18 ก.ค. 2021 เวลา 13:02 • นิยาย เรื่องสั้น
นิวยอร์ก ห อกหัก
19 ขอ(กู)ร้อง
อะไรกัน...มันเกิดอะไรขึ้น...ทำไม...เพราะอะไร
คำถามมากมายยังคงวนเวียนอยู่ในหัว
แล้วผมก็ยกขวดเบียร์กระดกน้ำยอดข้าวเข้าปาก
ตอนนี้พวกเราเคลื่อนตัวมาอยู่ที่ร้าน Playground หรือที่โจ้เรียกว่าร้านใต้ถุน
อันเป็นสถานที่จัดปาร์ตี้คริสต์มาสที่ได้พูดถึงไปก่อนหน้านี้ เป็นงานปาร์ตี้ที่ผมเกือบจะไม่ได้มา เพราะไม่มีคนชวน...
คนชวนเหรอ...
ผมหันไปมองวิว เธอกำลังหัวเราะสนุกสนานกับเพื่อนๆ
แปลกจริงๆ ทำไมผมถึงรู้สึกรำคาญกับภาพที่กำลังมองอยู่ตอนนี้
ว่าแล้วก็ยกขวดเบียร์ขึ้นดื่ม
“สุดท้ายยยยย.... เรื่องราววววว.... ว่างเปล่าาาาา.... ต่อไปปปปป...”
บทเพลงตาสว่างของโมเดิร์น ด็อก ดังกระหึ่มเหมือนกำลังเตือนผมให้สำนึก ว่าผมไม่ควรมาที่นี่เลยจริงๆ ผมน่าจะกลับไปนอน และปล่อยให้เธอมีความสุขกับเพื่อนๆ ต่อไป
“พี่อาร์ม มาชนกันหน่อย” โจ้หันมาหาผมพร้อมขวดเบียร์ในมือ ผมชนขวดเบียร์กับโจ้แล้วยกขึ้นดื่มอีกครั้ง
“เป็นไงบ้างพี่ บรรยากาศสุดยอดเลยนะ” โจ้เล่าให้ผมฟังว่า คืนนี้ลูกค้าส่วนใหญ่ที่มาจะเป็นคนไทย คนไทยที่มาเรียนที่นี่ต้องรู้จักร้านนี้แทบทุกคน ขนาดพวกดาราไทย เวลามาเที่ยวนิวยอร์ก ก็ยังแวะมาร้านนี้แทบทุกคน
นั่นก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร เพราะการที่ใครจะมา มันก็เรื่องของเขา
แต่ตอนนี้ ผมอยากไปจากที่นี่ ถ้าไม่ติดว่าผมกลับไม่ถูก ผมไปนานแล้ว
คนไทยมากมายค่อยๆ ทยอยเข้ามาในร้านเรื่อยๆ แต่ละคนดูมีความสนิทสนมกัน เรียกได้ว่ารู้จักกันหมดนั่นแหละ
“อ้าว ไอ้โจ้ ไหนเมื่อวานมึงบอกจะไปช่วยกูย้ายของ หายไปเลยนะมึง” ผู้ชายแต่งตัวฮิปฮอบเข้ามาทักโจ้
“โทษที... คือ...เมื่อวานกูไม่สบายว่ะ แหะๆ” โจ้แก้ตัวน้ำขุ่นๆ
“ไม่สบาย...เป็นเอดส์หรือไงมึง” ไอ้หนุ่มฮิปฮอบนั่นสวนกลับทันที พร้อมส่งนิ้วมือแห่งความเป็นกลางกลับมาให้โจ้ ซึ่งบังเอิญผมนั่งใกล้โจ้ ก็เลยโดนลูกหลงมานิดหน่อย
“อ้าว วิว พรุ่งนี้หยุดใช่มั้ย ไปกินข้าวกันมั้ย” ไอ้ฮิปฮอบนั่นหันไปทักวิวต่อ ตอนแรกที่มันส่งนิ้วกลางให้โจ้ แล้วเฉี่ยวมาโดนผม ผมก็ไม่รู้สึกอะไร แต่พอมันทักวิวอย่างนี้ ผมเริ่มไม่ชอบขี้หน้ามันซักเท่าไหร่แล้ว
