21 ก.ค. 2021 เวลา 23:53 • นิยาย เรื่องสั้น
5.10. หยกกระเบื้องแหลกสลาย
แฮหัวสือ ลูกสาว - แฮหัวตุ้น เทพคุ้มครอง - โจเจียง(ลิเจียง) ลูกเขย
หลวงจีนองครักษ์ขยับจะช่วยเหลือเจ้านาย กลับปรากฏชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ในชุดพลทหารฝ่ายฮั่น ห้อยตัวลงมาจากต้นไม้ กวาดกระบี่ปาดผ่านลำคอของเหล่าหลวงจีนอย่างรวดเร็ว หมดจด แล้วค่อยทิ้งตัวลงมายืนพิงต้นไม้ คุมเชิงให้กับสุมาอี้ต่อไป
สุมาอี้ ฉุดรั้งอกเสื้อของบ้อคงเข้ามากระซิบเป็นการส่งท้ายก่อนจะสิ้นใจ “ตัวเจ้าผิดที่แสดงตนว่า มีสติปัญญาสูง ข้าจึงต้องตัดเจ้าออกไปจากกลุ่มเสียก่อน ในเมื่อเจ้าตายกลางสนามรบ ย่อมไม่มีใครคาดคิดว่าเป็นข้าที่ลงมือทำร้ายเจ้า เภาเจ๋ง ผู้เข้มแข็ง หรือ บังเต๊กกง ผู้ลึกลับ ก็ต้องคิดไม่ถึงเช่นกัน ดังนั้น ก็ปล่อยให้แผนการของเจ้าดำเนินต่อไปเถอะ สุดท้าย ขุมกำลังของเจ้าที่เพาะสร้างขึ้นมานี้ทั้งหมด ก็จะตกเป็นสมบัติของข้า ข้าจะเฝ้ารอ รอคอยวันที่ข้าจะ..โบยบิน สู่ฟากฟ้า ตระกูลสุมาจึงจะเป็นผู้ชนะที่แท้จริง”
สุมาอี้กระชากมีดสั้นกลับมาเก็บไว้ในอกเสื้อเช่นเดิม ปล่อยให้ร่างของหลวงจีนบ้อคงร่วงลงไปกองกับพื้นดินอย่างไม่แยแส พลางกวักมือไปบนต้นไม้คราหนึ่ง
เห็นเป็นหนุ่มใหญ่ร่างผอมสูง หน้าตาเจ้าเล่ห์ในชุดพลทหารฝ่ายฮั่นเช่นกัน หมุนตัวไต่ลงมาจากต้นไม้ ท่าทางไม่คล่องแคล่วนัก แตกต่างจากคนแรกลิบลับ “จงฮิว เตงงาย พวกเจ้าจงจัดการกับซากศพเหล่านี้ ให้ดูเหมือนถูกอาวุธตายในสนามรบ แล้วค่อยไปรอรับคำสั่งต่อไปที่เมืองอ้วนเซีย อ้อ ผลงานเสียงระเบิดประทัดนั้น ยอดเยี่ยมมาก ข้าประทับใจยิ่งนัก”
ความคิดวูบสุดท้ายของบ้อคง-เล่าเจี้ยง สำนึกเสียใจที่ไม่อาจทำภารกิจได้สำเร็จ กลับถูกลูกน้องรุ่นใหม่ หักหลังอย่างเจ็บปวดใจ เฉกเช่นเดียวกันกับเล่าเปียว ผู้เป็นลุง ที่ถูกชัวมอ ชัวฮูหยิน สองพี่น้องใจโฉด ลอบสังหารตายเมื่อหลายปีก่อน
ที่แท้ สุมาอี้ก็วางแผนการไว้ตั้งแต่แรก วูบหนึ่งที่มันนั่งในรถม้ากลับจากวัดป่าน้อย เขาจวนหยกสัน มองเห็นเจ้าสัวจงฮิว องครักษ์เตงงาย สองกำลังหลักจากสหพันธ์การค้าหมาป่าเงินของมัน กำลังนั่งพักผ่อนอยู่ใต้ร่มเงาต้นไม้ข้างทางโดยบังเอิญ ก็นึกขอบคุณฟ้าดินที่ส่งผู้ช่วยคนสำคัญมาช่วยงานได้ทันเวลาพอดี
มันเพียงต้องการสร้างความวุ่นวาย เบี่ยงเบนแผนการลอบจับตัวประกันของสองอาหลานแซ่เล่าให้ล้มเหลวอย่างแยบยล แล้วค่อยจัดการไปตามสถานการณ์เฉพาะหน้า หากมันไม่กวนน้ำให้ขุ่นเสียตอนนี้ เกรงว่า แผนการสู่ฟากฟ้าของนิกายแสงจรัสจะสำเร็จลุล่วง
มันเองก็เป็นแค่หมากตัวประกอบเม็ดหนึ่งในขบวนการเท่านั้น เพียงรอวันโดนกำจัดทิ้ง แต่สำหรับโจโฉแล้ว มันยังดูมีความสำคัญ และควบคุมเส้นทางชีวิตได้มากกว่า ดังนั้น มันจึงเลือกจะถือหางข้างจอมทรราชย์ต่อไป
นึกไม่ถึงว่า บ้อคง-เล่าเจี้ยง เห็นมันสร้างโอกาสให้เข้าใกล้โจโฉได้อีกครั้ง จึงกลับถือว่า มันเป็นกุนซือคนสนิท ฉุดรั้งมันไว้ใกล้ตัวกับองครักษ์เพียงไม่กี่คน ดังนั้น โอกาสทองในการสังหารเช่นนี้ ย่อมมีไม่มาก มันจึงจัดการสนองให้อย่างรวบรัดที่สุด เฉกเช่นเดียวกันกับบังทอง ผู้เป็นหลานของบังเต๊กกง ที่ตกตายแบบไร้รอยต่อจากเครือข่ายสุมา หนึ่งในคดีเปื้อนเลือดที่อาจจะถูกรื้อฟื้นขึ้นมาในวันหน้า
ความสัมพันธ์ของสุมาเต๊กโชกับนิกายแสงจรัสเป็นเช่นไร มันย่อมไม่อาจล่วงรู้ เพราะบิดาตกตายไปอย่างกระทันหัน ไม่ทันได้สั่งความอันใด มันจึงได้แต่ตีความตามเนื้อหาเฉพาะหน้า ในเมื่อบิดาวางรากฐานเครือข่ายสุมา เพื่อให้มันได้ขึ้นช่วงชิงความเป็นใหญ่ ก็ไม่มีเหตุผลอันใดที่จะต้องปล่อยให้นิกายแสงจรัส มีอิทธิพลเหนือขึ้นไปอีกทอดหนึ่ง
สิ่งสำคัญที่มันสนใจอยากรู้ต่อไปคือ ใครกันที่เป็นบังเต๊กกงผู้เร้นลับ เพราะหมากตัวอื่นๆ ที่เชื่อมโยงกันอยู่นั้น ล้วนผ่านตามันมาหมดสิ้นแล้ว บังเต๊กกง ผู้ควบคุมหุ่นชักใยทั้งหลาย และผู้สร้างอสุรกายให้เติบใหญ่ขึ้นมาเข่นฆ่ากันเองตั้งมากมายหลายคน
สงครามทุ่งเตียงปันจบสิ้นอย่างรวดเร็ว กองทัพเกงจิ๋วลงมือได้ผลงานที่น่าพอใจ และช่วยเหลือม้าเฉียวได้แล้ว จึงรีบร้อนถอนทัพกลับถิ่นฐานก่อนที่ฝ่ายรัฐบาลได้ทันตั้งตัว อย่างไรเสีย ขุมกำลังของเล่าปี่ก็ยังไม่พร้อมจะแตกหักกับโจโฉอย่างจริงจังในยามนี้
กุนซือสุมาอี้ ร่วมมือกันกับ ขุนพลอิกิ๋มที่ยังบาดเจ็บอยู่ ใช้เวลาไม่นาน สามารถรวบรวมกำลังพลตีกระหนาบกองทัพฝ่ายตรงข้ามที่ยังหลงเหลืออยู่ประปราย อีกทั้ง อิกิ๋มยังสั่งการให้ตัดสะพานคู่ทิ้งไปก่อน เพื่อป้องกันการตอบโต้กลับอีกเป็นระลอกสอง และตัดหนทางถอยของศัตรูที่เหลืออยู่ตรงหน้า
กองทัพเกงจิ๋วที่ล่าถอยไม่ทันจำนวนหนึ่ง และกองทัพโจรพรรคฟ้าเหลืองอีกหลายร้อยนาย รวมทั้งกองทัพธรรมที่มีอยู่ไม่ถึงพันคน จึงถูกปิดล้อมสังหารตายในสนามรบแทบหมดสิ้น สังเวยความแค้นที่ตนเองเสียหน้าต่อการดวลกับพยัคฆ์หนุ่ม ลิเจียง กลับสร้างความขุ่นเคืองต่อสุมาอี้ที่พยายามส่งสัญญาณห้ามปราม
ความสูญเสียของฝ่ายรัฐบาล คือ โจโฉ หายสาบสูญไปพร้อมกับเด็กน้อยตังชง โดยเพียงทราบข้อมูลว่า มีหลวงจีนชราฝ่ายตรงข้ามกำลังตามล่า และแฮหัวตุ้นที่ได้รับบาดเจ็บไม่น้อยยังคงติดตามไปช่วยเหลืออยู่ แต่ที่แน่นอน ก็คือ องครักษ์ใหญ่ เคาทู บาดเจ็บสาหัสปางตาย กระดูกซี่โครง และตามร่างกายหักยับเยินด้วยแรงกระแทกของศัตรูอันร้ายกาจ
ส่วนตัวการฝ่ายตรงข้าม มีลิเจียงถูกควบคุมตัวไว้ได้ก่อนแล้ว เตียวเฟิงหายสาบสูญ และหลวงจีนไม่ทราบชื่อที่นำกองทัพธรรมมาอีกรูปหนึ่งถูกอาวุธตายในที่รบ สุดท้าย ขุนพลเงาหิมะ ม้าเฉียวผู้ก่อการเริ่มต้น คงถูกพวกเกงจิ๋วช่วยเหลือพาตัวกลับไปแล้ว
สุมาอี้ จึงสั่งการให้ระดมพลออกตามหาเจ้านายให้ได้โดยเร็ว ทั้งหมดเพียงมีเบาะแสว่า โจโฉขี่ม้าหนีการไล่ล่าของหลวงจีนร้ายไปทางทิศใต้ เส้นทางทางหลวงที่คดเคี้ยวไปตามร่องเหวสูงชัน และทอดขนานไปกับแม่น้ำไต้กังอันกว้างใหญ่
ย้อนกลับมาที่โจโฉพาตังชงขี่ม้าฝ่ากองทัพมุ่งไปตามทางหลวง โดยมีหลวงจีนเภาเจ๋งวิ่งไล่ตามมาห่างๆ จู่ๆก็ปรากฏนางซัวบุ้นกี วิ่งสวนทางออกมาจากดงไม้เบื้องหน้า ร่ำร้องขอความช่วยเหลือ
โจโฉไม่กล้าหยุดม้า จึงเลื่อนตัวเหวี่ยงส่งตังชงไปทางด้านหลัง แล้วก้มลงคว้าร่างของนางคนรัก โอบอุ้มขึ้นมาไว้ด้านหน้า แต่เนื่องจากม้าศึกแบกรับน้ำหนักคนถึงสามคน จึงดูเหมือนความเร็วจะลดลงอย่างชัดเจน ราวกับว่าไปต่อไม่ไหวแล้ว
โจโฉเบี่ยงหน้ามองเภาเจ๋งที่ยังคงวิ่งไล่ตามมาไม่ลดละ รอบข้างห่างจากสมรภูมิรบแล้ว กลายเป็นทุ่งหญ้าสูงสองข้างทาง มันจึงเล็งมองกอหญ้าหนาทึบ ขยับกายจะเหวี่ยงตังชงที่อยู่ด้านหลังออกไป เพื่อลดภาระให้กับม้าที่อ่อนแรง
หากแต่นางซัวบุ้นกีที่อยู่ในอ้อมอก อ่านสีหน้าคนรักเก่าออก รีบคว้ามือโจโฉไว้ พร้อมส่ายหน้าวิงวอน ทำให้โจโฉถอนหายใจ เร่งฝีเท้ามาต่อไป ขณะที่หลวงจีนชราร่นระยะห่างเหลือเพียงสิบช่วงตัวม้าแล้ว
พอดีกับที่แฮหัวตุ้นควบม้าตามมาทันกับหลวงจีนชรา ใช้ดาบใหญ่ฟันใส่เภาเจ๋งตามสภาวะของม้า แต่เภาเจ๋งคล้ายมีตาอยู่ด้านหลัง จึงลอยตัวตีลังกาข้ามกลับมาคร่อมม้าจากทางด้านหลัง พร้อมยื่นมือตะกุยใส่แฮหัวตุ้นเป็นการตอบโต้คืน
แฮหัวตุ้นคุ้นเคยกับการต่อสู้บนหลังม้ามานาน จึงเบี่ยงกายเกี่ยวขาไว้กับเชือกคาดอานม้า ปล่อยตัวไปทางขวาคล้ายถูกผลักร่วง แต่กลับเหวี่ยงตัวเป็นวงกว้าง หันมาฟันดาบใหญ่ใส่หลวงจีนได้อีกครั้ง
สภาวะดาบครั้งนี้รุนแรงและเกินคาดหมาย เภาเจ๋งพับตัวไปข้างหน้า หลบคมดาบทันก็จริง แต่ม้าศึกกลับถูกฟันสันคอขาดล้มลงครูดกับพื้น พลอยลากเอาหลวงจีนและขุนพลถูกลากไถลไปกับพื้นดินพักใหญ่ค่อยหมดฤทธิ์ ทำเอาเสื้อผ้าเนื้อตัวของยอดยุทธ์ทั้งสองคนถลอกปอกเปิกไปตามกัน ปล่อยให้ม้าของโจโฉหลุดรอดห่างไกลไปอีกครั้ง
เภาเจ๋งเห็นว่า ตนเองบาดเจ็บเสียเลือดไปมาก ไม่อยากสุ่มเสี่ยงกับแฮหัวตุ้น จึงขยับจะไล่ล่าโจโฉที่เป็นเป้าหมายสำคัญต่อไป แต่แฮหัวตุ้นยังสู้ตาย ถึงกับใช้สองมือเปล่ายื้อยุดขาของเภาเจ๋งเอาไว้ ซื้อเวลาให้กับโจโฉให้ได้มากที่สุด จนแม้แต่โจโฉยังต้องหลั่งน้ำตาให้ในขณะที่ควบม้าหนีต่อไป พลันนึกถึงฉากการสูญเสียของเตียนอุย โจงั่งในอดีต
เภาเจ๋งเงื้อฝ่ามือขึ้น หมายจะฟาดใส่ที่หัวของแฮหัวตุ้นให้จบสิ้นเรื่องราว แต่ทันใดนั้น กลับมีม้าศึกพุ่งทะยานออกมาจากดงไม้ด้านข้าง กระแทกใส่ทั้งเภาเจ๋ง และแฮหัวตุ้นอย่างกระทันหัน จนร่างของทั้งสองคนหมุนคว้าง เสียหลักไปหลายก้าว
พอเภาเจ๋งตั้งสติได้ ก็แลเห็นเป็นทหารเลวร่างเล็กผู้หนึ่งคว้าร่างอันบอบช้ำหมดสติของแฮหัวตุ้นพาดหลังม้า ควบหนีไปทิศทางเดียวกันกับโจโฉแล้ว จึงรีบเร่งฝีเท้าไล่ตามไปเช่นเดียวกัน
ทหารเลวที่โผล่มาช่วยเหลือแฮหัวตุ้นได้ทันเวลาพอดีนั้น ก็คือ นางแฮหัวสือ บุตรีของแฮหัวตุ้นนั่นเอง ระหว่างที่เกิดการเจรจาต่อรองที่ทุ่งเตียงปัน นางพยายามช่วยเหลือตัวประกัน ซัวบุ้นกี แม่ลูก ออกจากกระโจมแม่ทัพมาได้ โดยปลอมตัวปะปนอยู่ในหมู่ทหารเลว แต่สุดท้าย ตังชงกลับแสดงพิรุธให้ลิเจียงจับตัวไปได้ทั้งแม่ลูก
นางจึงค่อยๆเบียดเสียดทำตัวกลมกลืนกับเหล่าทหาร จนห่างไกลจุดสำคัญ แล้วรอจังหวะจนเกิดเหตุการณ์วุ่นวาย ค่อยหลบหนีออกจากสมรภูมิมาก่อน จนเห็นว่า ห่างไกลมากแล้ว จึงถอดชุดทหารหยุดพักม้าอยู่ที่ดงไม้ข้างเหวสูงชัน กลับได้พบเห็นเหตุการณ์ระทึกขวัญของบิดาตนกับหลวงจีนร้าย และได้เสี่ยงชีวิตเข้าช่วยเหลือบิดาได้ในที่สุด
นางแฮหัวสือตระหนักดีว่า ไม่ใช่คู่มือต่อกรกับหลวงจีนเฒ่าได้เลย จึงต้องยอมเสียน้อยแลกมาก ใช้กระบวนท่าประจำตระกูล “หยกกระเบื้องแหลกสลาย” บังคับม้าศึกกระแทกใส่ทั้งหลวงจีนและแฮหัวตุ้น เพื่อให้มีจังหวะสอดแทรกพาตัวออกจากจุดอับไว้ก่อน
นางพยายามกระตุ้นเรียกสติบิดา แต่ยังไม่ได้รับการตอบสนองใดๆ สร้างความวิตกกังวลต่อนางยิ่งนัก จนรู้สึกปวดหน่วงที่ท้องน้อย หรือว่า ถึงกำหนดต้องคลอดทารกเสียแล้ว
เคราะห์ซ้ำกรรมซัด เพิ่งวิ่งมาถึงเนินหญ้าโล่ง ซึ่งเป็นที่พักม้าระหว่างทางหลวงกับเหวชัน ม้าศึกที่ผ่านการควบขี่มานาน และถูกกระทบกระเทือนด้วยการชนอย่างแรงเมื่อครู่ กลับมีอาการนำ้ลายฟูมปาก ฟุบตัวลงกับพื้นแน่นิ่งอยู่กับที่ ปล่อยให้แฮหัวสือต้องไถลตัวลง และลากแฮหัวตุ้นลงไปพักผ่อนอยู่ข้างทางอย่างอับจนปัญญาแล้ว
เสียงอุทานดังขึ้นจากพุ่มไม้ด้านข้าง แล้วเป็นโจโฉ ซัวบุ้นกี กับตังชง โผล่ออกมาอย่างงุนงง และตกใจ โจโฉรีบตรงเข้ามาดูอาการของลูกพี่ลูกน้องของตนด้วยความเป็นห่วง ในขณะที่นางซัวบุ้นกี ตังชงที่พอคุ้นเคยอยู่กับแฮหัวสือ สอบถามเรื่องราวที่เกิดขึ้น
ที่แท้ ม้าศึกของโจโฉแบกคนสามคนมาเนิ่นนาน จนถึงบริเวณเดียวกันนี้ ก็เกิดอาการหมดแรงเช่นเดียวกัน ทั้งหมดจึงหยุดพักม้าอยู่ตรงนี้ แต่เมื่อเกิดเสียงฝีเท้าม้าเร่งใกล้เข้ามา โดยไม่รู้ว่าเป็นฝ่ายใดติดตามมาหรือเปล่า โจโฉจึงตัดสินใจ ผลักไสม้าให้ตกลงไปในเหวลึกข้างทาง เพื่อปกปิดร่องรอย และรีบแอบซ่อนอยู่ที่พุ่มไม้ข้างทาง
อาการของแฮหัวตุ้นหนักหนาสาหัสไม่น้อย จนถึงบัดนี้ ยังไม่ได้สติกลับคืนมา โจโฉจึงต้องยอมสละยาเม็ดคุ้มครองชีพจร และทายาสมานแผลชั้นดี ที่เคยได้เป็นของกำนัลมาจากหมอฮัวโต๋ เพื่อใช้ช่วยชีวิตขุนพลคู่ใจเอาไว้ก่อน
พอได้รับตัวยาชั้นดี สีหน้าของแฮหัวตุ้นก็เริ่มดีขึ้นอย่างชัดเจน ไม่เสียชื่อยี่ห้อของหมอวิเศษแห่งยุคเลยแม้แต่น้อย แต่ยามกระทันหัน กลับยังไม่ฟื้นคืนสติในทันที
เสียงฮ่าฮ่าฮ่าดังก้องมาก่อน ตามมาด้วยร่างที่สะบักสะบอม เต็มไปด้วยเลือดและบาดแผลของหลวงจีนเภาเจ๋ง ที่ค่อยๆเดินสาวเท้ามาตามทางหลวงอย่างย่ามใจ พวกโจโฉตื่นตระหนก แต่ในเมื่อคงหลบหนีไม่พ้นแล้ว โจโฉจึงชักกระบี่ออกมาปกป้องผู้หญิงและเด็ก ตระเตรียมเสี่ยงชีวิตแล้ว
“เราไม่เคยแค้นเคืองอันใดต่อกันมาก่อน เหตุไรจึงต้องหมายปองชีวิตของข้า” โจโฉเอ่ยถาม เพื่อประวิงเวลา และประเมินท่าทีของฝ่ายตรงข้าม
“เจ้าจำข้าไม่ได้จริงๆหรือ เมิ่งเต๋อ” เภาเจ๋งรื้อฟื้นความหลังให้คร่าวๆ แต่ที่จริง ก็เพื่อได้มีโอกาสพักเหนื่อยไปด้วยเช่นกัน “ข้าคือเล่าฉวน คนที่รับเจ้าเข้าสู่วงการทหารในเมืองหลวงเมื่อหลายสิบปีก่อนยังไงเล่า”
โจโฉเบิกตากว้าง เงาร่างของหลวงจีนสูงศักดิ์ที่คุ้นตาสองคนนั้น ที่แท้ก็คือ เล่าเจี้ยง ทายาทของเล่าเอี๋ยน กับเล่าฉวน สองในสามเชื้อพระวงศ์ที่มีอำนาจสูงส่งในช่วงเวลาที่มันเพิ่งเริ่มต้นเข้ารับราชการในเมืองหลวงนั่นเอง เมื่อมาถึงขั้นนี้ก็แสดงว่า ทั้งสองวางแผนมาอย่างยาวนาน และต้องการก่อการยึดอำนาจจากตัวมันอย่างแน่นอนแล้ว
ร่างของโจโฉสั่นสะท้าน เหมือนควบคุมอารมณ์ไว้ไม่อยู่ วางกระบี่ไว้ข้างกายพร้อมกับถอดหมวกขุนศึกออก ค่อยๆทรุดตัวลงคุกเข่าคารวะต่อหลวงจีนชราที่เดินมาถึงเบื้องหน้าพอดี ราวกับขุนนางที่กำลังทำความเคารพต่อเชื้อพระวงศ์ผู้สูงศักดิ์ พลางก้มหน้าโขกพื้น พร้อมกล่าวคำสำนึกผิด “หากแม้นข้าน้อยล่วงรู้มาก่อนว่าเป็นพวกท่าน เรื่องราวคงจะง่ายดายกว่านี้แล้ว ขอพระราชทานอภัยโทษด้วยเถิดพะยะค่ะ”
เภาเจ๋งเห็นฝ่ายตรงข้ามปลดอาวุธ ถอดเครื่องป้องกันตัวออก พร้อมกับยอมศิโรราบเช่นนี้ จึงนึกกระหยิ่มใจ ความคิดโลดแล่นต่อไปว่า จะจับกุมตัวเอาไว้ หรือเพียงแค่ควบคุมบังคับเอาไว้ใกล้ตัว จึงจะดี เพราะฝ่ายตรงข้ามเองก็มีหลายคน ซึ่งเป็นทั้งผู้หญิง และเด็กเล็ก ด้วย จนเสียสมาธิไปชั่ววูบ
โจโฉเงยหน้าขึ้น พร้อมหงายฝ่ามือทั้งสองขึ้นกระตุกกลไกลับที่ซุกซ่อนเอาไว้ กลับเป็นเข็มเล็กจำนวนมาก พุ่งออกมาเป็นสาย ปักเข้าเต็มใบหน้า และหน้าอกของเภาเจ๋งที่ไม่ทันระวัง เต็มแรง จนร่างหลวงจีนชราถอยหลังไปหลายก้าว เลือดไหลอาบตามใบหน้า และกลางอก
แฮหัวสือเห็นเป็นจังหวะทองที่หาไม่ได้แล้ว จึงวิ่งเข้ากระแทกใส่ หมายจะใช้กระบวนท่าเดิม ฉุดรั้งหลวงจีนให้ตกเหวไปพร้อมกัน หากแต่เภาเจ๋งยังไม่หมดฤทธิ์ง่ายๆ ถึงกับสะบัดตัวเบี่ยงทิ้งร่างของสาวน้อยแฮหัวสือ ตกลงไปในช่องเหวลึกเหนือแม่น้ำไต้กังเบื้องล่างเพียงคนเดียว
ซัวบุ้นกี ตังชง เห็นวิธีการของแฮหัวสือ อาจจะได้ผล เพียงแต่ยังมีข้อผิดพลาดอยู่ จึงตัดสินใจพร้อมกัน ต่างรีบไถลตัวฉุดรั้งท่อนขาของหลวงจีนไว้คนละข้าง เหวี่ยงร่างตัวเองลงไปห้อยอยู่กับหุบเหวแล้ว เพื่อถ่วงน้ำหนักเพิ่มให้ตกตายไปตามกัน แต่หลวงจีนก็ยังกดเท้าทิ้งร่างรั้งเอาไว้ พร้อมเงื้อฝ่ามือ หมายฟาดสตรีและเด็กที่บังอาจทำร้ายตนเอง
เสียงฉึกดังขึ้นจากข้างหลังเภาเจ๋ง เป็นโจโฉฉวยจังหวะที่เภาเจ๋งมัววุ่นวายอยู่กับพวกสตรีและเด็ก รีบใช้กระบี่แทงใส่ด้านหลัง จนปลายกระบี่ทะลุกลางอก โลหิตทะลักออกมาเป็นสายออกมาแล้ว
เภาเจ๋งสะดุ้งสุดตัวด้วยไม่คาดคิดว่า ตนเองที่เป็นสุดยอดฝีมือแห่งแผ่นดิน จะโดนรุมทำร้ายจนปางตายจากคนที่อ่อนแอกว่าเพียงสามสี่คนเช่นนี้ จึงหัวเราะระบายความแค้นในใจ พร้อมหมุนตัวเหวี่ยงสะบัดซัวบุ้นกีและตังชง ลอยละลิ่ว ร่วงลงสู่ห้วงน้ำทันที
ในขณะที่จะจัดการขั้นเด็ดขาดต่อโจโฉ กลับเห็นเงาร่างหนึ่งพุ่งเฉียดกายลงไปทางหุบเหวด้วยอีกคน เป็นโจโฉที่ตะโกนก้องอย่างสุดเสียง “ซัวบุ้นกี” พร้อมสะบัดแส้ม้าให้นางอันเป็นที่รักคว้าจับเอาไว้ ทำให้เภาเจ๋งรีบยื่นมือไปหมายจะคว้าเอาตัวโจโฉไว้ เพราะยังคงต้องการจับตัวโจโฉไว้เป็นตัวประกัน ไม่ใช่ปล่อยให้ตกเหวตายไปเช่นนี้
แต่แล้ว เกิดเสียงกร๊อบดังสนั่นขึ้นกระทันหัน เภาเจ๋งรู้สึกเหมือนโดนท่อนไม้กระแทกเข้าที่ข้างหู จนหมดสติไปในทันที ร่างที่บาดเจ็บสะสมมากมายหมุนคว้างอย่างเสียหลัก เดินโซเซไร้จุดหมาย และก้าวหล่นลงสู่ห้วงน้ำใหญ่ไปอีกคนหนึ่ง ทั้งสูญเสียโอกาสสุดท้ายที่จะจับกุมโจโฉ ทั้งสูญเสียโอกาสที่จะมองเห็นใบหน้าคนที่ลงมือ
บนเนินเล็กๆนั้น หลงเหลือเพียงแฮหัวตุ้นที่ใช้ท่อนไม้ที่เพิ่งทุบตีผู้คน ค้ำยันร่างกายเอาไว้ เสียงในใจพลันดังขึ้น “ท่านพี่โจโฉ นี่คือวาระสุดท้ายของท่านแล้วหรือ”
ภาพร่างของโจโฉคือผู้นำ เคียงคู่กันฝ่าฟันสร้างฐานะมากับตัวมันและน้องๆตั้งแต่ในวัยเยาว์ คาดคิดไม่ถึง ในยามที่พี่ใหญ่ตกตายไปอย่างกระทันหัน มันกลับเกิดความคิดฮึกเหิมสายหนึ่งขึ้นภายในใจ “หรือถึงเวลาที่เราจะต้องก้าวผ่านร่มเงาของพี่ใหญ่ กอบกู้ศักดิ์ศรีกลับคืนสู่สกุลแฮหัวสักที”
เสียงฝีเท้าม้าดังกึกก้องขึ้นทางด้านหลัง พร้อมกับกองทหารที่นำมาโดยอิกิ๋มและสุมาอี้ วิ่งเข้ามาประคองร่างของขุนพลตาเดียว แฮหัวตุ้นรู้สึกตัว พลันคับแค้นต่อชะตากรรม จนอดเปล่งเสียงร้องระบายอารมณ์ออกมาไม่ได้ “หากพวกเจ้ามาเร็วกว่านี้เพียงชั่วอึดใจเดียว ท่านวุยก๋งก็คงจะไม่ถูกทำร้ายจนเสียชีวิตเช่นนี้ ท่านวุยก๋งตายแล้ว พี่โจโฉตายไปเสียแล้ว โธ่เอ๊ย”
แฮหัวตุ้นร่ำไห้คร่ำครวญอย่างไม่แยแสสายตาใคร เหล่าทหารทั้งหลายรีบคุกเข่าร่ำไห้ ไว้อาลัยต่อผู้ที่จากลับไปเช่นกัน อย่างน้อย โจโฉก็เป็นที่รักใคร่ของลูกน้องยิ่งนัก
สุมาอี้ กุนซือเต่าสมถะ รับฟังคำบอกเล่าของแฮหัวตุ้นอย่างตั้งใจพร้อมซักถามรายละเอียดของเหตุการณ์ แล้วรีบประเมินสถานการณ์ หากปล่อยให้ข่าวการตายของโจโฉแพร่สะพัดไป เกรงว่า ขุมอำนาจต่างๆจะคิดชิงความเป็นใหญ่ ดังนั้น การลงมือก่อนน่าจะได้เปรียบกว่า
ในบรรดาตัวเลือกทายาททั้งหมด สุมาอี้สรุปในใจว่า โจผี บุตรชายคนโตของโจโฉ เหมาะสมจะได้ขึ้นตำแหน่งแทนบิดาผู้ล่วงลับ เพราะเป็นลูกศิษย์ของตัวเองมานาน จึงสมควรที่จะควบคุมได้ง่ายที่สุด มันจึงต้องรีบกลับไปประกบตัว และสร้างกองกำลังฉุกเฉิน เพื่อตั้งรับกับสถานการณ์ที่อาจจะลุกลามต่อไป
สำหรับสุมาอี้ ณ ขณะนี้ มันไม่ค่อยหวั่นเกรงพวกนักการเมืองหรือนักรบสักเท่าใด เพราะความสามารถในการวางแผนยังจำกัดกว่าพวกที่ใช้สมอง ดังนั้น เล่าปี่ ผู้นำเสฉวน ซุนกวน ผู้นำกังตั๋ง กษัตริย์เหี้ยนเต้ ผู้นำราชวงศ์ฮั่น หรือแม้แต่ เตียวหยุน- เตียวจูล่ง ประมุขพรรคฟ้าเหลือง จึงไม่ได้อยู่ในสายตาของมัน
สิ่งที่มันกริ่งเกรง ก็คือ การตายของบ้อคง-เล่าเจี้ยง และเภาเจ๋ง-เล่าฉวน จะฉุดลากให้บังเต๊กกงเผยโฉมออกมาจัดการเรื่องราวต่างๆในขั้นต่อไป ตัวบุคคลสำคัญที่มีสติปัญญา อันได้แก่ กาเซี่ยง กุนซือเงาปีศาจที่ฮูโต๋ เตียวเจียว เสนาบดีเฒ่าซ่อนคมที่กังตั๋ง ตันฮก กุนซือกิเลนพิสดารที่เกงจิ๋ว เอียวสิ้ว บัณฑิตหนุ่มปากไวที่เตียงอัน ล้วนแต่กำลังสืบต่อตามแผนการโค่นราชบัลลังก์ขั้นต่อไปที่เล่าเจี้ยงกำหนดเอาไว้ก่อนตาย
ขุมกำลังลับสามประสาน อันได้แก่ กองทัพธรรม พรรคฟ้าเหลือง เครือข่ายสุมา นับได้ว่า กลุ่มแรกได้ถูกทำลายแทบหมดสิ้นไปในศึกทุ่งเตียงปันไปแล้ว ดังนั้น พรรคฟ้าเหลือง และเครือข่ายสุมา จะมีบทบาทสำคัญมากขึ้นเป็นทวีคูณ หากมันช่วงชิงพื้นที่ได้เปรียบไว้ก่อน เครือข่ายสุมาจะขึ้นมาเป็นแกนหลักในองค์กรลับนี้ เพียงแต่ว่า บังเต๊กกง คือใคร ยังไม่มีผู้ใดตอบได้เสียด้วย จึงไม่อาจคาดเดาความคิดของบุคคลลึกลับผู้นี้ได้เลย
นี่ยังไม่นับตัวละครอื่นๆที่เริ่มมีอิทธิพลในวงการการเมือง อันได้แก่ จูกัดเหลียง กุนซือมังกรซ่อน และ หวดเจ้ง กุนซือเดชนกยูง ที่เสฉวน และ ลกซุน กุนซือพยัคฆ์คะนองที่กังตั๋ง ที่อาจจะฉวยโอกาสนี้ เพิ่มความได้เปรียบให้กับขุมกำลังที่ตนเองสังกัดอยู่ แต่กลุ่มนี้ยังพอทำเนา เนื่องจากสถานภาพของแต่ละคนในสังกัดที่อยู่ ก็ยังไม่มั่นคงเพียงพอ
สุมาอี้ จึงสั่งการให้อิกิ๋ม และกองทหารเมืองอ้วนเซียสืบค้นร่องรอย หรือซากศพของโจโฉไปตามเส้นทางแม่น้ำด้านล่างต่อไป แล้วตนเองกับแฮหัวตุ้น พร้อมกับเคาทูที่บาดเจ็บสาหัส และลิเจียงที่ถูกจองจำ นำกองทัพที่เหลือ มุ่งหน้ากลับสู่ฮูโต๋โดยเร็ว
ถึงแม้ทางแจ้งจะปิดข่าวการตายของโจโฉไว้ได้ก็จริง แต่ทางลับ สายสืบจารชนของแต่ละขุมกำลังคงกำลังแจ้งข่าวกันวุ่นวายไม่น้อยแล้ว

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา