24 ก.ค. 2021 เวลา 12:18 • นิยาย เรื่องสั้น
นายเมาเล่าเรื่องผี ตอนที่ 2
" หลิน "
ช่วงปี 2542-43 เป็นช่วงที่ผมเพิ่งทำงานได้สามปีหลังเรียนจบ ด้วยความที่ตำแหน่งยังไม่ต้องรับผิดชอบอะไรมากนัก ก็เลยยังเล่นดนตรีหารายได้เสริมตอนกลางคืนไปด้วย
เป็นช่วงที่ใช้ชีวิตมันส์ที่สุด ร่างกายยังสด กินเหล้าไม่นอนไปทำงานยังได้
เงินทองก็ถือว่าดี กับเด็กจบใหม่เงินเดือนเกือบสี่หมื่นสมัยนั้น ถือว่าอู้ฟู่และทำให้ผมฮอตพอตัวเลยแหละ
ไอ้เล่นดนตรีนี่สนองความอยากเที่ยว อยากกินเหล้าของตัวเองมากกว่า
ผมเลยมีโอกาสร่วมงานกับนักร้องหญิงคนหนึ่งในช่วงนั้น
...เธอชื่อ "หลิน"...
ที่จริง ผมไม่ใช่มือกีตาร์วงเธอหรอก แต่เพราะเธอวงแตก สมาชิกส่วนมากอยากไปหากินกันหัวหินในแนวเพื่อชีวิต แล้วเธอไม่ยอมไปด้วย
ก็เลยรวมนักดนตรีที่รู้จักตั้งวงใหม่ขึ้นมา ผม ซึ่งเล่นร้านเดียวกับเธอหลายที่ เคยเจอกัน จึงถูกดึงเข้ามาร่วม
...แต่ถึงแบบนั้น สุดท้ายก็ต้องเล่นกันสองคน เพราะสมัยนั้นร้านเล็กๆ นิยมนักดนตรีแค่คนหรือสองคน เล่นกับแบ็คกิ้งแทร็กมากกว่า ไม่มีมือเบส มือกลอง มันประหยัดทางค้านเขามากกว่า
หลินซึ่งปกติสอนเปียโนกลางวันด้วย จึงเล่นกับผมแค่สองคน โดยหลินเล่นคีย์บอร์ดและเปิดแบ็คกิ้งแทร็ก ส่วนผมเล่นกีตาร์ ซึ่งแบบนี้จะมีงานเข้ามามากกว่า
เมื่อเป็นแบบนั้น จึงเลี่ยงไม่ได้ ที่ใครๆจะมองว่าผมกับเธอเป็นแฟนกัน ทั้งที่จริงๆแล้วไม่ใช่
และการแสดงออกบนเวที มันก็ทำให้เราเป็นแบบที่ทุกวันนี้เรียกกันว่าคู่จิ้นอยู่ดี
ซึ่งเธอเองก็มักไม่ปฏิเสธเวลาใครเรียกผมว่าแฟนเธอ เธอบอกว่าแบบนี้ก็ดี ลูกค้าจะได้ไม่กล้าวุ่นวาย. ซึ่งผมว่ามันก็เป็นเหตุผลที่ดี
ก่อนเกิดเรื่อง ผมเล่นกับเธออยู่ปีเศษ โดยลึกๆก็แอบชอบเธออยู่ไม่น้อยเลย เธอค่อนข้างตรงสเปก
...แต่กลัว...
ที่จริงเธอเป็นผู้หญิงสวยทีเดียว หมวยๆสมชื่อนั่นแหละ สมัยนั้นก็ฮิตกันแบบนั้น และค่อนข้างสูง ซึ่งผมชอบมากสำหรับผู้หญิงที่สูงๆผอมๆ สักหน่อย
...แต่เพราะผมไม่แน่ใจว่าเธอโอเคไหม ถ้าบอกว่าเราชอบไม่อยากทำวงแตก ก็เลยได้แต่เงียบๆไว้...
ตอนบ่ายวันที่ 24 กันยายนปี 2543 ผมก็ได้รับข่าวร้าย เมื่อที่บ้านเธอโทรมาบอกว่าเธอรถมอเตอร์ไซค์ล้ม จากการขี่ไปซื้อของแถวบ้านย่านโชคชัย4 แล้วเสียชีวิต โดยที่บ้านเธอโทรมาหาตามสมุดจดเบอร์โทรศัพท์ของเธอ
..." มางานด้วยนะ คนเป็นแฟนกัน แม่ไม่ว่าหรอก"...
แม่เธอว่างั้น เล่นเอาผมอึ้งเหมือนกัน เพราะแม่เธอไม่รู้จักผม และไม่เคยรู้เรื่องคู่จิ้นเวลาทำงานเลย
ผมเจอแม่เธอที่งาน จึงได้รู้คำตอบ เพราะปรากฏว่าหลินเองเก็บรูปถ่ายตู้สติ๊กเกอร์ซึ่งฮิตมากในสมัยนั้น ที่ถ่ายคู่กันไว้เต็มไปหมด
ของขวัญวันเกิดที่ผมเคยให้ หรือกระทั่งดอกไม้ที่ผมเคยให้เล่นๆสนุกๆ บนเวที เธอเก็บไว้อย่างดีทุกอย่าง
ในสมุดโทรศัพท์เองก็มีรูปหัวใจ อยู่หลังชื่อผม นั่นทำให้แม่เธอเข้าใจว่าผมเป็นแฟนเธอ
...ก็เล่นเอาผมอึ้งนะ เพราะไม่คิดว่าจริงๆแล้วคิดตรงกัน แต่กลับไม่ได้พูดกันออกมาเท่านั้น...
...ด้วยความที่ไม่อยากขัดแม่เธอ และคิดแล้วว่าตัวเธอเองคงไม่ว่าอะไรถ้ารับรู้ ผมจึงยอมรับและไปงานศพเธอในสถานะ"แฟนหลิน' ตลอดเจ็ดวันที่สวด จนถึงวันลอยอังคาร
เรื่องมาเกิดหลังไปลอยอังคารกันมา...
ผมแยกจากที่บ้านเธอ มานั่งดื่มกันที่ร้านที่เคยเล่นดนตรีกับเพื่อนๆนักดนตรีที่ไปงานด้วยกันมา ซึ่งก็สนิทกับเธอทั้งกลุ่ม
" เออ กูไม่เข้าใจ ทำไมตอนนั้นพวกมึงไม่ยอมคบกันวะ? "
พี่ตั้ม หัวหน้าวง มือเบสเก่าของหลินพูดขึ้นมา
" ผมชอบมันนะพี่ แต่กลัวมันไม่โอเค เลยไม่กล้าบอก "
ผมตอบแบบนั้น
เมื่อมีคนพูดประเด็นนี้ขึ้นมา คนอื่นที่นั่งกินด้วยจึงเล่าให้ฟังว่า หลินเคยบอกพวกเขาตลอด แต่หลินเองไม่ให้บอก เพราะเธอก็กลัวเหมือนกัน เพราะเธอมองว่าเธอทำงานด้อยกว่า และผมเองอาจมีใครที่คุยอยู่แล้วที่ทำงาน จึงได้แต่เงียบไว้
...พวกนี้ยังเล่าด้วยว่า พยายามบอกใบ้ผมมาตลอด แต่ผมไม่สนใจเอง...
" ถ้าพวกกูอยู่กรุงเทพกับพวกมึงนะ เรียบร้อย ชัวร์ "
มีเพื่อนคนนึงพูดขึ้นมา
" ก็นี่กูก็เป็นแฟนมันแล้วไง "
ผมตอบแบบนั้น ด้วยเสียงที่จริงจัง เพราะเศร้าที่ตัวเองพลาดมากๆ ที่ไม่เคยพูดออกไป
...แล้วก็มีเสียงไมโครโฟนหอนขึ้นมาทันที หลังพูดจบ แม้แต่นักร้องที่ร้องอยู่บนเวทีตอนนั้น ก็ตกใจ เพราะเขาร้องอยู่ดีๆ ไมค์มันก็หอนขึ้นมาแบบไม่มีสาเหตุ...
...และไมค์ตัวนั้น คือไมค์ที่หลินใช้ประจำ ตอนมีชีวิต...
ไมค์หอนอยู่หลายครั้ง จนนักร้องต้องเปลี่ยนถึงจะหาย เล่นเอาพวกเราที่นั่งคุยกันอยุมองหน้ากันเลิ่กลั่ก
เพราะนักดนตรีทุกคนนั้น คุ้นกับสาเหตุของการไมค์หอนอยู่แล้ว แต่เท่าที่ดู มันไม่มีเหตุผลเลย และเวลามันก็เหมาะเจาะเกินไป
" เฮ้ย แดกเหล้าดีกว่า ชน แด่ไอ้หลิน! "
พี่ตั้มคนเดิม ชูแก้วชน แต่สีหน้านี่เครียดอย่างเห็นได้ชัด แล้วเราก็หยุดพูดถึงหลินกันไปเลย
จนร้านเลิก พี่เจ้าของร้านเดินถือไมค์เจ้าปัญหามาหา ให้ช่วยดูให้หน่อยว่าทำไมมันหอน
เพื่อนผมคนที่ชำนาญเรื่องพวกนี้ที่สุด จึงเอาไปเสียบดู เพื่อลองอีกครั้ง
...ปรากฏว่า มันไม่หอนเลย ใช้ได้ปกติทุกอย่าง...
พี่เจ้าของร้าน มองไปที่ไมค์บนเวที แล้วก็พูดขึ้นมาว่า
" อันนั้น ไมค์ไอ้หลินใช่ไหม? "
พอบอกว่าใช่ แกก็ทำหน้าแปลกๆ แล้วเล่าให้ฟังว่า คืนก่อนช่วงงานศพ มีนักร้องหญิงอีกคนจะใช้ แต่มันไม่ดังมาทีนึงแล้ว แต่กับคนอื่นก็ปกติ แกก็ยังแปลกใจอยู่ แต่ไม่ได้คิดอะไรมาก
" อ่ะ ไอ้สุ มึงแฟนมันก็เก็บไว้แล้วกัน "
แกยื่นให้ผมทันที ที่เพื่อนผมส่งคืนให้แก
...ผมจึงรับเอาไว้ และเก็บไว้เป็นที่ระลึกจนถึงวันนี้...
หลังจากนั้น ก็มีเรื่องแปลกๆ
แต่มันไม่ใช่ว่าผมเจอเอง แต่มันเกิดกับคนรอบข้าง
เลขาผมคนปัจจุบัน ซึ่งตอนนั้นมาเป็นเด็กฝึกงานที่บริษัท เจอกลิ่นน้ำหอมผู้หญิงบนรถผมประจำ เพราะเธอนั่งรถผมบ่อย
" แหมพี่ ซุ่มแฟนไว้ไหนเนี่ย ไปส่งมากลิ่นน้ำหอมยังติดรถอยู่เลยนะ "
...เลขาผมว่างั้น ผมเลยถามว่า กลิ่นเป็นไง ไม่ใช่กลิ่นน้ำหอมผมเหรอ...
" ไม่ใช่อ่ะ ของพี่โปโลสีน้ำเงินหนูจำได้ อันนี้น้ำหอม kenzo ขวดใบไม้ มันของผู้หญิง พี่ไม่ใช้หรอก "
ผมอึ้งเลย เพราะตัวผมเองไม่ได้กลิ่น เลยไม่รู้ว่ากลิ่นเป็นยังไง แต่ผมเคยเห็นขวดน้ำหอมของหลิน มันเป็นรูปใบไม้จริงๆ และผมยังเคยชมเลยว่ามันหอม ขวดก็สวย
แล้วเด็กคนนี้ ก็ไม่รู้จักกับหลิน เธอไม่มีทางอำผมถูกแน่ๆ
" แฟนพี่รสนิยมดีนะ หนูก็ชอบกลิ่นนี้ แต่มันแพงกว่าคลีนิค "
...ผมได้แต่ยิ้มๆ แต่คำพูดของเลขาผม ผมจำได้แม่นจนถึงตอนนี้...
เรื่องน้ำหอมนี่ คนใกล้ตัวผมทักแทบทุกคน แม้แต่รุ่นพี่ที่ทำงานยังเคยถาม ว่าทำไมใช้น้ำหอมผู้หญิง
" มึงเปลี่ยนน้ำหอมเหอะ แต๋วมากเลย "
" มึงเอาน้ำหอมเมียมาฉีดเหรอ? "
เหล่านี้คือ สิ่งที่ผมได้ยินจากคนรอบตัวเป็นประจำ ซึ่งก็พอเดาได้แหละ ว่ามันคืออะไร
แต่ครั้งที่แรงที่สุด ก็บนรถเหมือนกัน
วันนั้น มีรีเซฟชั่นที่ร้านมาใหม่ ขอติดรถกลับบ้าน เพราะค่อนข้างเมา
ยอมรับว่าผมก็คิดไม่ดี เพราะแหย่ๆกันมาตั้งแต่ในร้านแล้ว ดูทรงน้องเค้าก็โอเค
ขับมาก็มีนัวๆเนียๆกันเล็กน้อย คงไม่ต้องบอกว่ามันจะจบที่ตรงไหน
...แต่มันไปไม่ถึง...
จู่ๆ เธอก็ร้องขึ้นมา ว่าถูกดึงผม!
เธอตกใจมาก ตื่นจนหน้าซีด แล้วก็ร้องไห้ออกมายกใหญ่
ผมถามเธอว่าเป็นอะไร เธอก็เอาแต่ตอบว่า มีคนดึงผม มีคนดึงผม แล้วจู่ๆก็กรี้ดขึ้นมาดังมาก ว่ามีคนมาดึงอีกแล้ว
เธอจะขอลงทันที แต่สภาพซอยมัยลาภซึ่งก็ไม่ใช่ทางกลับบ้านเธอตอนนั้น มันเปลี่ยวมาก ผมคงทำแบบนั้นไม่ได้ มันไม่มีรถผ่านให้เธอไปต่อเลย
" พี่ เอาหนูลง หนูกลัวผี ส่งหนูขึ้นแท็กซี่พอ "
เธอยืนยันทั้งน้ำตา ผมเลยจอดรถ ลงไปยืนรอแท็กซี่กับเธอ
ผ่านไปนาน แท็กซี่เจ้ากรรมก็ยังไม่มา
" พี่ หนูได้กลิ่นน้ำหอมผู้หญิง "
เธอพูดแล้วก็ร้องไห้ขึ้นมาอีก
...ถึงตรงนี้ ผมค่อนข้างชัดเจนแล้ว ว่าเกิดอะไรขึ้น แม้จะเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่เด็กคนนี้เป็นเด็กจากโมเดลลิ่ง ไม่เคยมาที่ร้านก่อนหน้านี้เลย และไม่รู้เรื่องหลิน จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะอำผม
เธอร้องไห้หนักมาก และทำท่าว่าจะขอเดิน ผมต้องห้ามอยู่นานจึงจะสงบลง และเกลี้ยกล่อมเธอขึ้นรถได้อีกครั้ง
" หลิน สุยอมแล้ว เดี๋ยวไปส่งน้องมันจริงๆแล้ว อย่าแกล้งมันเลย "
ผมพูดขึ้นมา น้องคนนั้นมองหน้าผมแล้วก็ร้องไห้ ถามแต่ว่า แฟนพี่เหรอๆ อยู่หลายครั้ง
" หนูขอโทษ พี่หลิน หนูขอโทษ "
เธอพูดแบบนั้นอยู่หลายครั้ง จนถึงบ้านเธอเลยทีเดียว...
...และไม่มาทำงานที่ร้านอีกเลย...
ผมมารู้ตอนหลัง ว่าหลินนั้นแรงพอสมควร หลังจากเสียไป
เพื่อนร่วมวงเก่า ที่ไปเล่นที่หัวหิน ก็มีเจออะไรแปลกๆค่อนข้างบ่อย
มีข่าวว่าที่บ้านของหลินเองก็เจอบ่อย และแม่ของเธอก็ถูกล็อตเตอรี่ ที่ซื้อในงานทำบุญร้อยวันด้วย
เรื่องของหลิน มันแปลกตรงที่ตัวผมไม่เคยสัมผัสได้เลย ทั้งกลิ่น เสียง แต่คนรอบๆกลับรู้สึกได้
เรื่องแปลกๆสุดท้ายก่อนเธอหายไป คือวันเกิดผมเองในปีถัดมา
มันแปลกที่วันนั้น มีลูกค้าขอเพลง " ไม่กล้าบอกเธอ " เกือบทั้งคืน
มันแปลก เพราะวันนั้นเป็นวันที่ไมค์ผมเสีย เลยเอาไมค์ของเธอมาใช้พอดี
และด้วยบรรยากาศแบบชายล้วน มันจึงไม่น่าจะมีใครมีอารมณ์โรแมนติกขนาดนั้ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่แปลกดี
...ส่วน กลิ่น ที่เชื่อว่าเป็นหลิน อยู่กับผมนานทีเดียว...
จากนั้นก็เริ่มหายไปตามวันเวลา ผมก็ได้แต่หวังว่าเธอจะไปสู่ที่ที่ดี ตามความเชื่อของเธอและครอบครัวแล้ว
...ปกติผมจะเข้าวัดแค่ปีละสี่ครั้งเท่านั้น...
...หนึ่งคือวันเสียของยาย สองคือวันเสียของแม่ สามคือวันเกิดผมเอง....
...และ 24 กันยายน คือวันที่สี่....
...แน่นอนว่าปีนี้ก็เช่นกัน...
โฆษณา