“เลี้ยงป่ะล่ะ” อ้าว กลายเป็นวิวกระเซ้ามันกลับ นี่เธอไม่เห็นหัวผมเลยหรือไงเนี่ย
“ถ้าวิวไป เราก็เลี้ยง” เฮ้ย นี่มันชักยังไงแล้ว
“เลี้ยงเปิ้ลกับเอ๋ด้วยนะ”
“โห เลี้ยงสองคนนี้ด้วยไม่ไหวอ่ะ เห็นหุ่นก็กลัวแล้ว”
“ทำไมอีเบิร์ด หุ่นพวกชั้นทำไม” เอ๋กับเปิ้ลถึงกับขึ้น ส่วนที่เหลือต่างหัวเราะชอบใจ
หลังจากทักทายกันพอขำๆ ไอ้หนุ่มฮิปฮอบนามเบิร์ด ก็เดินไปทักทายโต๊ะอื่นต่อ ผมเห็นวิวหัวเราะกับเพื่อนๆ
“คนไทยที่นี่มีเยอะพี่ มาอยู่รับรองไม่มีเหงา” โจ้หันมาบอกกับผม
ไม่มีเหงา... ใช่สิ และตอนนี้ก็เหมือนเธอจะไม่มีเราแล้วด้วย
คนอยู่เมืองนอกแม่งเหงา ใครเขามาก็เอาทั้งนั้นแหละ
...
คำพูดของไอ้หนึ่งที่พูดไว้ก่อนที่ผมจะมาที่นี่ กลับเข้ามาดังในหัวผมอีกครั้ง
หรือว่าไอ้หนุ่มฮิปฮอบคนนี้ จะเป็นคนที่ทำให้วิวไม่เหงา และเป็นคนที่ทำให้เธอเปลี่ยนไป ตอนแรกผมคิดอย่างนั้น
แต่หลังจากที่ไอ้หนุ่มฮิปฮอบเดินจากไปไม่นาน ก็ตามมาด้วยไอ้หนุ่มฮิปสเตอร์ ต่อด้วยไอ้หนุ่มร็อคเกอร์ และอีกหลากหลายแนวที่เข้ามาทักทายไม่ขาดสาย ตกลงเป็นใครกันแน่ ที่ทำให้เธอเปลี่ยนไป
และขณะที่ผมกำลังจับจ้องสายตาไปที่แต่ละคนที่เข้าหาวิว ทางอีกด้านหนึ่งของร้าน ตัวละครเอกของค่ำคืนนี้ก็ได้คืบคลานเข้ามา
มันชื่อไนท์
เป็นหนุ่มไทยลูกครึ่งอเมริกา หน้าตาดี หุ่นนายแบบ พ่อรวย บ้านมีชาติตระกูล อยู่นิวยอร์กมาตั้งแต่เด็ก เป็นคนเฟรนด์รี่ อีคิวสูง คนไทยที่นี่ล้วนชื่นชมมัน ยิ่งสำหรับสาวๆ ยิ่งไม่ต้องพูดถึง
...อันนี้โจ้บอกผมมาอีกที
“แก นั่นพี่ไนท์มาแล้ว”
“หล่อว่ะ” เอ๋แอบกรี๊ดมันอยู่ห่างๆ “อุ้ย กำลังมาทางนี้แล้วอ่ะ”
ไม่รู้เพราะอะไร เพียงแรกเห็นผมก็รู้สึกไม่ถูกชะตามันอย่างแรง อาจจะเป็นเซ้นท์ของผู้ชายที่มีต่อผู้ชายด้วยกัน ที่บอกว่าหากวิวจะเปลี่ยนไป ไอ้หมอนี่นี่แหละที่มีความเป็นไปได้มากที่สุด มากกว่าไอ้ฮิปฮอบ ไอ้ฮิปสเตอร์ หรือ ไอ้ร็อคเกอร์ทั้งหมดทั้งมวล
“what ‘s up guy”
ไอ้ไนท์ตรงเข้ามาทัก ทุกคนที่รู้จักมันก็ทักกลับ...
“ไงวิว”...อ้าว คนบนโต๊ะมีตั้งหลายคน แต่มันเรียกชื่อวิวคนเดียว หรือว่า จะเป็นไอ้หมอนี่จริงๆ
“พี่ไนท์ นี่พี่อาร์มครับ” โจ้แนะนำผมให้รู้จักกับไอ้ไนท์ ทำไมไม่ถามกันก่อนว่าผมอยากรู้จักกับมันรึเปล่า
“พี่อาร์ม นี่พี่ไนท์ครับ เค้าเป็นเจ้าของรถที่ผมขับไปรับพี่ที่สนามบิน”
ที่แท้เป็นรถของมันนี่เอง ที่ไปรับผม
“อ๋อ นั่นรถของไนท์เหรอครับ ขอบคุณมากๆ เลย” ผมรู้ทันมันหรอก มันอยากทำคะแนน ให้วิวมองว่ามันเป็นคนดี โคตรหน้าไหว้หลังหลอกเลย
“ไม่เป็นไรครับ เล็กน้อย เพื่อนของวิวก็เหมือนเพื่อนของผม” ว่าแล้วมันก็เอามือของมันไปจับไหล่ของวิว
เฮ้ย เอามือออกมาจากไหล่แฟนกูเลยนะ เดี่ยวมึงโดนต่อยหรอก...
...หึ ​
คุณคิดว่าผมจะกล้าพูดประโยคนี้เหรอครับ ตัวมันใหญ่กว่าผมเกือบเท่าตัว ระดับนี้แล้ว...ผมแค่คิดในใจก็โคตรกล้าแล้ว
“เดี๋ยวนะพี่ไนท์ พี่อาร์มเค้าเป็นแฟนวิวนะ” ดีมากโจ้ บอกมันไป ทำดีมาก
“เออ จริงด้วย งั้นเอาใหม่...ไม่เป็นไรครับ เล็กน้อย แฟนของวิวก็เหมือนแฟนของผม... อย่างนี้ถูกมั้ยวะโจ้”
พอไอ้ไนท์มันพูดจบทุกคนก็หัวเราะชอบใจกับมุกของมัน...ยกที่หนึ่งผมแพ้มันราบคาบ
...
เวลาผ่าน ไปผมยังคงนั่งกระดกเบียร์อยู่ที่เดิม ในขณะที่คนอื่นผลัดกันขึ้นร้องเพลงคาราโอเกะกันอย่างสนุกสนาน ทำเอาความรู้สึกของผมตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับสิ่งที่มนุษย์เรียกว่าเป็นส่วนเกิน
1
“พี่ๆ ร้องเพลงกันหน่อย เลือกเพลงก่อนเลย คิวมันยาว” โจ้เข้ามาพร้อมสมุดเลือกเพลงผมรับมาไว้อยู่ในมือ แต่ไม่ได้สนใจที่จะเลือกเพลงอย่างที่โจ้บอก
เพราะตอนนี้สายตาของผมกำลังติดตามดูพฤติกรรมของวิวกับไอ้ไนท์ราวกับดูสารคดีเรื่องหนึ่ง วิวยังนั่งอยู่ที่โต๊ะ ส่วนไอ้ไนท์มันยืนอยู่ตรงเคาน์เตอร์ ผมพยายามจับพิรุธให้เจอว่าทั้งคู่มีอะไรที่ซ่อนเร้นผมอยู่รึเปล่า แต่ที่ผ่านมายังไม่ชัดเจน มีหลายครั้งที่วิวเองรู้สึกตัวว่าถูกผมมองอยู่ จนเธอหันมาถามว่า “มีอะไร” ผมก็ได้แต่นั่งเงียบ แล้วกระดกเบียร์เข้าปาก
แม้อยากจะตอบว่า มีสิ มี มีเยอะมากด้วย แต่ผมขอทดความเจ็บไว้ในใจก่อน
รอกลับไปคุยกันที่ห้อง
แล้วจู่ๆ วิวก็ลุกจากที่นั่ง เธอเดินไปหาไอ้ไนท์ที่เคาน์เตอร์
ทั้งคู่คุยอะไรกันไม่รู้ ผมไม่ได้ยิน ไอ้ไนท์ก็ยื่นโทรศัพท์ของมันให้กับเธอ แล้วกระซิบกระซาบกันสองคน ผมพยายามแอบฟังอยู่ห่างๆ
...
นี่ตัวเอง เรามีคลิปโป๊ให้ดูตัวเองอยากดูมั้ย
บ้าเหรอ อายเขา
ดูหน่อยน่า เราแสดงเองนะ
เหรอ งั้นดูหน่อยก็ได้
...
เปล่าครับ...นั่นไม่ใช่ประโยคที่ผมได้ยินหรอก
แต่เป็นประโยคที่ผมมโนขึ้นเองทั้งนั้น
ถึงจุดนี้อารมณ์ที่หมักหมม ผสมด้วยอิทธิฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ ได้ผลักดันปีศาจในตัวของผมให้ตื่นขึ้นมา
ภาพที่เห็นตอนนี้คือวิวรับโทรศัพท์ของไอ้ไนท์ไว้ แล้วไอ้ไนท์เดินออกไป
ผมตัดสินใจเดินเข้าไปหาเธอ เพื่อพูดกับเธอตรงๆ
“วิว นี่ทำอะไรของเธอทำไมเธอไม่ไปนั่งกับเรา” ผมยังพยายามกลั้นอารมณ์ไว้อย่างที่สุด
“เรามาเฝ้าโทรศัพท์ให้ไนท์ เขาชาร์จไว้ที่เคาน์เตอร์แล้วกลัวหาย” วิวตอบกลับมาหน้าตาเฉย
การเฝ้าโทรศัพท์ให้กัน สำหรับผม ผมถือเป็นเรื่องใหญ่มาก หากไม่ใช่คนพิเศษกันจริงๆ ผมไม่มีทางเฝ้าโทรศัพท์ให้เด็ดขาด
“แล้วทำไมต้องไปเฝ้าให้มันด้วยละ”
ใช่ครับ บอกแล้วว่าผมถือ มันสำคัญกว่าผมตรงไหน นี่คือประโยคที่ผมอยากจะพูดกับเธอมากกว่า
“ก็แค่ช่วยเฝ้าโทรศัพท์เฉยๆ ไม่ได้มีอะไร นี่เธอเมาแล้วใช่มั้ย”
“เมาไม่เมาไม่รู้ แต่เราสังเกตมานานแล้ว เธอดูสนิทกับไอ้ไนท์ผิดปกติ เธอดูเปลี่ยนไปเหมือนไม่ใช่คนที่เราเคยรู้จัก ทำไมอ่ะ เธอไม่อยากให้เรามาที่นี่ก็บอกเด่ะ” ผมระบายความรู้สึกที่มีออกมา แต่เธอตัดบทด้วยคำพูดว่า
“ไร้สาระน่าเธอ” แล้ววิวก็เดินกลับไปที่โต๊ะราวกับถูกจี้ใจดำ
ทิ้งให้ผมยืนอยู่ตรงนั้น และสุดท้ายกลายเป็นผมที่ต้องยืนเฝ้าโทรศัพท์ให้ไอ้ไนท์แทน
ยกที่สอง ผมแพ้อีกครั้ง
...
ห้านาทีหลังจากนั้น ผมปลีกตัวออกไปสูบบุหรี่นอกร้าน ยืนมองถนนในนิวยอร์กอย่างเงียบๆ ดูรถที่วิ่งผ่านไปผ่านมา…ท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็น ผมปฏิเสธไม่ได้ว่าตอนนี้ความสัมพันธ์ของเราเปราะบางราวกับจะแตกหักได้ทุกเวลา ผมไม่ได้คิดไปเองแน่ๆ
“เฮ้ย พี่…เป็นอะไรรึเปล่าท่าทางพี่แม่งไม่โอเคเลย”
ผมหันไปมองเจ้าของเสียงที่พึ่งเปิดประตูออกมา…นั่นคือโจ้
คำถามที่โจ้ถามผม เหมือนเป็นสายลมที่พัดให้ประตูที่ไม่ได้ลงกลอนเอาไว้ ถูกเปิดออก และปลดปล่อยอารมณ์ของผมให้เป็นอิสระ
“พี่พูดตรงๆ นะโจ้ พี่ไม่รู้ว่าแฟนพี่เป็นไร โจ้ไม่สังเกตเหรอ วันนี้ทั้งวันเค้าเย็นชากับพี่มากๆ เหมือนเค้าไม่อยากให้พี่มาอยู่ที่นี่ ไม่อยากมองหน้าพี่ ไม่อยากคุยกับพี่ พี่ไม่เข้าใจจริงๆ ตอนแรกพี่ก็นึกว่าเมนส์เค้ามา แต่แม่งก็ไม่ใช่ นี่แม่งเป็นเหี้ยอะไรวะ”
ผมระเบิดอารมณ์ออกมาทั้งทางกาย วาจา ใจ และน้ำตา การร้องไห้ต่อหน้าคนอื่นคือสิ่งที่ผมไม่เคยอยากให้เกิดขึ้น แต่ครั้งนี้ผมกลั้นไว้ไม่อยู่จริงๆ
โจ้นิ่งเงียบ หยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบ
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันพี่...แต่พี่ก็ใจเย็นๆ ละกัน” โจ้พยายามปลอบผม
แม้มีคนเคยบอกว่า ในโลกนี้ไม่มีคำปลอบโยนใด ที่จะมาปลอบความเจ็บช้ำให้หายได้ในทันที แต่ผมก็ถือนี่เป็นคำปลอบโยนที่ดีที่สุดเท่าที่ผมจะหาได้ในมหานครนิวยอร์กแห่งนี้
ผมส่ายหัวแล้วก็หัวเราะขึ้นมา โจ้มันคงงงกับอารมณ์ของผมที่แปรเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว จากร้องไห้ เปลี่ยนมาหัวเราะได้เร็วขนาดนี้เลยเหรอ …แต่เปล่าเลย
ที่ผมหัวเราะเพราะคนที่ผมอยากเปิดใจคุยมากที่สุดกลับเดินหนีเราไป
แต่คนที่เพิ่งรู้จักกันไม่กี่วัน กลายเป็นคนที่คอยเป็นห่วงเรา และมาอยู่ด้วยกันตอนที่เราทุกข์ที่สุด
“อย่าคิดมากพี่ เข้าไปข้างในเหอะ เดี๋ยวไม่สบาย คืนนี้สนุกกันก่อน เรื่องอื่นไว้พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน” โจ้ชวนผม
“เข้าไปก่อนเลย…” ผมขอเวลาอยู่ตรงนี้อีกซักพักผมยกเบียร์ขึ้นมาซดจนหมดขวด และจ้องมองแสงไฟ ในหัวก็คิดไปเรื่อย
นี่ผมทำอะไรไม่ได้เลย จะไปพูดกับไอ้ไนท์ก็ไม่กล้า เราสู้อะไรมันไม่ได้สักอย่าง ทั้งหน้าตา ฐานะ หรือพละกำลัง มันไม่แปลกหรอกที่ผู้หญิงจะเลือกคนที่ดีกว่ามาเป็นคู่ครอง เพราะมันเป็นสัญชาติญาณของการเลือกคู่มาตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์ ผมเริ่มสมเพชตัวเองขึ้นมาทีละนิด...ถ้ากูเกิดเป็นลิง กูคงเป็นเหมือนสมุนลิงกระจอกๆ ตัวนึงที่ถูกจ่าฝูงแย่งเมียไป
ผมเดินกลับเข้าไปในร้าน แบบนิ่งเงียบราวกับเป็นอากาศก้อนนึง ท่ามกลางความครื้นเครงจากเสียงเพลงที่ดังอยู่
“เออ เพลงนี้ใครขอวะ” เสียงใครคนหนึ่งดังขึ้น แต่ไม่มีใครตอบกลับ
เสียงกีต้าร์ขึ้นท่อนอินโทร เป็นท่วงทำนองที่คุ้นหู ตัวหนังสือเนื้อเพลงปรากฏขึ้นบนด้านล่างของจอ มีแต่เสียงดนตรีที่ดังมา ปราศจากเสียงร้องของใคร
...
จะกี่ครั้งที่ฉันต้องพลั้งไป เธออภัยทุกอย่าง
จะกี่ครั้งที่ฉันต้องเสียใจ เธอห่วงใยทุกครั้ง ทุกครา
...
“เฮ้ย ตกลงใครขอเพลงนี้วะ” เจ้าของเสียงคนเดิมยังคงตะโกนถาม
...
ถึงวันนี้ที่ฉันทำให้เสียใจ ฉันไม่เคยเข้าใจ
รักกี่ครั้งที่ฉันคิดทิ้งไป ที่ผ่านมาไม่เคยสนใจ
...
“เอาไง จะมีใครร้องมั้ย”
ยังไม่มีใครมารับผิดชอบเพลงนี้ เนื้อร้องยังคงขึ้นบนหน้าจออย่างต่อเนื่อง
...
เมื่อวันที่เธอเดินจากไป จากไปโดยไม่ลา
จิตใจนั้นคอยแต่เรียกหา เฝ้ารอเธอกลับมาเป็นอย่างเคย
...
“เฮ้ย ไม่มีใครร้อง กูข้ามเพลงแล้วนะ”
และยังไม่ทันที่มันคนนั้นจะได้กดข้ามเพลง เสียงร้องก็ดังขึ้น
“ขอเถิด ขอร้องให้เธอกลับมาหา ถึงต้องย้อนวันเวลา
ขอเถิด ขอร้องเพียงเธอกลับมาหา
แค่อยากจะเห็นเธอกลับมา เป็นอย่างเดิม”
ท่ามกลางความงุนงงของคนรอบข้าง เป็นตัวผมเองที่หยิบไมโครโฟนขึ้นมา แล้วส่งเสียงไปพร้อมกับท่วงทำนองที่ผมคุ้นเคย ผมใส่มันเต็มอารมณ์ทุกตัวอักษร ทั้งเสียงสูง กลาง ต่ำ ผมปล่อยพลังเสียงราวกับตัวเองกำลังประกวดรายการ เดอะ ว๊อยส์ ประมาณนั้น
เสียงคนโห่ร้อง เป่าปากด้วยความเมามัน น้ำตาผมไหลรินไปตามเนื้อหาของบทเพลง เพราะมันคือเพลง... เพลงขอร้อง ของแบล็คเฮด
เพลงที่ผมเคยร้องในวันแรกที่วิวโทรหาผม ภาพเรื่องราวสำคัญระหว่างเรา ปรากฏเข้ามาในหัวผมอีกครั้ง ตั้งแต่วันแรกที่เราเจอกัน
วันที่เราไปเที่ยวภูเขาทองด้วยกัน
วันที่รู้ว่าเธอจะต้องมาเรียนที่นี่
วันที่เธอร้องไห้ที่สนามบิน
และวันนี้ เป็นผมที่กำลังร้องไห้..กับท่อนสุดท้ายของเพลง ผมปล่อยมันออกไปสุดเสียง
“ขอเถิด ขอร้องให้เธอกลับมาหา ถึงต้องย้อนวันเวลา
ขอเถิด ขอร้องเพียงเธอกลับมาหา
แค่อยากจะเห็นเธอกลับมา เป็นอย่างเดิม...อ้วกกกกก...”
ครับ ผมอ้วกแตก
แล้วค่อยๆ ทรุดตัวลงไปนอนกับพื้น
เสียงกองเชียร์ เฮกันลั่นร้าน
ตามด้วยประโยคสุดท้ายที่ผมตะโกนใส่ไมค์
"ตัวจริงมันต้องอย่างนี้โว้ย" เสียงเฮตามมาอีกระลอก
ภาพสุดท้ายก่อนที่ผมจะสิ้นสติ คือนาฬิกาที่บอกเวลาเที่ยงคืนสิบห้านาที
นี่มันผ่านวันคริสต์มาสไปแล้วนี่หว่า
หมายความว่า เลยวันครบรอบของเราไปแล้วสินะ
...
(โปรดติดตามตอนต่อไป)

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา