22 ก.ค. 2021 เวลา 02:00 • กีฬา
รามณรงค์ เสวกวิหารี : จากเด็กขี้แยที่ถูกเพื่อนแกล้งสู่จอมเตะความหวังเทควันโดไทย | MAIN STAND
โอลิมปิก คือความฝันของนักกีฬาทั่วโลก ทุกคนอยากจะได้สัมผัสประสบการณ์การเข้าร่วมมหกรรมกีฬาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกรายการนี้
แต่คุณจะต้องเจ็บปวดแค่ไหน หากช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดในชีวิต กับการล่าตั๋วโอลิมปิก กลับต้องเผชิญอาการบาดเจ็บ และปล่อยให้โอกาสนั้นต้องหลุดลอยไป
ครั้งหนึ่ง จูเนียร์-รามณรงค์ เสวกวิหารี เคยสูญเสียโอกาสที่จะได้สิทธิ์ไปร่วมโอลิมปิกมาแล้วครั้งหนึ่ง เพราะอาการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นแบบผิดที่ผิดเวลา ซึ่งส่งผลกระทบกับทั้งทางร่างกายและจิตใจ
แต่เขาสามารถก้าวข้ามผ่านบาดแผลที่เกิดขึ้น จนสามารถเป็นหนึ่งในนักกีฬาไทยที่ได้เข้าร่วมโอลิมปิก 2020 และเป็นนักเทควันโดตัวความหวังที่จะคว้าเหรียญรางวัลจากการแข่งขันครั้งนี้
เส้นทางของ รามณรงค์ ต้องผ่านความเจ็บปวดมานับไม่ถ้วน นับตั้งแต่วันแรกที่เขาเริ่มหัดเทควันโด เพราะไม่อยากถูกเพื่อนในละแวกบ้านกลั่นแกล้ง, ถูกโกงในการแข่งขัน, การซ้อมที่เหนื่อยแทบขาดใจ และอาการบาดเจ็บที่เกือบทำให้ฝันพังทลาย แต่เขาก็ใช้ความฝันฝ่าฟันมาจนถึงจุดนี้
จากเด็กที่ถูกบูลลี่ สู่เจ้าหนูมหัศจรรย์
22 พฤษภาคม 2021 คือวันแห่งความปลื้มปิติของชายที่ชื่อ รามณรงค์ เสวกวิหารี เพราะเขาสามารถทำตามความฝัน เข้าร่วมมหกรรมกีฬาที่ยิ่งใหญ่ อย่าง โอลิมปิก เกมส์ ในฐานะนักกีฬาเทควันโด ทีมชาติไทย
แต่หากย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 19 ปีก่อน เด็กชายรามณรงค์ไม่มีสิ่งใดเหมือนกับตัวเองในปัจจุบันนี่เลย เขาเป็นเพียงเด็กที่ไม่สู้คน ถูกเพื่อนกลั่นแกล้ง จนร้องไห้เสียน้ำตาเป็นประจำ
“สมัยก่อนเป็นคนตัวเล็ก เวลาไปเล่นกับเพื่อนแถวบ้าน ก็โดนแกล้งตลอดครับ เพราะเขาตัวใหญ่กว่า เวลาโดนแกล้งมา ก็ได้แต่นั่งร้องไห้ครับ” รามณรงค์ เริ่มเล่าเรื่องราวของตัวเอง
“คุณพ่ออยากให้ผมสู้คนครับ พอดีว่าแถวบ้านมีสอนเทควันโด ท่านจึงส่งผมไปเรียนเทควันโดมาตั้งแต่ตอนนั้น”
เทควันโดได้เปลี่ยนชีวิตของเด็ก 5 ขวบคนหนึ่งไปโดยสิ้นเชิง แต่ไม่ใช่เพราะเขาใช้วิชาลูกเตะที่ร่ำเรียนมาไปจัดการเพื่อนจอมบูลลี่ แต่กีฬานี้กลายเป็นความสุขของรามณรงค์ ชนิดที่เรียกว่าแยกจากกันไม่ขาด
“ผมชอบเวลาเข้าคู่สู้กัน มันสนุกครับ ตอนได้เตะเขาก็สนุก เวลาถูกเตะกลับมา เราก็ต้องใช้ความคิดว่า จะทำยังไงไม่ให้ถูกเตะ พอเริ่มเล่นก็ติดใจเลย”
แพชชั่นของรามณรงค์ที่มีต่อกีฬาเทควันโด เปล่งประกายออกมา จนโค้ชต้องส่งเขาลงแข่งขันรายการระดับเยาวชน ทั้งที่เขาเพิ่งหัดเทควันโดได้เพียงแค่ 2 เดือนเท่านั้น
“ตอนนั้นผมไม่รู้เรื่องอะไรหรอกครับ โค้ชให้แข่งก็แข่ง แบกอายุ แบกน้ำหนักไปด้วยครับ เจอกับเด็ก 7-8 ขวบ ไปถึงก็ไล่เตะเขาอย่างเดียว สุดท้ายได้เหรียญทองแดงกลับมาก็ดีใจมาก หลังจากนั้นมาผมก็มีแรงบันดาลใจ ตั้งใจซ้อมเทควันโดทุกวันเลยครับ เสาร์-อาทิตย์ ก็ไม่หยุด”
ความขยันส่งผลถึงพัฒนาการด้านกีฬาต่อสู้ของ รามณรงค์ ทั้งที่อายุเพียง 6 ขวบ แต่เขาสามารถปราบนักสู้ได้ไม่ซ้ำหน้า ขึ้นโพเดี้ยม รับเหรียญทองมาคล้องคอเป็นว่าเล่น จนมีโอกาสได้ไปแข่งชิงแชมป์เยาวชนประเทศไทย ด้วยวัยเพียง 6 ขวบ ขณะที่คู่แข่งอายุมากสุดที่เขาต้องเจอคือ 12 ปี
“ตอนนั้นเขาไม่ได้แบ่งเป็นรุ่น 6-7 ขวบ, 8-9 ปี แต่รวมกันเป็น 6 ถึง 12 ปี ก็ต้องแบกอายุและน้ำหนักไปแข่ง แต่ผมก็ซ้อมหนักครับตอนนั้น ซ้อมทั้งเช้า ทั้งเย็น ไปนอนที่บ้านโค้ชเลยครับ พอไปแข่งก็ได้เหรียญทองแดงกลับมา”
ผลงานที่โดดเด่นตั้งแต่วัยเยาว์ จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่หลายคนจะมองว่า รามณรงค์ มีพรสวรรค์ในการเป็นนักเทควันโดอยู่ในตัว ซึ่งเขาก็ไม่ปฏิเสธความจริงข้อนี้ แต่ตัวเขาเองก็รู้ดีกว่าใครว่า แค่ความสามารถที่มีติดตัวมา ไม่เพียงพอที่จะทำให้เป็นนักกีฬาที่ประสบความสำเร็จ
“ผมว่าพรสวรรค์ กับการฝึกซ้อมอย่างหนักต้องมาพร้อมกันครับ เพราะมีช่วงหนึ่งที่โค้ชผมไม่อยู่ ผมก็ไม่ได้เล่นเทควันโด พอได้กลับมาแข่ง ถ้าเจอคนที่ฝีมือใกล้กัน ผมสู้ไม่ได้เลย ทั้งที่เคยชนะมาตลอด ผมจึงรู้ว่าแค่พรสวรรค์อย่างเดียวไม่พอครับ ต้องหมั่นฝึกฝนด้วย”
ผมรู้สึกว่าถูกโกง...
เพราะความเข้าใจว่าความสำเร็จต้องแลกมากับหยาดเหงื่อ รามณรงค์ จึงใช้เวลาหลายชั่วโมงต่อวันไปกับการซ้อมเทควันโด ตั้งแต่อายุเพียง 6 ขวบ แทนที่จะใช้เวลาไปเล่นแบบเด็กทั่วไป เขากลับขลุกตัวอยู่แค่ในโรงยิม ซ้อมเตะเป้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เหตุผลเดียวที่เด็กชายคนนี้ ทุ่มเทเวลาชีวิตวัยเด็กไปกับเทควันโด เพราะนี่คือความสุขของเขา รามณรงค์ รู้สึกสนุกทุกครั้งที่ได้ขึ้นไปโชว์ลูกเตะ ชิงไหวชิงพริบกับคู่แข่ง เพื่อคว้าแชมป์กลับมา
ตราบใดที่หยาดเหงื่อที่เสียไป ตอบแทนกลับมาด้วยชัยชนะ รามณรงค์ก็จะยังคงสนุกกับการต่อสู้เสมอ แต่เมื่อเวลาผ่านไป สิ่งที่เด็กชายยิ้มเก่งต้องเผชิญหน้าในวัย 11 ปี คือความพ่ายแพ้ครั้งแล้วครั้งเล่า และบางครั้งเขาก็รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้แพ้เพราะฝีมือสู้คู่แข่งไม่ได้
“ผมรู้สึกว่าถูกโกงครับ สมัยก่อนแต้มจะถูกเขียนใส่กระดาษ เราเตะไปก็จะไม่เห็นคะแนน จบยกค่อยมาบอก เราไม่เห็นคะแนนทันที แต่พูดตามตรงแบบสกอร์บอร์ดก็มีครับ (หัวเราะ)”
“เจอบ่อย ๆ ก็ท้อครับ คุณแม่ก็โกรธมาก อยากให้ผมหยุดเล่นไปก่อน ตอนนั้นก็เลิกเล่นไปเลย เปลี่ยนไปตีกอล์ฟแทน”
รามณรงค์ เริ่มรู้สึกว่าสิ่งที่ทุ่มเทลงไปเริ่มเสียเปล่า เพราะต่อให้เตะคู่ต่อสู้มากแค่ไหน เขากลับไม่มีสิทธิ์จะได้รับการยกมือให้เป็นผู้ชนะหลังการแข่งขันจบลง ถึงขั้นที่เคยหลังหันให้กีฬาชนิดนี้มาแล้ว
“ผมเลิกเล่นไปประมาณ 6 เดือน ลองไปตีกอล์ฟดู แต่ว่าผมไม่ชอบสักเท่าไหร่ จึงขอกลับมาเล่นเทควันโด จริง ๆ ในใจผมอยากเล่นเทควันโดมาตลอด ตอนที่กลับมาเล่นอีกครั้งก็ไม่ได้มีเป้าหมายอะไร แค่อยากกลับมาเล่นกีฬาที่เราชอบ”
“แต่ช่วงแรกที่กลับมา ไปสู้ก็แพ้อย่างเดียวเลยครับ เพราะร้างสนามไปนาน คนอื่นพัฒนากันหมด ผมก็พยายามซ้อมมาเรื่อย ๆ จนกลับมาชนะได้อีกครั้ง”
แทบขาดใจ
“ผมไม่เคยคิดจะเป็นนักกีฬาทีมชาติ ไม่รู้จักด้วยซ้ำว่า ทีมชาติคืออะไร” รามณรงค์ เล่าถึงตัวตนในวันวาน ที่แตกต่างกับปัจจุบันที่มีฐานะเป็นถึงนักกีฬาทีมชาติ
นับตั้งแต่รู้จักกับเทควันโด กีฬานี้ได้กลายมาเป็นตัวตนของ รามณรงค์ เสวกวิหารี ที่มีความสุขทุกครั้งที่ได้เล่นกีฬานี้ แต่ก็ยังไม่เคยฝันไกล หรือวางเป้าหมายจริงจัง ขอแค่ได้ใช้เวลาไปกับสิ่งที่ตนเองรักก็พอใจแล้ว
กระทั่งปลายปี 2011 หนุ่มนักเทควันโดได้ใช้วันว่าง เพื่อดูมหกรรมกีฬาซีเกมส์ ที่ประเทศอินโดนีเซีย โดยที่เขาไม่รู้เลยว่า นี่คือเหตุการณ์ที่จะเปลี่ยนชีวิตของเขาไปตลอดกาล
“ผมเพิ่งมารู้จักคำว่า ‘นักกีฬาทีมชาติ’ ตอนดูซีเกมส์ครั้งนั้น ผมเห็นนักเทควันโดใส่ชุดที่ข้างหลังเสื้อเขียนว่า THA พอผมเห็นแล้วก็อยากได้มาก”
“ผมหันไปบอกพ่อว่า ‘ผมอยากได้ และผมจะทำให้พ่อดู’”
หลังจากวันนั้น เป้าหมายเดียวของรามณรงค์ คือการเป็นนักกีฬาเทควันโดทีมชาติไทย และความฝันของเขาก็เป็นจริงในระยะเวลาไม่นานนัก เพราะด้วยผลงานที่โดดเด่นในระดับเยาวชน ทำให้ รามณรงค์ ถูกเรียกไปคัดตัวกับทีมชาติไทยที่กำลังมองหาจอมเตะสายเลือดใหม่
ตลอดชีวิตการเป็นนักเทควันโด รามณรงค์ให้ความสำคัญกับการฝึกซ้อมอย่างหนักมาโดยตลอด ใช้เวลาหลายชั่วโมงในเกือบทุกวัน เพื่อหวังจะเป็นสุดยอดบนสังเวียนการแข่งขัน เขามั่นใจว่าตัวเองอดทนกับการซ้อมหนักได้ไม่แพ้ใคร
แต่ทุกความเหนื่อยล้าที่เขาเคยเจอมา ไม่มีความหมายอีกต่อไป หลังจากที่เขาเริ่มเข้ามาฝึกซ้อมกับทีมชาติไทย
“ทุกอย่างมันแตกต่างจากที่ผมเคยเจอมากครับ การซ้อมกับทีมชาติจะเข้มข้นกว่า เหนื่อยกว่าซ้อมข้างนอกเยอะมาก ทุกอย่างต้องใส่ให้เกินขีดจำกัดของตัวเอง ซ้อมให้แบบจะขาดใจ เหมือนจะตายให้ได้” รามณรงค์อธิบายถึงความยากลำบากของการซ้อมกับทีมชาติ ที่ตัวเขาก็อธิบายเป็นคำพูดได้ยากลำบาก
“แค่ช่วงคัดตัว 3 วันแรก ผมก็เหมือนจะไม่ไหวแล้วครับ เพราะว่าซ้อมหนักมาก ซ้อมตลอดเวลา จนปวดหัว ปวดตัว ปวดไปทุกอย่าง เหมือนกำลังจะตาย จนตอนนั้นท้อเลยครับ”
“กูมาทำอะไรที่นี่ ?” กลายเป็นคำถามที่ดังก้องอยู่ในใจของรามณรงค์ หลังจากที่ต้องเผชิญความเจ็บปวดทางร่างกายอย่างแสนสาหัส แต่คำตอบของคำถามข้างต้น ยังคงชัดเจนอยู่เสมอ นั่นคือการเป็นนักกีฬาทีมชาติ
“ผมพูดกับตัวเองว่า ต้องฝืน ต้องอดทน เรามาไกลถึงตรงนี้ ถอยกลับไม่ได้แล้ว ยังไงก็ต้องสู้ เหนื่อยแค่ไหนก็ต้องอดทนสู้ต่อไป”
เรียนรู้จากความพ่ายแพ้
หากวันนั้น รามณรงค์ตัดสินใจเดินกลับบ้าน คงไม่มีนักเทควันโดตัวแทนจากประเทศไทย ไปลุ้นเหรียญโอลิมปิก 2020 ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น
แต่ความฝันที่ชัดเจน แปรเปลี่ยนเป็นความมุ่งมั่น ทำให้เขาผ่านช่วงเวลาการคัดตัวสุดโหด จนกลายเป็นสมาชิกยอดนักเตะทีมชาติไทยได้สำเร็จ
รายการแรกในฐานะนักกีฬาทีมชาติไทยของรามณรงค์ คือการแข่งขันเยาวชนชิงแชมป์โลกปี 2012 ที่ประเทศอียิปต์ ถึงจะเป็นผู้เล่นหน้าใหม่ แต่นักเตะหนุ่มรายนี้ก็หวังจะมีเหรียญติดมือ ซึ่งเขาก็ทำได้ดี จนกระทั่งไปจนถึงรอบ 8 คนสุดท้าย ที่หากเขาผ่านเข้าไปได้ก็จะมีเหรียญรางวัลติดมือตามที่ต้องการแน่นอน
“แมตช์วันนั้น ตอนแรกผมคะแนนนำอยู่ครับ กระทั่งใกล้หมดยกสอง กรรมการสับมือ (แจ้งว่าหมดยก) ผมดันไปเตะคู่ต่อสู้ ทำให้ผมถูกตัดแต้ม พอยกถัดมา กรรมการสับมือ คู่ต่อสู้มาเตะผมบ้าง แต้มเขากลับเพิ่มขึ้น กลายเป็นว่าเสมอกัน จนต้องไปแข่งยกที่สี่”
“ตอนนั้นผมยังเด็ก ยังไม่นิ่ง พอรู้สึกว่ากรรมการตัดสินผิดพลาด ก็เสียสมาธิจนโดนเตะจนแพ้ไป เสียใจนะครับ เพราะผมหวังไว้เยอะมาก”
ถึงจะต้องเผชิญกับความล้มเหลว แต่หัวใจของรามณรงค์กลับไม่ได้เหี่ยวเฉาไปกับความพ่ายแพ้ ไฟแห่งความกระหายของเขากลับยิ่งลุกโชนมากกว่าเดิม
โชคดีที่รอบตัวของเขา มีแต่นักเทควันโดมืออาชีพที่เป็นตัวอย่างที่ดี ที่ทำให้รามณรงค์มองเห็นกุญแจแห่งความสำเร็จ และเขาจะไม่ทำให้ตัวเองผิดหวังอีกเป็นครั้งที่สอง
“ผมเห็นพี่เล็ก (ชนาธิป ซ้อนขำ) ซ้อมมากกว่าคนอื่น ผมก็ไปซ้อมกับพี่เล็ก รุ่นพี่ในทีมชาติให้คำแนะนำ สอนผมหลายอย่าง ส่วนผมก็พยายามซ้อมให้มากกว่าคนอื่น หลังจากซ้อมประจำวันเสร็จ ผมก็จะซ้อมเตะต่ออีก 30 นาที ทำให้ฝีมือพัฒนาขึ้นเยอะครับ”
ผลลัพธ์จากการทำงานหนักตอบแทนรามณรงค์ด้วยการคว้าเหรียญทองในรายการต่าง ๆ ทั้ง ยูเอสโอเพ่น, โคเรียโอเพ่น, เอเชียนยูธเกมส์ รวมถึงการคว้าเหรียญทองซีเกมส์ ในปี 2013 ที่ประเทศเมียนมา ซึ่งถือเป็นรายการแจ้งเกิด ให้คนไทยได้รู้จักชื่อของ รามณรงค์ เสวกวิหารี
แต่สำหรับหนุ่มรายนี้ การได้ใส่เสื้อเทควันโดที่มีตัวอักษรคำว่า THA บนเวทีเดียวกับที่เคยให้แรงบันดาลใจ ต่อการเป็นนักกีฬาทีมชาติไทยของเขาเมื่อ 2 ปีก่อน คือหนึ่งในช่วงเวลาที่น่าจดจำที่สุดในฐานะนักเทควันโด
“ตอนนั้นพ่อบอกกับผมว่า ‘ที่เคยพูดไว้ ทำได้แล้วนะ’ และหลังจากจบซีเกมส์ ผมตั้งเป้าไว้เลยว่า อยากได้ไปแข่งโอลิมปิกสักครั้ง จะได้เหรียญกลับมาหรือเปล่าไม่รู้ แต่ต้องได้ไป เพราะนี่คือความฝันสูงสุดของการเป็นนักกีฬาแล้วครับ”
ต่อสู้กับโชคชะตา
นับตั้งแต่เป็นสมาชิกของทัพเทควันโดไทย รามณรงค์ เข้าร่วมการแข่งขันรายการใหญ่ทุกรายการ มีเหรียญติดมือมากมาย ทั้ง เอเชียนเกมส์, เทควันโดชิงแชมป์เอเชีย และเทควันโดชิงแชมป์โลก
จึงไม่ใช่เรื่องแปลก หากจอมเตะหนุ่มรายนี้ จะตั้งเป้าโอลิมปิกให้เป็นเป้าหมายที่เขาหวังพิชิตโดยเร็วที่สุด ตั้งแต่การแข่งขันที่ประเทศบราซิลในปี 2016 เพราะตลอด 4 ปีที่ผ่านมา นี่คือฝันสูงสุดเพียงหนึ่งเดียวที่รามณรงค์ตั้งไว้ในใจ
“ผมอยากไปโอลิมปิก มาตั้งแต่ดูการแข่งขันที่ลอนดอน ปี 2012 พี่ไอ เป็นเอก การะเกตุ (อดีตนักเทควันโดทีมชาติไทย) ก็เคยพูดกับพบผมว่า ‘น้องต้องไปให้ได้นะ’ ผมก็เลยตั้งเป้าหมายไว้ที่โอลิมปิกมาตลอด”
ตลอด 4 ปี รามณรงค์ เสวกวิหารี ฝึกซ้อมอย่างหนัก เหน็ดเหนื่อยแทบขาดใจทุกวัน พยายามเก็บเหรียญในรายการต่าง ๆ ให้ได้มากที่สุด เพื่อทำให้ฝันเป็นจริง เหมือนช่วงเวลาในอดีตที่ผ่านมา
แต่ครั้งนี้โชคไม่เข้าข้าง เพราะในโอลิมปิก 2016 ไม่มีรอบคัดเลือก แต่ใช้วิธีการให้โควต้าโดยตรงกับนักกีฬา ซึ่งไม่มีชื่อของ รามณรงค์ เสวกวิหารี อยู่ในลิสต์นักเทควันโดที่จะได้เป็นส่วนหนึ่งของการแข่งขันครั้งนี้
“ไม่ได้ไปก็รู้สึกเฟล รู้สึกเสียใจครับ” รามณรงค์ เล่าอย่างเปิดอก “แต่ผมคิดกับตัวเองว่า ไม่เป็นไร ไม่ได้ไปโอลิมปิก ก็ยังมีรายการอื่น เช่น ชิงแชมป์โลก, ชิงแชมป์เอเชีย เราก็ไปมุ่งมั่นกับรายการอื่นแทน”
รามณรงค์ไม่เคยสูญเสียความมั่นใจ เขายังคงทำผลงานเก็บเหรียญรางวัลได้อย่างต่อเนื่อง เพื่อรอคอยให้โอลิมปิก หมุนวนกลับมาอีกครั้ง ซึ่งคราวนี้นักเทควันโดหนุ่มตั้งเป้าหมายชัดเจนว่า เขาจะต้องติด 1 ใน 6 อันดับแรกของโลก เพื่อการันตีการไปลุยโตเกียวเกมส์ 2020 ด้วยโควต้าอัตโนมัติให้ได้
เหมือนโชคชะตาต้องการเล่นตลก กับเส้นทางสู่โอลิมปิกของชายคนนี้อีกครั้ง เพราะรามณรงค์ได้รับอาการบาดเจ็บกระดูกเท้าข้างขวา ในช่วงเวลาใกล้เคียงกับการทำผลงานเพื่อไต่อันดับโลกให้ผ่านการคัดเลือกไปลุยมหกรรมกีฬาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก
“จริง ๆ พักประมาณ 2 เดือน มันก็หายครับ” รามณรงค์เล่าถึงอาการบาดเจ็บ “แต่ผมต้องซ้อมอยู่ตลอด บางทีก็ต้องใช้ขาข้างที่เจ็บเตะบ้าง เพราะจะไปเตะข้างเดียวก็ไม่ได้ครับ ไม่อย่างนั้นคู่ต่อสู้จะจับทางได้”
“ผมต้องฝืนซ้อม และแข่งทั้งที่ยังเจ็บอยู่ครับ อาการไม่หายครับ ผลงานช่วงนั้นก็ไม่ค่อยดี เพราะอาการบาดเจ็บมันส่งผลกระทบ พอแข่งหลายแมตช์ติดกัน มันก็เจ็บเท้าครับ จริง ๆ ตอนนั้นทำอะไรก็เจ็บ แค่เดินก็ยังเจ็บ”
“เวลาที่ตัวเองเจ็บเท้าอยู่ ความมั่นใจก็หายไปเยอะครับ ไม่กล้าเตะ จะเตะต้องยั้งเท้าตลอด เหมือนกับเสียโอกาสฟรี แต้มก็ไม่ได้ ช่วงนั้นเซ็งนะครับ เพราะเราพยายามเต็มที่ แต่ยิ่งเตะก็ยิ่งเจ็บ ผมก็หงุดหงิดครับ เพราะว่ามันเตะไม่ได้ เราทำไม่ได้ สุดท้ายก็รู้ว่า ผมคงไม่สามารถไต่ขึ้นไปติด 6 อันดับแรกแน่นอน”
เป็นอีกครั้งที่ รามณรงค์ ทำโอกาสไปลุ้นตั๋วโอลิมปิกแบบอัตโนมัติหลุดมือ แม้ว่าคราวนี้จะมีการคัดเลือกอีกหนึ่งรอบให้เขาได้มีโอกาสแก้ตัว แต่สิ่งที่เป็นปัญหามากที่สุดคืออาการบาดเจ็บที่เท้าขวา ซึ่งส่งผลลามมาจนถึงหัวใจ ทำให้จอมเตะรายนี้ สูญเสียความดุดันในการแข่งขัน อันเป็นจุดเด่นของเขาไป
“ปลายปี 2019 ตอนแข่งซีเกมส์ อาการบาดเจ็บยังมีอยู่ครับ ผมก็กลัว ๆ แต่พี่นักกายภาพบำบัดบอกผมว่า ‘ลงไปเดี๋ยวก็หาย ไม่ต้องไปใส่ใจหรอก มันหายแล้ว’ ผมก็ลองไม่คิดดูครับ พอลงไปเตะมันก็ไม่เจ็บจริง ๆ”
“เหมือนก่อนหน้านี้ เราคิดไปเองมาตลอดว่ามันยังไม่หาย เตะทุกครั้งก็เจ็บทุกครั้ง กังวลไปเองว่ามันเจ็บ”
“แต่ตอนนี้ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันนะครับว่ามันหายหรือยังไม่หาย แต่ถ้าให้เดา ผมก็คิดว่ายังไม่หาย (หัวเราะ) แต่ผมคิดเอาเองว่ามันไม่เจ็บ แค่นั้นก็โอเคแล้วครับ”
วันที่รอคอย
รามณรงค์ คืนฟอร์มเก่งได้อย่างสมบูรณ์ ในการแข่งขันซีเกมส์ที่ประเทศฟิลิปปินส์ คว้าเหรียญทองจากรายการนี้มาครองได้เป็นครั้งที่ 3 ความมั่นใจของเขาจึงกลับมาเต็มเปี่ยมอีกครั้ง พร้อมแล้วกับการไล่ล่าตั๋วไปลุยโอลิมปิก เกมส์ 2020
แต่โชคชะตายังคงไม่เป็นใจให้กับเขาเช่นเดิม การระบาดของไวรัส COVID-19 ทำให้การคัดตัวโอลิมปิกของกีฬาเทควันโดถูกเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด
ยิ่งไปกว่านั้น จากคนที่เคยฝึกซ้อมอย่างหนักหน่วงภายใต้ระบบของทีมชาติไทย เขากลับต้องซ้อมเตะเป้าอยู่คนเดียวที่บ้าน จนความกังวลเกิดขึ้นในใจเขาอีกครั้ง
“ตอนกลับมารวมตัวซ้อมอีกครั้ง รู้เลยครับว่า จังหวะมันไม่ได้ พอรู้ตัวว่าต้องไปคัดตัวแน่ ๆ ผมก็ซ้อมทุกวันครับ ซ้อมให้หนักกว่าเดิม เสาร์-อาทิตย์ก็ซ้อมครับ พยายามจะซ้อมวันละ 2 ครั้ง เอาให้ได้มากที่สุด ยกเว้นจะรู้สึกว่าไม่ไหวจริง ๆ แต่อย่างน้อยต้องได้ซ้อมทุกวัน”
“พอซ้อมต่อเนื่อง ความมั่นใจก็กลับมาครับ เพราะถ้าไม่ได้ซ้อม จะไม่มีความมั่นใจเลยครับ ในหัวจะคิดเยอะไปหมดเวลาแข่ง แต่ถ้าซ้อมมามากพอ ตอนแข่งเราจะไม่ต้องคิดอะไรเลยครับ”
รามณรงค์ พกความมั่นใจเต็มเปี่ยมไปลุยการคัดตัวที่ประเทศจอร์แดน และก็ไม่มีอะไรพลิกโผ เขาพิชิตความเจ็บปวดและทุกสิ่งที่รบกวนจิตใจ เดินหน้าไล่ปราบคู่แข่งจากคีร์กีซสถาน และปากีสถาน คว้าตั๋วไปลุยโอลิมปิกได้ในที่สุด
“ผมดีใจมากครับ ขนาดก่อนแข่งคิดไว้ว่าคงจะได้มาแน่ ๆ พอได้มาจริง ก็ยังรู้สึกดีใจมาก เพราะเคยฝันไว้ว่าเราอยากทำให้ได้สักครั้งในชีวิต และวันนี้เราก็ทำได้จริง”
“ผมจะทำให้เต็มที่ที่สุดกับโอลิมปิกครั้งนี้ อยากได้เหรียญกลับบ้าน ไม่ว่าจะเป็นเหรียญอะไรก็ตาม ขอให้ได้เหรียญกลับบ้านก็ยังดี เพราะผมรู้ดีว่าโอลิมปิกไม่ใช่งานง่าย นักกีฬาที่มาแข่งทุกคนเก่งเหมือนกันหมด”
ทุกความฝันที่ รามณรงค์ เสวกวิหารี ตั้งเอาไว้ เขาสามารถทำมันได้สำเร็จมาตลอด แต่กว่าจะถึงวันที่ชื่นมื่น เขาต้องผ่านอุปสรรคมาหลายครั้ง ไม่เคยมีสิ่งใดที่เขาได้มาโดยง่าย หากแต่ต้องใช้ความพยายามอย่างถึงที่สุด ต่อสู้ผ่านขีดกำจัดของตัวเอง เพื่อให้สิ่งที่ฝันกลายเป็นจริง
เราคงบอกไม่ได้ว่า รามณรงค์จะสามารถคว้าเหรียญรางวัลกลับมาจากโตเกียวได้ตามที่ฝันหรือไม่ แต่สิ่งที่บอกได้คือ หนุ่มคนนี้จะทุ่มเทชีวิตให้กับการฝึกซ้อม เหมือนกับที่เขาทำมาตลอดชีวิต เพื่อทำให้ความฝันของเขาเป็นจริงให้ได้
บทความโดย ณัฐนนท์ จันทร์ขวาง
โฆษณา