22 ก.ค. 2021 เวลา 03:30 • ปรัชญา
#"City of Angels" ให้แง่คิดอะไรบางอย่างกับฉัน
วันนี้ไม่มีประโยคข้อคิดจากหนังมาฝากกันนะคะ แต่ขอนำเสนอแง่คิดเกี่ยวกับชีวิตมนุษย์ ที่ตัวเราได้จากเรื่องนี้ โดยเฉพาะในฉากจบของเรื่อง
ภาพยนตร์เรื่อง “City of Angels” ซึ่งออกฉายเมื่อปี ค.ศ. 1998 นำแสดงโดย Nicolas Cage และ Meg Ryan
… ไม่รู้ว่าทุกคนเคยดูกันหรือไม่?
… ถ้าใครที่ยังไม่เคยดู เก็บบทความนี้เป็น bookmark ไว้ก่อนนะคะ ดูเสร็จแล้วค่อยมาอ่านต่อ ไม่อยากสปอยล์ให้เสียอรรถรส เพราะหนังเรื่องนี้คุ้มค่ากับการดูมากค่ะ
สำหรับคนที่เคยดู แต่ลืมไปเกือบหมดแล้ว เราขอช่วยรื้อฟื้นความจำให้นะคะ หรือใครที่อยากถูกสปอยล์ก็ตามมาเลยค่ะ ...
“City of Angels” เป็นเรื่องราวของเทวดาหนุ่ม นามว่า เซธ (Nicolas Cage) เซธเป็นเมสเซนเจอร์ที่มาเฝ้ารอพาดวงวิญญาณไป วันหนึ่งเซทมาเฝ้ารอดวงวิญญาณดวงหนึ่งที่หน้าห้องผ่าตัด วันนั้นเขาจึงได้พบกับศัลยแพทย์หัวใจ ด็อกเตอร์ แม็กกี้ ไรซ์ (Meg Ryan) ซึ่งกำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่
แล้วเซธก็ตกหลุมรักด็อกเตอร์ แม็กกี้ เขาแอบติดตามเธอไปทุกหนทุกแห่ง จนวันหนึ่งเซธก็เลือกที่จะปรากฎตัวให้เธอเห็น แล้วความสัมพันธ์ก็เริ่มก่อตัวขึ้น
ด้วยความที่เซธไม่เคยเป็นมนุษย์มาก่อน เขาจึงมีความใคร่รู้ในความรู้สึกของการสัมผัสและการรับรู้รสชาติของมนุษย์ ที่ตัวเขาไม่สามารถเข้าถึงได้
ฝ่ายด็อกเตอร์ แม็กกี้ ก็เริ่มรักเซธเช่นเดียวกัน แต่แล้วเธอก็ต้องมาสติแตกเมื่อรู้ความจริงที่ว่า เซธ ไม่ได้เป็นมนุษย์ เธอจึงขอยุติความสัมพันธ์กับเซธ
ในช่วงเวลาเดียวกัน เซธก็ได้รู้ถึงวิธี การเปลี่ยนจากเทวดามาเป็นมนุษย์จากคนๆหนึ่ง ซึ่งคนๆนี้เคยเป็นเทวดามาก่อนเหมือนเซธ แต่เขาได้กลายเป็นมนุษย์มาสักพักหนึ่งแล้ว ด้วยเหตุผลเดียวกัน คือ ความรัก
เซธจึงตัดสินใจแน่วแน่ที่จะเปลี่ยนมาใช้ชีวิตแบบมนุษย์ เพื่อที่จะได้ครองรักกับด็อกเตอร์ แม็กกี้ ทั้งๆที่เขารู้ว่าเขาจะเสียความเป็นนิรันดร์ไป
เมื่อเซธกลายเป็นมนุษย์แล้ว เขารีบออกเดินทางไปหาด็อกเตอร์ แม็กกี้ ที่ Lake Tahoe
เมื่อด็อกเตอร์ แม็กกี้ ได้พบเซธอีกครั้งในรูปแบบมนุษย์จริงๆ เรื่องราวความรักของคนทั้งสองก็ดูเหมือนจะจบแบบแฮปปี้เอนดิ้ง
แต่แล้ว ในเช้าวันถัดไป ขณะที่ด็อกเตอร์ แม็กกี้ กำลังขี่จักรยานกลับมาจากร้านขายของชำ เพื่อกลับมาหาเซธที่บ้าน เธอก็โดนรถบรรทุกถอยมาชน
เมื่อเซธรู้เข้า เขาก็รีบวิ่งมาหาเธอทันที แต่เขาก็ไม่อาจยื้อชีวิตของเธอไว้ได้ … เขาโมโห เขารู้สึกเหมือนโดนกลั่นแกล้ง
เซธดูเหมือนจะรู้สึกเคว้งคว้างเมื่อต้องดำเนินชีวิตแบบมนุษย์โดยขาดด็อกเตอร์ แม็กกี้ ผู้ซึ่งคือเหตุผลเดียวที่ทำให้เขาตัดสินใจมาเป็นมนุษย์
เพื่อนเทวดาของเซธถามว่า ถ้ารู้ว่าเป็นแบบนี้ จะยังตัดสินใจแบบเดิมอยู่ไหม เซธตอบว่า ขอเพียงแค่ได้กลิ่นผมของเธอ ขอเพียงแค่ได้จูบเธอ ขอเพียงแค่ได้สัมผัสมือของเธอ เพียงครั้งเดียว นั่นก็คุ้มค่ามากกว่าความเป็นนิรันดร์ที่ไม่ได้มีสิ่งเหล่านี้
(Seth: “I would rather have had one breath of her hair, one kiss of her mouth, one touch of her hand, than eternity without it. One.”)
ในฉากสุดท้ายของเรื่อง เซธได้กลับไปยืนรวมกลุ่มกับหมู่เทวดาในตอนเช้า ฟังเสียงเพลงที่ริมหาดเฉกเช่นเดิม เหมือนที่เหล่าเทวดาเขาทำกัน
แต่ครั้งนี้สิ่งที่เซธทำเพิ่มเติมก็คือ เขาวิ่งลงไปที่ทะเล และกระโดดลงว่ายน้ำ
เหล่าเทวดาคนอื่นหันไปมองเซธ ส่วนเพื่อนเทวดาของเซธ แม้ยังยืนนิ่งๆเหมือนคนอื่นๆ แต่ก็ยิ้ม แล้วก็หัวเราะออกมา
ฉากตอนจบนี่แหละ ตอนที่เซธกระโดดลงทะเล และ เพื่อนเทวดาของเซธยิ้มปนหัวเราะ ทำให้เราได้แง่คิดบางอย่างว่า … การที่เราได้เป็นมนุษย์นั้น มันยอดเยี่ยมที่สุดแล้ว
1
การที่เราได้ใช้ชีวิตแบบมนุษย์ ได้มีชีวิตชีวา ได้มีความสนุก ได้มีความตื่นเต้น ได้มีความรัก ได้รู้สึกถึงสัมผัส ได้รู้สึกถึงกลิ่นและรสชาติ … มันช่างแสนวิเศษ
ในขณะที่เรายังมีลมหายใจ เอนจอยกับชีวิตซะ ไม่ว่าชีวิตของเราจะเป็นแบบไหน ใช้ชีวิตมนุษย์ของเราให้คุ้มค่า ให้มีค่า เท่าที่มันจะเป็นไปได้
ปล. หลังจากที่เราดูเรื่องนี้จบ เรานั่งครุ่นคิดถึงเรื่องที่กล่าวไปอยู่สักพัก จนกระทั่งไปหาฟังว่าผู้กำกับมีแนวคิดกับฉากนี้ กับเรื่องนี้ อย่างไร ผลปรากฎว่า ผู้กำกับไม่ได้พูดถึงสิ่งที่เราคิดเลยแม้แต่นิดเดียว
เคยได้ยินมาว่า หากหนังเรื่องไหน สามารถทำให้ผู้ชมรู้สึกนึกคิดไปอีกแบบหนึ่งได้ ถือว่าหนังเรื่องนั้นประสบความสำเร็จมากๆ เพราะให้ความรู้สึกเปิดกับผู้ชม ไม่ใช่ความรู้สึกเบ็ดเสร็จ
มีใครดูแล้ว คิดเหมือนกันบ้างมั้ยคะ? หรือมีความคิดเห็นกันอย่างไรบ้างคะ? มาแชร์ให้ฟังกันหน่อยนะคะ
#สมองสองช้อน ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน ขอบคุณทุกกำลังใจ
ถ้าไม่อยากพลาดบทความใหม่ๆ ในทุกๆวัน … กดติดตามไว้เลยนะคะ

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา