24 ก.ค. 2021 เวลา 07:10 • นิยาย เรื่องสั้น
นิวยอร์ก ห อกหัก
32 ยัยนี่ ผู้นี้ นี่เอง
บ้านของดุ่ยอยู่ในย่าน Church เป็นการเดินทางที่แสนสะดวกสบายมากมายนัก นั่งรถไฟเพียงสายเดียวจากสถานี Grand Av. Newton สามารถลากยาวมาถึงสถานี Church Av. ได้ทันที
เวลาแต่ละวันเหมือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว เผลอแปร๊บเดียวตอนนี้ก็เข้าสู่ช่วงเวลาเย็นย่ำ และจากสถานีผมย่ำเท้าเดินต่ออีกไม่ไกลนักก็มาถึงบ้านของดุ่ย
“พี่อาร์ม” เสียงดุ่ยตะโกนเรียก ผมมองขึ้นไปเห็นดุ่ยยืนอยู่ที่ระเบียงชั้นสองของบ้าน ผมโบกมือทักทาย ดุ่ยรีบวิ่งลงมาเปิดประตูให้ผม แล้วโผเข้ามากอด ทำเอาผมตกใจ
“คิดถึงๆ”
“เฮ้ย ดุ่ย ใจเย็น”
อะไรกันเนี่ย เราเพิ่งเคยเจอกันแค่ครั้งเดียวเท่านั้น แล้วนี่ก็เพิ่งห่างกันแค่ไม่กี่วัน มันจะผูกพันอะไรกันนักหนา ผมจับดุ่ยแยกออกจากตัวของผม
“เฮ้ย นี่เอ็งนี่เยอะไปป่าวเนี่ย”
“ก็คนมันคิดถึงอะ” ดุ่ยมองผม พร้อมส่งสายตาหวานซึ้งมาให้ “แล้วพี่ซื้อเบียร์มารึเปล่า”
อ๋อ ที่แท้สาเหตุของความคิดถึงมัน มีที่มาจากสิ่งนี้นี่เอง
ก่อนจะมาที่นี่ดุ่ยฝากผมให้ซื้อเบียร์เข้ามาด้วย
“เออว่ะ ลืม”
“โห อะไรอะ เซ็งเลยอะ”
“เออ แต่เมื่อกี๊ตอนเดินมา เก็บไอ้นี่ได้” ผมชูแพ็คเบียร์ที่แวะซื้อมาระหว่างทางขึ้นมา และพอดุ่ยเห็นเท่านั้น
“โอ้ว คิดถึงๆ” มันก็เข้ามากอดผมอีกรอบ
“เฮ้ย ตกลงเอ็งคิดถึงพี่ หรือคิดถึงเบียร์กันแน่วะเนี่ย”
“คิดถึงพี่...ตอนที่พี่มีเบียร์” ว่าแล้วมันก็หัวเราะชอบใจ
...
ข้อดีของอากาศหนาว คือทำให้เบียร์ที่ดื่มคงความเย็นได้นานโดยแทบไม่ต้องแช่ตู้เย็น ดุ่ยพาผมออกมาจิบเบียร์ที่ริมระเบียงชั้นสอง นั่งมองเห็นพระอาทิตย์ที่กำลังค่อยๆ ลับขอบฟ้า มันเป็นแสงอาทิตย์สุดท้ายของปี เสียงเพลง Jingle Bells และบทเพลงปีใหม่อื่นๆ ดังสลับไปมาคลอเบาๆ ช่วยส่งเสริมบรรยากาศได้เป็นอย่างดี บ้านหลังอื่นที่ใกล้ๆ ก็เริ่มทำกิจกรรมฉลองกันบ้างแล้ว เห็นมีที่กำลังตระเตรียมของกันอยู่
“เออ แล้วป้าของเอ็งอยู่ไหน พี่ยังไม่ได้ไปไหว้เลย” ดุ่ยเคยบอกผมว่าจะมาพักอยู่กับป้าที่นิวยอร์ก ป้าของดุ่ยมาเปิดร้านอาหารไทยอยู่ที่นี่
“ป้าอยู่ที่ร้านฮะ กว่าจะกลับก็น่าจะดึก” ดุ่ยหันมาบอกผม
“วันสิ้นปียังทำงานอีกเหรอ”
“นั่นดิ แต่ป้าเค้าบอกว่ายิ่งไม่มีใครทำงาน เรายิ่งต้องทำ เพราะมันเป็นโอกาสตักตวง”
อืม...ป้าของดุ่ยพูดเหมือนกับที่วิวบอกกับผมเลย หรือว่ามันเป็นความจำเป็นจริงๆ วิวกำลังจะย้ายไปอยู่ที่ใหม่ ซึ่งค่าใช้จ่ายมากขึ้น เธอก็คงคิดว่าอะไรที่ทำได้ในตอนนี้ก็ควรต้องรีบทำเสีย หรือว่าการที่ผมมาที่นี่จะเกะกะ และกลายเป็นอุปสรรคในการทำงานของเธอ
“เฮ้ย หรือว่าร้านป้าผม มันจะใช่ร้านเดียวกับที่แฟนพี่ทำงาน” สมมติฐานของดุ่ยน่าสนใจ “ร้านที่แฟนพี่ทำงานอยู่แถวไหน”
“อืม...” ผมพยายามทบทวนความจำ... “อยู่ย่านบรู๊คลิน”
“โล่งอก” ดุ่ยถอนหายใจ
“โล่งอกอะไร” ผมสงสัย
“ตอนแรกก็กลัวว่าเป็นเพราะป้าผมทำให้พี่ไม่ได้ไปเที่ยวกับแฟนซะอีก แต่นี่ไม่ใช่ร้านเดียวกันแล้วแหละ ร้านป้าผมอยู่แถวนี้เอง ไม่ได้ไปถึงบรู๊คลิน”
“ร้านป้าเอ็งก็อยู่แถวนี้แล้วทำไมไม่ไปช่วยป้าทำงานล่ะ” ผมถามดุ่ย
“ผมทำอะไรไม่เป็นหรอกพี่ ไปก็เกะกะเขาเปล่าๆ” พูดจบดุ่ยก็ยกขวดเบียร์ขึ้นดื่ม
ความรู้สึกผมสะดุดเล็กน้อย คำว่า เกะกะ ของดุ่ยเหมือนเป็นการกระแทกผมกรายๆ ว่าแล้วผมก็กระดกขวดเบียรขึ้นดื่มบ้าง
...
เสียงเพลง Jingle Bells และบทเพลงฉลองปีใหม่อื่นๆ ยังคงดังสลับต่อเนื่องวนไปวนมาหลายรอบแล้ว เวลาล่วงเลยมาหลายชั่วโมง เบียร์ที่ซื้อก็หมดแล้ว ที่เดินออกไปซื้อเพิ่มมาอีก ก็ใกล้จะหมดเต็มที จนถึงบัดนี้ยังไม่เห็นมีวี่แววของแขกที่จะมาร่วมงานปาร์ตี้ปรากฏตัวเลยซักคน
“ดุ่ย เมื่อไหร่แขกจะมากันวะ”
“แขก...แขกอะไรพี่ ไม่มีแขกแล้ว มีแค่พี่กับผมนี่แหละ”
“อ้าว แล้วไหนบอกว่ามีปาร์ตี้”
“ก็นี่ไงเล่า ปาร์ตี้แค่พี่กับผมก็สนุกได้แล้ว ย๊าฮู้!!” ดุ่ยหันไปเร่งเสียงเพลงให้ดังขึ้น
“เดี๋ยวนะ แล้วทำไมเอ็งไม่ชวนเพื่อนๆ มาล่ะ”
“ผมจะไปชวนเพื่อนที่ไหนละพี่ ผมก็มาถึงที่นี่พร้อมพี่นี่แหละ”
ก็จริงของมันนะ เราก็เพิ่งมาถึงนิวยอร์กพร้อมกัน แล้วจะไปหาเพื่อนทันได้ไง และหากนับดูแล้วในนิวยอร์กตอนนี้ก็คงมีผมคนเดียวเท่านั้นที่เป็นเพื่อนกับดุ่ย
“เออ เอา ปาร์ตี้สองคนก็ได้วะ สนุกดี ย๊าฮู้!!” ผมเริ่มสนุกไปกับปาร์ตี้ที่ดุ่ยจัด “แล้วมีอะไรกินบ้าง ไหนเอากับแกล้มมากินหน่อย”
“ได้เลยพี่” ดุ่ยหายไปซักพักแล้วกลับมาพร้อมกับแกล้มเลิศรส “นี่เลยพี่”
กับแกล้มที่ดุ่ยติดมือมาด้วยมันคือมาม่ากรอบบดละเอียด ที่โรยเครื่องปรุงแบบจัดหนัก
“เฮ้ย นี่แม่งของโปรดพี่เลยว่ะ”
ว่าแล้วผมก็จ้วงมือลงไปหยิบมาม่ากรอบแล้วอัดใส่ปาก ตามด้วยเบียร์เย็นๆ ทั้งสองสิ่งนี้กลมกลืนอยู่ในช่องปากอย่างบันเทิงลิ้น
ผมคิดว่าจริงๆ แล้วความสุขของปาร์ตี้มันไม่ได้อยู่ที่จำนวนคนที่มากน้อย ไม่ได้ขึ้นกับคุณภาพหรือรสชาติอาหารในงานเลี้ยงที่ได้กิน แต่มันอยู่ที่อารมณ์ของเราล้วนๆ หากเราพร้อมจะสนุกกับมันก็ไม่มีอะไรที่จะมาหยุดเราได้ บางทีการที่ผมเลือกจะมาอยู่งานปาร์ตี้ของดุ่ย อาจจะเป็นการตัดสินใจที่ถูกแล้ว เพราะมันน่าจะดีกว่าการที่ผมได้ไปร่วมฉลองกับคนนับล้านที่ Times Square เป็นไหนๆ
...
“กี่โมงแล้วอะพี่”
“ห้าทุ่มแล้วว่ะ”
ดุ่ยรีบเดินเข้าไปหยิบคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คในห้องออกมา แล้วทรุดตัวลงนั่งข้างๆ ผมพร้อมกับเปิดเครื่องเชื่อมต่อสัญญาณ Skype
“เดี๋ยวจะมีแขกอีกคนมาร่วมงานปาร์ตี้ของเรานะพี่”
ไม่นานนักภาพบนจอก็ปรากฏ เป็นหญิงสาวหน้าตาน่ารักที่อยู่ในนั้น
“มาช้านะเนี่ย” หญิงสาวเป็นฝ่ายเปิดประโยคนำมาก่อน
“โทษที บังเอิญเค้าอยู่ในงานปาร์ตี้” ดุ่ยรีบแก้ตัวกลับไปทันที
ปาร์ตี้ มีกันแค่สองคนนี่นะปาร์ตี้ ปาร์ตี้บ้านมึงสิ!! ผมนึกขำในใจ
แต่ก็นึกขึ้นได้...เออ จริงด้วยสินะ นี่ก็ปาร์ตี้ที่บ้านมันจริงๆ นี่หว่า
เดาไม่ยากเลยว่าหญิงสาวในหน้าจอนี้ก็คือแฟนสาวของดุ่ยที่อยู่เมืองไทย เข้าใจอารมณ์ได้ครับ เพราะตอนที่วิวมาอยู่ที่นี่ใหม่ๆ ผมก็ต้องคุยกับเธอผ่านโปรแกรมนี้อยู่เป็นประจำเหมือนกัน บางครั้งผมก็ต้องรอเธอ บางทีเธอก็ต้องรอผม แต่ทุกครั้งเราก็เต็มใจรอ เพราะเราอยากเห็นหน้าและได้พูดคุยกับคนรัก
“พี่อาร์ม มานี่สิ” ดุ่ยลากผมเข้าไปหน้าจอ “ตัวเอง นี่พี่อาร์ม... พี่อาร์มครับ นี่จอยแฟนผม”
เราเอยประโยคทักทายกันสั้นๆ
“ตัวเอง ดูหน้าพี่อาร์มสิ ตัวเองคุ้นหน้าพี่เค้ามั้ย” อย่านะดุ่ย ขึ้นประโยคนี้มา ผมเดาได้เลยว่าประโยคต่อไปจะเป็นอะไร
“คุ้นมั้ย พี่เค้าเป็นดารานะ” นั่นไงกูว่าแล้ว
“เหรอ ไม่คุ้นอะ พี่เล่นเรื่องอะไรอะคะ” นี่แหละ
“ก็พี่เค้าเล่นเรื่องนี้ไง...” ดุ่ยพยายามช่วยรื้อฟื้นความจำให้แฟนตัวเอง
“เหรอ จำไม่ได้อะ พี่เล่นเป็นตัวอะไรอะ”
...
มันเป็นอย่างนี้มาตลอด คนที่เพิ่งรู้จักกับผม น้อยคนนักที่จะจำได้ว่าผมเคยแสดงละครมาก่อน เรียกได้ว่าสัดส่วนประมาณหนึ่งในหมื่นเลยทีเดียว ซึ่งไอ้พวกที่จำผมได้ส่วนใหญ่ก็เป็นพวกแปลกๆ ทั้งนั้น
“อะไรว้าตัวเอง เสียมารยาทจริงๆ เลย แค่นี้ก็จำไม่ได้ เค้ายังจำได้เลย”
ดุ่ยพยายามอธิบายทุกวิถีทางให้แฟนของมันจำผมให้ได้... จะว่าไปแล้ว ดุ่ยนี่ก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งคนแปลกที่เข้ามาในชีวิตของผม
“ไม่เป็นไรหรอกดุ่ย พอเหอะ” ผมพยายามทำให้ดุ่ยเลิกพยายามซักที เพราะยิ่งดุ่ยพยายามผมก็ยิ่งรู้สึกแย่
“จำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร พี่ไม่ถือ แต่คราวหน้าถ้าจำไม่ได้อีกนี่ พี่จะถือแล้วนะ” ผมแซวกลับไปบ้าง แฟนดุ่ยหัวเราะแก้เขิน
น้องจอยเข้ามาเติมสีสันให้งานปาร์ตี้สนุกสนานขึ้นทันที เรื่องราวของดุ่ยถูกเธอนำมาตีแผ่ ขยายความ เรียกว่าเผากันซึ่งๆ หน้า ดุ่ยก็ไม่ยอมแพ้เอาเรื่องเปิ่นๆ ของน้องจอยมาปล่อยบ้าง ทั้งหมดนั้นนำพาเสียงหัวเราะมาให้ผมหลายครั้ง ทั้งคู่ถือเป็นคู่รักที่น่าเอ็นดูไม่น้อยเลยทีเดียว...
“พี่คะ ฝากดูแลไอ้ดุ่ยมันด้วยนะคะ อย่าให้มันไปมีคนอื่น ถ้ามันนอกใจรีบบอกหนูเลยนะพี่”
“ตัวเองอะ เค้าจะนอกใจไปไหนได้” ดุ่ยอ้อนกลับ
“นั่นแหละ อย่าให้รู้นะว่าไปมียัยนั่น ยัยโน้นที่ไหนนะ ไม่งั้นแกเจอดีแน่” ตามสูตรครับ ทำเป็นงอนให้ง้อต่อ
“ตัวเองก็... เค้าจะไปยัยนั่น ยัยโน้นที่ไหนได้เล่า...แค่มียัยนี่คนเดียวก็แย่แล้ว” ลีลาดุ่ยถือว่าใช้ได้ทีเดียว
“นี่ แกเรียกชั้นว่ายัยนี่เหรออยากตายใช่มั้ย”
“เปล่าๆ ไม่ใช่ๆ”
“ไม่ใช่ แล้ว ‘ยัยนี่’ที่เรียกเมื่อกี๊ หมายถึงใคร นี่มีคนอื่นแล้วใช่มั้ย” น้องจอยตะคอกใส่ ดุ่ยหันมามองผม แล้วยิ้มเจื่อนๆ
“ตัวเอง เค้าไม่ได้มีคนอื่นหรอก ยัยนี่ที่ว่าก็ตัวเองน่ะแหละ” น้องจอยหน้าบึ้ง เหมือนเตรียมจะพ่นไฟใส่ดุ่ยอีกระลอก “แต่เค้าก็รักยัยนี่นะ จุ๊บๆ”
สีหน้าของน้องจอยพลิกจากหลังตีนเป็นหน้ามือทันตาเห็น ดุ่ยใส่ลีลาภาษารักชั้นครู ทำเอาน้องจอยถึงกับหน้าแดง
“ไอ้บ้า พูดอะไรอายพี่เค้าบ้างสิโว้ย” น้องจอยโวยวายแบบอายๆ
“อายทำไม คนกันเอง”
เอ่อ...เดี๋ยวนะดุ่ยใครกันเองกับมึง อีกอย่างมึงไม่อาย แต่กูอายแทนนะ...
“เค้าคิดถึงตัวเองจังเลย แล้วตัวเองคิดถึงเค้าบ้างมั้ยอะ” ดุ่ยอ้อนน้องจอยอย่างต่อเนื่อง ผมอาศัยจังหวะนี้หลบฉากออกมา ปล่อยให้ทั้งคู่ได้คุยกันดีกว่า
“ไอ้บ้า อายเค้าโว้ย” แต่ก็ได้ยินเสียงของน้องจอยที่ดังตามออกมา
“อายอะไรๆ บอกเค้าก่อนดิว่าตัวเองคิดถึงเค้ามั้ย คิดถึงเค้ามั้ย”
“ไอ้บ้าเอ้ย...คิดถึงสิวะ” ตะจอยตะโกนตอบกลับมา
ความรู้สึกดีๆ จากคนที่เรารัก มันเป็นสิ่งที่มีค่าเสมอ ผมหันกลับไปมอง เห็นภาพดุ่ยกำลังส่งยิ้มให้กับหน้าจอคอมพิวเตอร์อยู่ และถึงแม้ผมจะไม่เห็นภาพในจอ แต่ก็เดาได้ว่าน้องจอยกำลังยิ้มกลับมาเช่นกัน
คิดว่าสำหรับคืนนี้ ปาร์ตี้คงจบลงเพียงแค่นี้แล้วล่ะ สมควรแก่เวลาที่แขกอย่างผมจะต้องกลับเสียที ต่อจากนี้ปล่อยให้แขกคนสำคัญกับเจ้าภาพของงานเค้าได้ใช้เวลาร่วมกันดีกว่า
เสียงพลุหลายลูกทะยอยรัวยิงขึ้นฟ้า อันเป็นสัญญาณแห่งช่วงเวลาของการเฉลิมฉลอง ผู้คนในระแวกนั้นต่างโห่ร้องด้วยความยินดี
เวลาที่นี่ตอนนี้เที่ยงคืนพอดี ก้าวข้ามสู่ปีใหม่แล้วสินะ คงถึงเวลาที่ผมจะต้องกลับไปหายัยนี่ของผมซักที
...
(โปรดติดตามตอนต่อไป)

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา