา