6 ส.ค. 2021 เวลา 02:12 • นิยาย เรื่องสั้น
5.23. เด็ดปีกพยัคฆ์ลำพอง
ซุนเปิน ซุนฟู คนนอกแถวสกุลซุน - จูกัดกิ๋น กุนซือจอมวางยา
กองทัพเรือฝ่ายกังตั๋งนับพันลำ ล่องข้ามลำน้ำไต้กังในยามบ่าย มุ่งสู่เมืองหับป๋าก่อนกำหนดเวลาที่วางไว้ครึ่งค่อนวันอย่างจงใจ โดยมี ซุนกวน จูกัดกิ๋น ลกซุน เป็นทัพหลวง ซุนของ ซุนลอง เป็นทัพขวา ลิบอง พัวเจี้ยง เป็นทัพซ้าย ทั้งหมดล้วนแยกย้านกันประจำอยู่บนเรือรบขนาดใหญ่กลางขบวนทัพที่รายล้อมด้วยเรือบรรทุกทหาร และเรือเร็วสำหรับรบทางน้ำ ตั้งเป้าให้ถึงชายฝั่งใกล้เที่ยงคืน เพื่อไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามทันตั้งตัว ตามที่จูกัดกิ๋น กุนซือประจำทัพ เปลี่ยนเวลาดัดหลังแผนรบที่รั่วไหลออกไป
ขบวนเรือแล่นใกล้ถึงฝั่งเมืองหับป๋าอย่างราบรื่น สายข่าวรายงานว่า เตียวเลี้ยวเพิ่งเคลื่อนกำลังออกไปจัดเตรียมเสบียงกรังนอกเมือง คงไม่ทันตั้งรับการศึกในยามกระทันหันเช่นนี้ กำลังพลที่เหลืออยู่ในเมืองเวลานี้ อาจมีน้อยกว่าหลักหมื่นด้วยซ้ำ ยิ่งสร้างความกระหยิ่มใจให้กับคนฝ่ายใต้มากยิ่งขึ้น คงมีแต่ลกซุน กุนซือพยัคฆ์คะนอง มองท้องฟ้าแล้วกลับสังหรณ์ใจอยู่บ้าง จนซุนกวนสังเกตเห็น “ลกซุน เจ้ากังวลใจอันใดหรือ”
“พวกเราเปลี่ยนแปลงเวลาเดินทางทางน้ำ สวนทางกับบันทึกการศึกในอดีตกาล เพื่อหวังจะโจมตีฝ่ายตรงข้ามในยามวิกาล หากแต่คนรุ่นก่อนอาจพบเห็นสิ่งใด จึงเน้นย้ำไว้ในเรื่องดังกล่าวหรือไม่ ข้าน้อยไม่ทราบแน่ชัด” ลกซุนขมวดคิ้วตอบคำ
“อาจบางที คนโบราณก็ยึดติดในกรอบเกินไปกระมัง เจ้าอย่าใส่ใจไปเลย” ซุนกวนพูดพลางใช้มือปัดป่ายชายธงที่โบกปลิวมาใกล้ตัว “ลิบอง พัวเจี้ยง กรำศึกมานาน สมควรมีประสบการณ์ไม่น้อย ยังมิได้กล่าวคัดค้านจูกัดกิ๋นที่เสนอแผนการมาเช่นนี้”
ลกซุนตาเบิกโพลง ฉุกคิดขึ้นได้ในทันที “เป็นกระแสลมนี่เอง ยามค่ำคืน ลมยังคงพัดออกมาจากฝั่งด้านหับป๋ามาทางกองทัพของเรา จนกว่าจะถึงรุ่งสาง ลมจึงจะเปลี่ยนทิศ หากช่วงเวลานี้ มันฉวยโอกาสใช้ลมและไฟโจมตี เราอาจจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ”
เพียงขาดคำ สิ่งที่ลกซุนกังวลก็ปรากฏขึ้นในทันที ราวกับคำพยากรณ์ประกาศิต ขบวนเรือด้านหน้ากระทบกับถังไม้ลอยน้ำจำนวนมากมายที่ผูกโยงกันไว้อย่างจงใจ จนต้องชะลอการรุกคืบ
ที่จริงแล้ว เตียวเลี้ยวมิใช่ขุนศึกอ่อนหัด หลงเชื่อในการข่าวมากกว่าความเป็นจริง จึงตระเตรียมการไว้พร้อมสรรพ พอกองทัพเรือกังตั๋งเคลื่อนมาถึงจุดสมรภูมิ ฝ่ายเตียวเลี้ยวจึงเคลื่อนทัพเกลียวคลื่นออกมาตั้งแถว และสั่งการให้ปล่อยท่อนไม้น้อยใหญ่จำนวนมาก กีดขวางเส้นทางเรือไม่ให้เข้าถึงชายฝั่งโดยง่าย แล้วค่อยปล่อยโคมไฟลอยฟ้าอีกจำนวนหนึ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า แสงไฟตัดกับความมืดในยามค่ำคืนโดดเด่นสะดุดตา จนฟ้าสว่างเป็นเส้นสายสีส้มแดง ดูสวยงามอยู่ไม่น้อย
เมื่อลอยตามกระแสลมออกนอกฝั่งได้สักพักหนึ่ง คงหมดเชื้อไฟหนุนส่ง ตัวโคมลอยก็ทะยอยร่วงหล่นอยู่ใกล้กับขบวนเรือกองหน้าพอดี และแล้ว ทั้งเพลิงไฟทั้งสะเก็ดระเบิดก็แตกกระจาย และลุกลามไปทั่วทั้งท้องน้ำอย่างรวดเร็ว สร้างความเสียหายต่อกองทัพเรือแถวหน้าไปหลายสิบลำ เสียงตูมตามดังสนั่นไม่ขาดระยะ
ลกซุนมองดูเหตุการณ์ด้านหน้า ทำให้นึกถึงกลศึก “ลมวิหคธนูกระเรียน” ที่คราวก่อน จูกัดเหลียงนำมาใช้ในศึกเซ็กเพ็ก ฝ่ายข้าศึกคงนำมาดัดแปลง อาศัยแรงลมส่งโคมลอยพร้อมเชื้อไฟ ปล่อยออกมาให้ร่วงหล่นในจุดที่กำหนด ผูกเตรียมถังน้ำมันเป็นแนวรับไว้ก่อน หรือแม้แต่จะแอบสอดไส้ถังน้ำมันกับถังดินระเบิดปะปนมากับท่อนไม้กีดขวาง พอทั้งสองสิ่งมาบรรจบกัน จึงเกิดเป็นเปลวเพลิงสะเก็ดระเบิดปลิวว่อนไปทั่วบริเวณ
จูกัดกิ๋นในฐานะกุนซือใหญ่ประจำทัพ รีบส่งสัญญาณสั่งการให้กองเรือส่วนหน้าที่ได้รับความเสียหายแล้ว ผูกโซ่โยงเข้าหากัน ยอมเสียสละเรือย้ายทหารก่อน ค่อยใช้เรือผลักดันกองเพลิงออกไปจากพื้นที่สำคัญ และโบกธงสั่งให้กองทัพลิบอง พัวเจี้ยงด้านซ้ายรุกคืบไปด้านหน้าก่อน ปล่อยให้กองทัพซุนของ ซุนลอง แปรขบวนจัดการลดทอนความเสียหายเบื้องหน้า เพื่อเปิดทางให้กองทัพหลวงของซุนกวนเคลื่อนที่ไปได้อย่างสะดวกปลอดภัยมากขึ้น กองทัพเรือฝ่ายกังตั๋งมีจำนวนนับพัน ความเสียหายที่เกิดขึ้นเพียงเล็กน้อยยังไม่อาจหยุดยั้งได้ดอก
แต่พอเกิดความวุ่นวายปั่นป่วนขึ้นเช่นนี้ ขวัญกำลังใจของทหารฝ่ายกังตั๋งที่ฮึกเหิมมาตลอดทางย่อมลดทอนลงไปไม่น้อย เตียวเลี้ยวจึงไม่ลดละ รีบสั่งการให้ระดมยิงรถฟ้าลั่น อันได้แก่ เครื่องยิงก้อนหิน ลูกไฟ แท่งไม้ ออกมาซ้ำเติมในระยะหวังผล เสียงระเบิดยังเกิดขึ้นต่อเนื่องในจุดต่างๆตามลำน้ำห่างไกล แสดงว่า กับดักทุ่นระเบิดลอยน้ำที่ลกซุนคาดเดาไว้นั้น น่าจะเป็นเรื่องจริงแล้ว
กระแสลมยังคงพัดมาจากชายฝั่ง อาวุธระยะไกลของฝ่ายรัฐบาล จึงเคลื่อนไปได้ไกลกว่าฝ่ายกังตั๋งตามแรงลม แม้ว่าเกาทัณฑ์ หรือเครื่องยิงอาวุธที่สร้างเลียนแบบฝ่ายตรงข้ามขึ้นมานั้น จะมีประสิทธิภาพพื้นฐานทัดเทียมกัน แต่ยังไม่อาจแสดงประสิทธิภาพในการโจมตีตอบโต้ได้ จึงต้องตกเป็นฝ่ายตั้งรับด้านเดียว แม้แต่บั้งไฟมังกรที่เป็นอาวุธทำลายที่รุนแรง ก็ไม่อาจใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ในตอนนี้
เสียงโห่ร้องปะทะกันด้วยทัพเรือดังมาจากด้านหลัง พร้อมกับเปลวเพลิงที่ลุกไหม้ขึ้น ทหารข่าวรีบวิ่งมารายงานต่อซุนกวนและกุนซือทั้งสอง “เป็นท่านซุนเปิน ซุนฟู ทรยศ นำทัพเรือหลายสิบลำ เข้าโจมตีพวกเรามาจากด้านหลัง ขุนพลตันบูซึ่งอยู่ในขบวนระวังหลัง ยอมเสียสละชีพ ชะลอการบุกให้กับทัพหลวงไปแล้ว”
ซุนเปิน ซุนฟู่ ทายาทของซุนเฉียง พี่ชายซุนเกี๋ยน เมื่อครั้งซุนกวนรับช่วงสืบต่อจากซุนเซ็ก สองพี่น้องเคยเคลื่อนไหวชิงอำนาจผ่านซุนเชียงผู้ล่วงลับ แต่ถูกสยบไปด้วยฝีมือของจิวยี่ จนเก็บตัวทำหน้าที่การงานเงียบๆมานาน จนมาถึงศึกครั้งนี้ ทั้งสองได้เสนอตัวมาช่วยรบบ้าง หลังจากเคยพลาดโอกาสไปในศึกเซ็กเพ็กคราก่อน
ซุนกวนเห็นแก่ว่าเป็นเครือญาติกัน จึงยอมเปิดโอกาสให้ทั้งสองนำขบวนเรือที่ตระเตรียมมาเองนั้น เข้าเสริมกำลังอยู่ทางด้านหลังขบวน ทำหน้าที่ดูแลกองเสบียงหลักของกองทัพ ซึ่งไม่ค่อยสำคัญทางการรบมากนัก แต่นึกไม่ถึง กลับกลายเป็นการชักศึกเข้าบ้าน วางตำแหน่งพิฆาตให้ฝ่ายทรยศหักหลังไปเสียได้
แม้ว่ากองกำลังของฝ่ายซุนเปิน ซุนฟู่ มีจำนวนน้อยกว่ากองทัพหลวงหลายเท่า แต่การรุกโจมตีกระทันหันจากเบื้องหลัง ทำให้อำนาจในการทำลายล้างเกิดขึ้นเป็นวงกว้างอย่างรวดเร็ว เรือรบขนาดกลาง และขนาดใหญ่ไม่ทันหันเรือไปตั้งรับได้ทัน ถูกทำลายลงลำแล้วลำเล่า พร้อมกับเหล่าทหารที่หนีตายลงไปลอยคออยู่ในน้ำ จนลำน้ำแดงฉาน แต่ดูเหมือนดวงตาของซุนกวนจะแดงฉานมากกว่า เมื่อสะท้อนกับแสงไฟ
“สังหารคนทรยศ ไม่ต้องละเว้น” ซุนกวนออกคำสั่งตัดความสัมพันธ์ในทันที
กองทัพฝ่ายซุนของ ซุนลอง เป็นกองเรือเร็ว เพิ่งกำจัดกองเพลิงกีดขวางด้านหน้าได้ลุล่วง จึงรีบตีวงอ้อมกลับมาช่วยต้านทานให้ เพื่อเป็นการเพิ่มเวลาให้กองทัพหลวงที่มีจำนวนหลายร้อยลำได้ทันตั้งตัว เพราะกองทัพหลวงเป็นเรือขนาดกลาง และขนาดใหญ่ที่อุ้ยอ้ายเคลื่อนไหวช้า เน้นไปที่เรื่องการบรรจุทหารมาจำนวนมากๆ ไม่ใช่กองเรือที่คล่องแคล่วในกระแสน้ำ เหมือนกับอีกสองกองทัพซ้ายขวา
แต่แล้ว ความปั่นป่วนยังไม่สิ้นสุด กองทัพฝ่ายรัฐบาลฮั่นที่ร่ำลือกันว่า ออกไปจัดเตรียมยุ้งฉาง กลับออกเรือมาร่วมโจมตีจากฝั่งด้านขวาเข้าอีกหนึ่งกอง ตรงเข้าประจัญบานกับขบวนเรือของซุนของ ซุนลอง กองทัพฝ่ายขวาจึงกลายเป็นถูกรุมขนาบเข้าใส่จากทั้งสองด้าน เริ่มถูกทำลายลงทีละลำสองลำอย่างรวดเร็ว แม้แต่เรือใหญ่ของซุนของเอง ก็ถูกจมลงไปแล้ว
ขอบฟ้าเริ่มมีแสงสว่างจนมองเห็นหน้าตากันได้บ้าง น่านน้ำด้านซ้ายที่กองเรือของลิบอง พัวเจี้ยง เข้าใกล้ชายฝั่ง เหล่าทหารหาญเริ่มกระโดดลงลุยน้ำ เพื่อรุกคืบไปข้างหน้า ช่วงชิงพื้นที่ หมายจะลดทอนแรงกดดัน แต่แล้ว กลับเกิดกองทัพใหญ่ออกมาจากชายป่านำทัพมาโดยแม่ทัพใส่หน้ากากสีแดงถือง้าว ชูธงชื่องักจิ้น ไล่ฆ่าฟันทหารกองหน้าตายเกลื่อนชายหาด แต่ฝ่ายซุนกวนย่อมรู้ซึ้งอยู่แล้วจากการข่าวว่า งักจิ้นตัวจริงตายไปแล้วในศึกปิดล้อมปราสาทนกยูงคราก่อน
อย่างไรก็ตาม ซุนกวน จูกัดกิ๋น ลกซุน เห็นเป็นกองทัพใหญ่ปรากฏตัวมาเช่นนี้ กลับประหลาดใจระคนหวั่นเกรงขึ้นมา หรือว่า เป็นแผนลวงของฝ่ายตรงข้าม เหลียวมองดูกองทัพเรือทางด้านขวา ผู้นำทัพเรือ เป็นแม่ทัพร่างใหญ่ใส่หน้ากากสีขาวถือทวน ใช้ธงชื่อลิเตียน อีกหนึ่งขุนพลที่ตกตายไปแล้วในสงครามเมืองหลวงที่ผ่านมา
ลกซุนประเมินสถานการณ์อย่างรีบด่วน นี่แสดงว่า เตียวเลี้ยวกำกับคนส่วนน้อยอยู่ในเมืองหับป๋า รอจู่โจมในรูปแบบลมและไฟ ด้วยโคมลอย และเครื่องยิงต่างๆ ปล่อยให้ขุนพลปริศนาคนหนึ่งแบ่งทัพหับป๋าส่วนหนึ่งมาโจมตีทางบกด้านซ้าย อีกคนหนึ่งกำกับทัพเรือของหับป๋า รุกโจมตีทางเรือทางด้านขวา และนัดหมายกับคนทรยศ ซุนเปิน ซุนฟู่ โจมตีทางเรือจากทางด้านหลัง กลายเป็นกองทัพสี่เส้ารุมกระหน่ำใส่กองทัพของซุนกวน
มีทางเป็นไปได้ว่า ขุนพลทั้งสองคือคนของพันธมิตรแห่งฟากฟ้ามาช่วย และคนที่วางแผนได้พิสดารซับซ้อนเช่นนี้ ย่อมต้องเป็นทายาทมังกร ศิษย์พี่รอง ตันฮก กุนซือกิเลนพิสดารแล้ว
จริงอยู่ว่า กำลังทัพส่วนใหญ่ของฝ่ายกังตั๋งยังไม่เสียหาย หากแต่ขวัญกำลังใจในการรบพุ่งย่อมเสื่อมสลายไปหมดสิ้น แล้วยิ่งฝ่ายตรงข้ามยังมีกองทัพสำคัญอีกสองกองทัพตั้งมั่นในจุดสำคัญ ย่อมกดดันต่อฝั่งกังตั๋งมากขึ้นไปอีก หากจะล่าทัพถอยกลับในตอนนี้ นับว่า ยังพอทันเวลา ก่อนที่ตันฮกจะมีลูกเล่นประหลาดอะไรเพิ่มเติมมาอีก
ลกซุนขยับจะแสดงความคิดเห็นต่อซุนกวน พอดีเกิดความเปลี่ยนแปลงจากทางด้านหลัง กองทัพเรือของซุนเปิน ซุนฟู่ เริ่มถูกทำลายลงอย่างรวดเร็วจากการกระแทกทำลายด้วยกองเรือหัวเหล็กที่กำกับทัพมาโดยขุนพลชำนาญศึกแห่งกังตั๋ง จิวท่าย กองเรือหัวเหล็กชุดนี้เคยแสดงอานุภาพในศึกเซ็กเพ็กมาแล้ว แต่คราวนี้ เป็นแผนการบุกขึ้นฝั่ง ซุนกวนจึงละทิ้งกลุ่มเรือเหล่านี้ไว้เฝ้าดินแดนกังตั๋ง นึกไม่ถึงว่า จะกลับกลายเป็นพาหนะสำคัญในการนำพาความช่วยเหลือที่ยิ่งใหญ่มาจากแดนหลังได้พอดี
ในจังหวะไล่เลี่ยกันที่เรือรบของซุนเปิน ซุนฟู่ทั้งสองลำ กำเหลง เล่งทองต่างไต่ขึ้นไปบนเสากระโดงเรือ พร้อมชูหัวของซุนเปิน ซุนฟู่ ขึ้นประกาศชัยชนะ แสดงว่า ในขณะที่จิวท่ายนำเรือรบเข้าโจมตีแบ่งแยกความสนใจออกไป กำเหลง เล่งทองก็ลอบขึ้นเรือไปจัดการกับหัวหน้ากลุ่มทรยศได้อย่างเหนือความคาดหมาย
พอแรงกดดันจากทางด้านหลังผ่อนคลายลง ด้วยกองเรือขบถเริ่มยอมยกธงขาวยอมแพ้แล้ว กองเรือรบของซุนลองที่เหลือเพียงผู้เดียว ก็กลับมาตั้งรับ และร่วมกับกองทัพหลวงตอบโต้กองเรือหับป๋าได้เต็มที่ ความแข็งแกร่งของทัพเรือแดนใต้มีเหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด ทำให้ขุนพลหน้ากากขาวต้องยอมสั่งการล่าทัพไปก่อน
ทางด้านชายฝั่งที่ขุนพลหน้ากากแดงนำทัพไล่สังหารแต่ฝ่ายเดียว ก็เริ่มปะทะกันกับกลุ่มทหารจำนวนที่มากขึ้นเรื่อยๆ จากกองทัพหลวงฝ่ายกังตั๋ง ตัวขุนพลเองถูกลิบอง พัวเจี้ยง รุมกระหนาบด้วยการโจมตีที่สอดประสานกันอย่างยอดเยี่ยม ทำให้ไม่อาจปิดบังตัวตนอีกต่อไป เพราะตนเองก็ยังมีอาการบาดเจ็บเรื้อรังที่ไหล่ซ้าย จำต้องใช้กระบวนท่าสยบมังกรเข้าต่อสู้ จนมาถึงกระบวนท่าสุดท้าย “มังกรสะท้านไตรภพ”
เห็นง้าวใหญ่หมุนคว้างออกมาเป็นวงกว้างเข้าใส่พัวเจี้ยงอย่างกระทันหัน พร้อมกับสองฝ่ามือที่ฟาดเข้าใส่ลิบองอีกทิศทางหนึ่ง พัวเจี้ยงไม่ทันคาดคิดถึงการโจมตีเช่นนี้ จึงโดนง้าวหนักอึ้งกระแทกใส่เต็มแรง จนเสียหลักล้มกลิ้งไปกับพื้น ส่วนลิบองรีบใช้สองฝ่ามือต้านรับแรงปะทะอย่างหักโหม แต่เห็นได้ชัดว่า สู้พลังของขุนพลหน้ากากแดงไม่ได้ ทำให้สองเท้าจมลึกลงไปในพื้นทรายไปทีละน้อยๆ
ขุนพลหน้ากากแดงขุ่นเคืองใจอยู่ก่อนแล้ว จึงส่งเสียงกร้าวใส่ขุนพลหนุ่มที่เขม่นกันมาตั้งแต่แรกพบ “เจ้าเด็กน้อย วันนี้คงเป็นวันตายของเจ้าแล้ว”
ลิบองใบหน้าซีดขาว แต่ดวงตายังคงฉายแววเคียดแค้นชิงชัง เมื่อแน่ใจว่าคู่ต่อสู้คือใครปลอมตัวมา “โจรเฒ่า เจ้าต้องไม่ตายดีแน่นอน ถึงเป็นผีปีศาจ ข้าก็จะไม่ละเว้นเจ้า”
“โจรเฒ่า? เจ้ามีสิทธิ์อันใดมาเรียกขุนพลเลื่องชื่ออย่างตัวข้าเช่นนี้หรือ” ขุนพลหน้ากากแดงหรือกวนอู สะดุดใจในคำพูดในทันที จึงหลุดปากเปิดเผยตัวตน
“นั่นเพราะเจ้าคือคนที่..” ยังไม่ทันที่ลิบองได้ตอบคำถามได้จบ พัวเจี้ยงลุกขึ้นมาได้ ก็หยิบง้าวใหญ่ฟาดกราดใส่เจ้าของทันที ทำเอากวนอูต้องรีบถีบเท้าถอยหลังออกไปจากวงต่อสู้ก่อน พร้อมผิวปากเรียกหาม้าเซ็กเทาคู่ใจ
กระบวนท่า “มังกรสะท้านไตรภพ” แม้ว่า มีประสิทธิภาพการจู่โจมรุนแรงเกินคาดหมาย หากแต่เหมาะกับการใช้กับคู่ต่อสู้เพียงคนเดียว พอกวนอูนำมาใช้ครั้งแรกด้วยง้าวใหญ่ธรรมดา มิใช่ง้าวมังกรเขียวที่เป็นอาวุธคุ้นมือ อีกทั้งยังแยกเป็นการโจมตีใส่ยอดฝีมือถึงสองคน จึงสูญเสียอาวุธไปช่วงเวลาหนึ่ง ซึ่งเป็นส่ิงที่ถือสาอย่างยิ่งในการต่อสู้ประจัญบานเช่นนี้
แต่กวนอูยังคงมีไม้ตายมาแก้ไข เห็นขุนพลจันทร์พิฆาตพลิกตัวขึ้นหลังม้าคู่ใจ พลันกระตุ้นม้าวิ่งเฉียดใส่พัวเจี้ยง กระชากดึงง้าวใหญ่หลุดจากมือพัวเจี้ยงได้อย่างง่ายดาย พร้อมหมุนเหวี่ยงง้าวสะบัดเข้าใส่คนทั้งสองอีกครั้ง
ลิบอง พัวเจี้ยงยังตื่นตัว รีบกลิ้งตัวหลบคมง้าวไปได้ แต่พลังรุนแรงก็ยังกรีดเสื้อเกราะอ่อนของคนทั้งสองขาดกระจุยเป็นทางยาว พัวเจี้ยงเลือดอาบใบหน้า งุนงงจ้องมองเศษใบหูข้างขวาของตนเองที่กำลังปลิวขาดไปตามสายลม จนลิบองต้องหันกลับมาช่วยดึงตัวให้พ้นจากระยะอาวุธ
เหล่าทหารทั้งสองฝ่ายเริ่มปะทะกันอย่างรุนแรง ลิบอง พัวเจี้ยงกลืนหายไปกับผู้คนเบื้องหน้า ส่วนเตียวเลี้ยวที่เฝ้าระวังมาจากกำแพงเมือง เห็นท่าว่าทหารหนุนเนื่องกันมามากขึ้นเรื่อยๆ จึงตีระฆังสั่งการให้กวนอูถอยทัพออกห่างตามแผนการที่วางไว้ พร้อมหันอาวุธระยะไกลมาโจมตีที่แนวหาดทรายแทน ทำให้ทหารกังตั๋งต้องล่าถอยออกให้พ้นระยะโจมตีเช่นกัน เป็นการยุติศึกพัวพันไปได้ระยะหนึ่ง
ฝ่ายซุนกวน รีบประเมินความเสียหายจากการปะทะรอบแรก กองทัพซ้ายของซุนของล่มสลายไปกว่าครึ่ง ซุนของหายสาบสูญ ไม่ทราบว่าเป็นหรือตาย กองทัพหลวงสูญเสียตันบู ขุนพลเรือระวังหลังให้กับฝ่ายขบถ นอกนั้น ยังเสียหายจากกรรบทางน้ำและทางบกไม่มากนัก หากคิดเฉพาะกำลังพล ก็ยังคงมีเหลืออยู่เจ็ดแปดหมื่นคน
แต่ทว่า ข่าวร้ายที่กำเหลงนำมาแจ้งเพิ่มเติม นั่นคือ ซุนเปิน ซุนฟู่ ฉวยโอกาสที่ทำหน้าที่ดูแลเสบียงทัพ ลอบใส่ยาพิษทำลายเสบียงกองทัพไปแทบหมดสิ้น รวมทั้งเสบียงสำรองที่ยุ้งฉางใหญ่เมืองชีสองด้วย นั่นแสดงว่า กำลังพลกว่าครึ่งแสนนี้ อาจจะต้องสู้รบต่อแบบไม่มีอาหารกินเสียแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องร้ายแรงของการเดินทัพขนาดใหญ่
นอกจากนั้น สายข่าวทางฝั่งเหนือ ยังแจ้งมาอีกว่า แฮหัวตุ้นที่นำกองทัพออกจากเมืองฮูโต๋ มุ่งหน้าสู่เมืองฮันต๋งนั้น ที่จริง แยกทัพกึ่งหนึ่งมุ่งหน้ามาทางใต้ พร้อมระดมทัพเพิ่มเติมรายทาง รวมแล้ว อาจจะมากถึงสี่ห้าหมื่นนาย คงจะมาสมทบกับเตียวเลี้ยวได้ในสองสามวันนี้ แสดงว่า ศึกหับป๋าที่เบื้องแรกคิดว่า เป็นเพียงหมูในอวย ใช้คนนับแสนถล่มทัพไม่ถึงหมื่นคน อาจจะกลายเป็นศึกยืดเยื้อไปเสียแล้ว จูกัดกิ๋น ลกซุน จึงได้แต่ยอมรับสภาพความเป็นจริง เสนอให้ล่าทัพไปก่อนจะเกิดความเสียหายมากกว่านี้
ต้องโทษซุนเปิน ซุนฟู่ สองพี่น้องคนทรยศ ที่สายข่าวสืบทราบก่อนตายว่า โลซก นักการเมืองวานิช เป็นผู้ยุยงให้ทั้งสองก่อการขบถ เพื่อชิงอำนาจตระกูลซุนคืนจากสายซุนเกี๋ยน และจะสนับสนุนให้สายซุนเฉียงกลับคืนสู่ผู้นำตระกูลอีกครั้งหนึ่ง
ทั้งสองจึงหวังบ่อนทำลายกองทัพซุนกวนให้สิ้นซาก แต่เกิดความผิดพลาดในการสื่อสารภายในกันเอง ทหารฝ่ายของตนจึงลงมือก่อนเวลาอันสมควร ทำให้กองทัพซุนกวนรู้ตัวก่อน และเคราะห์ร้ายซ้ำสองที่พวกกำเหลงทราบข่าว และนำกองเรือหัวเหล็กมาแก้ไขสถานการณ์ได้ทันเวลา
ศึกหับป๋าจึงจบลงอย่างกระทันหันเช่นนี้ ซุนกวนไม่ต้องการให้เปิดเผยทั้งเรื่องความอัปยศในตระกูล ทั้งเรื่องเสบียงสะสมที่เสียหาย ให้สืบสาวเพิ่มเติม จึงปล่อยข่าวเลิกทัพ เนื่องจากเกิดโรคระบาดครั้งใหญ่ในกองทัพ จนทำให้สงครามหับป๋าระลอกแรกพลาดพลั้ง ถูกฝ่ายเตียวเลี้ยวซุ่มโจมตี ซุนของ ซุนเปิน ซุนฟู่ สามคนในตระกูลซุนล้วนถูกสังหารตายในที่รบ นอกจากนั้น รัฐบุรุษโลซกที่ตั้งมั่นรักษาการที่เมืองต๋องง่อ ก็ “บังเอิญ” ป่วยตายกระทันหันไปอีกคน ซุนกวนจึงกล้ำกลืนความเสียใจ ประกาศยอมรับความพ่ายแพ้
เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ฝ่ายกังตั๋งต้องเสแสร้งจัดฉากงานศพไว้อาลัยวีรชนจอมปลอม เพื่อรักษาความลับที่แท้จริง ซุนกวนรู้สึกราวกับเป็นบทละครชีวิตที่กลับมาเล่นซ้ำอีกครั้งหนึ่ง คราวก่อน อุยกายก็เป็นเช่นนี้ คราวนี้ โลซกก็เป็นเช่นนี้ แล้วยังจะอีกกี่คนกี่ครั้งกันหนอ
อีกฟากฝั่งหนึ่ง ตันฮกถึงกับฉวยโอกาสสร้างชื่อเสียงให้กับเตียวเลี้ยว ก่อให้เกิดคำพูดเล่าขานที่ว่า “โจโฉมีเตียวเลี้ยว ซุนกวนมีกำเหลง ใช้คนน้อยชนะคนมาก สองฝ่ายต่างมีขุนพลเข้มแข็งเสมอกัน”
กองทัพเรือกำลังมุ่งหน้ากลับสู่เมืองชีสอง ฐานทัพเรือหลักของกังตั๋ง ลกซุนกวาดตามองทหารในกองเรือของซุนเปินที่ยอมสวามิภักดิ์ พบเห็นเงาร่างที่คุ้นตากำลังเดินปะปนอยู่กับเหล่าทหาร คล้ายรู้สึกตัวว่าถูกจ้องมอง รีบทำตัวกลมกลืนหายไปจากสายตา มันแน่ใจว่า คนผู้นั้นต้องเป็นท่านอาเหยี่ยวดำ
ลกซุนนึกถึงคำรายงานของกำเหลงที่ว่า “...ทหารฝ่ายของซุนเปิน ซุนฟู่ ลงมือก่อนเวลาอันสมควร ...พวกกำเหลงทราบข่าว...” หรือว่า การศึกครั้งนี้ หน่วยปักษาสวรรค์ลอบเข้ามาก่อกวนอีกแล้ว จริงสิ เสบียงกองทัพ และเสบียงสะสมในยุ้งฉางมีจำนวนมหาศาล หากไม่มียาพิษร้ายแรงจากหมอฮัวโต๋ อาจจะไม่สามารถทำลายได้ในช่วงเวลาอันสั้น
ไม่รู้ว่า เป็นครั้งที่เท่าไหร่ที่ลกซุนไม่อาจเข้าถึงความคิดของกลุ่มคนพวกนี้ว่า อยู่ฝ่ายใดกันแน่ และครั้งนี้ ก็ยากจะแยกแยะว่าเป็นการช่วยเหลือหรือซ้ำเติมฝ่ายกังตั๋ง แม้กระทั่งคำสารภาพที่ระบุว่า โลซกปล่อยข่าวให้กับซุนเปิน ซุนฟู่นั้น ก็อาจจะเป็นแค่ข่าวลวงจากคนกลุ่มนี้ด้วยซ้ำ
จูกัดกิ๋น กุนซือผู้อาภัพโชคในการศึกหับป๋า กำลังนั่งพิงกระโดงเรือ มองท้องฟ้าอย่างเงียบงัน การศึกครั้งแรกที่มันได้นั่งตำแหน่งเป็นกุนซือประจำทัพตัวจริง กลับจบลงด้วยความพ่ายแพ้อย่างน่าเสียดาย เพียงเพราะจูกัดเหลียง น้องรองสั่งการมาให้มันกระตุกขาหลังพวกตระกูลซุนอย่างหนักหน่วงที่สุด เพื่อไม่ให้พยัคฆ์ร้ายทักษิณที่เพิ่งจะติดปีก สามารถรุกคืบยึดหับป๋าได้สำเร็จ
ครั้งนี้ กุนซือมังกรซ่อนถึงกับเสี่ยงร่วมมือกับตันฮก ศิษย์พี่จอมเจ้าเล่ห์ จัดฉากสงครามทำลายกองหน้าทัพเรือด้วยข่าววงในจากมัน และกลยุทธ์สุดพิสดาร ส่วนมันก็ต้องใช้ความสัมพันธ์และข้อมูลทั้งหมดที่มี จัดการยุยงปั่นหัวให้ซุนเปิน ซุนฟู่ เข้าใจว่า ได้รับข่าวสำคัญจากโลซก และแนะนำให้ก่อการร้ายทำลายเสบียงไปทั้งหมด เมื่อเกิดความเสียหายอย่างหนักเช่นนี้ กังตั๋งคงต้องใช้เวลาอีกเนิ่นนานกว่าจะฟื้นตัวมาพร้อมสู้รบในรูปแบบสงครามได้อีกครั้งหนึ่ง
นอกจากนี้แล้ว แฮหัวตุ้นก็ไม่ได้แยกทัพลงแดนใต้ และไม่มีการระดมทัพจากหัวเมืองรายทางมาช่วยเหลือแต่อย่างใด ข่าวทั้งหมดล้วนเป็นข่าวเท็จ เพื่อกดดันให้ฝ่ายกังตั๋งถอยทัพเท่านั้น สายข่าวรับเงินไปเพียงเล็กน้อย ก็สร้างสรรค์ผลงานได้ยอดเยี่ยมแล้วก่อนจะถูกสังหารปิดปากไปด้วยคนของจูกัดจิ๋น น้องชายที่เป็นประมุขหุบเขามังกรซ่อน
“การเป็นจารชนสองหน้านั้นไม่ง่ายดายเลย ชีวิตที่เสี่ยงอันตรายเช่นนี้จะจบสิ้นลงได้ด้วยดีหรือ” จูกัดกิ๋นกังวลถึงอนาคตของลูกชาย จูกัดเก๊ก ที่กำลังใช้ชีวิตสุขหรรษาในฐานะสหายสนิทของซุนเต๋ง บุตรคนโตของซุนกวนที่มีวัยไล่เลี่ยกัน พลางสายตาสะดุดลงที่ลกซุน ศิษย์คนเล็กในกลุ่มทายาทมังกร ซึ่งยืนมองไปนอกเรือ ห่างออกไปอย่างใช้ความคิด
ตอนนี้ ลกซุนเป็นคนเดียวที่มันกริ่งเกรงจะหักหลังเปิดโปงมันได้ทุกเมื่อ กุนซือพยัคฆ์คะนองที่กำลังมาแรงในสายตาคนกังตั๋ง มันสมควรจะแอบเด็ดปีกเสือตัวนี้ด้วยเช่นกัน หรือ ดีงตัวสานสัมพันธ์ให้มาเป็นเครือญาติกันดีหนอ

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา