25 ก.ค. 2021 เวลา 19:25 • ประวัติศาสตร์
พระประวัติของพระนางมารี อ็องตัวเน็ตต์ตอนที่ ๒ พระจริยวัตรในราชสำนักฝรั่งเศสเเละจุดจบของพระองค์
หลายๆ คนรู้จักการปฏิวัติฝรั่งเศส (French Revolution) ดี เเละบุคคลที่สำคัญมากในช่วงการปฏิวัติฝรั่งเศสอย่างเลี่ยงไม่ได้เลยคือ "มารี อ็องตัวเน็ตต์" (Marie Antoinette) พระองค์ทรงเป็นพระอัครมเหสี (Queen Consort) ในพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๖ เเห่งฝรั่งเศสและนาวาร์ (Louis XVI,King of France and Navare)
จากความเดิมตอนที่เเล้วที่บอกไปว่าพระองค์ทรงเป็นใครมาจากไหน คือพระองค์ทรงเป็นอาร์คดัชเชสส์เเห่งออสเตรียซึ่งปกครองจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์หรือเยอรมนีในขณะนั้น ได้ถูกส่งตัวมาอภิเษกกับโดเเฟง (Dauphin) หรือองค์รัชทายาทเเห่งฝรั่งเศส ซึ่งต่อมาคือพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๖ เเละในเวลาต่อมาเมื่อพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๕ เสด็จสวรรคตองค์รัชทายาทจึงเสวยราชย์ขึ้นเป็นพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๖ เเละสืบสันตติวงศ์ต่อมา ส่วนพระนางมารีก็ขึ้นเป็นพระอัครมเหสีหรือคอนสอร์ทเเห่งฝรั่งเศสตามไปด้วย เเละพระองค์ก็เริ่มที่จะขยายอำนาจของพระองค์เอง ซึ่งจะกล่าวในตอนที่ ๒ หรือตอนนี้
เนื้อหาตอนที่ ๑ สามารถอ่านได้ตามลิงค์นี้ : https://web.facebook.com/story.php?story_fbid=193674986061227&id=104579538304106&sfnsn=mo
: คำบางคำที่ใส่ภาษาอังกฤษจากตอนที่เเล้ว ทางเพจขออนุญาตไม่นำมาเพิ่มใส่อีก
เมื่อพระนางทรงมีอิทธิพลในราชสำนักฝรั่งเศสอย่างมาก ประกอบกับข้าซึ่งเป็นชาวฝรั่งเศสมองว่าพระองค์นั้นทรงเป็นชาวต่างชาติต่างภาษา อีกทั้งฝรั่งเศสเเละจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ (เยอรมนีในขณะนั้น) ซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของออสเตรีย มีความบาดหมางกันมาตั้งเเต่ศตวรรษที่ ๑๕ เป็นระยะเวลาเกือบ ๓๐๐ ปี ที่ฝรั่งเศสและออสเตรียมีความระหองระแหงซึ่งกันและกันกับทั้งมีความเป็นมิตรมากกว่าเป็นศัตรู เเน่นอนว่าในปี ๑๗๗๐ ออสเตรียเเละฝรั่งเศสพึ่งเริ่มสานสัมพันธ์อย่างเป็นทางการ มีข้าราชสำนักเก่าอยู่มากที่ได้ทันเห็นฝรั่งเศสและออสเตรียเคยทะเลาะกันอย่างรุนเเรงในสมรภูมิใหญ่ๆ ถึงขนาดที่ทำให้อำนาจของราชอาณาจักรฝรั่งเศสสั่นคลอนเลยทีเดียว เเละข้าราชสำนักเก่าบางส่วนนี้ก็รับไม่ได้กับการที่เอาเจ้านายออสเตรียมาประทับในฝรั่งเศส ทางฝั่งพระนางมารีเองก็พยายามสานสัมพันธ์กับขุนนางผู้ใหญ่เเละบรรดาคุณหญิงซึ่งรับใช้พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๕ มา เพราะรัชสมัยของพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๕ พึ่งสิ้นได้ไม่นาน มีข้าราชสำนักเก่าหลงเหลืออยู่มาก เเละด้วยวิธีนี้จากเเต่เดิมที่พระนางไม่มีอิทธิพลอะไรเลยต่อราชสำนักฝรั่งเศส ดันกลายเป็นว่าทรงเป็นผู้ที่มีอิทธิพลขึ้นมาทันที เเน่นอนว่ามีบางส่วนมองว่าพระองค์ทรงเป็นศัตรูเพราะทรงเป็นชาวออสเตรีย เเละการที่ทรงทำเเบบนี้เพราะต้องการนำอำนาจของออสเตรียหรือจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์มาข่มอำนาจของฝรั่งเศสไว้ เเต่ทางผู้เขียนเองคิดว่าเเนวคิดเเบบนี้ดูเหมือนระเเวงพระนางมารีเเละราชสำนักเวียนนาเกินไป
เมื่อเป็นพระราชินีเเล้วสิ่งสำคัญคือการมีพระราชโอรสสืบราชสันตติวงศ์เป็นพระเจ้าเเผ่นดินฝรั่งเศสพระองค์ต่อไป เเต่ปัญหานี้หมดไปในปี ๑๗๘๑ เเต่สิ้นพระชนม์ไปขณะที่ยังทรงพระเยาว์ทั้งหมด ยกเว้นพระนางมารี เทเรซี (Marie Teresi)
นอกจากนี้พระนางเองยังใช้อิทธิพลทางด้านการทูตหลายๆ ด้าน นับตั้งเเต่สงครามเจ็ดปี (Seven Year's War) ซึ่งในด้านอาณานิคมนั้นตัวตีตัวหลักเลยคือฝรั่งเศส - นาวาร์เเละราชอาณาจักรบริเตนใหญ่ซึ่งต่อมาพัฒนาการเป็นสหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่เเละไอร์แลนด์เหนือ (United Kingdom of Great Britain and Northern Ireland) หรือที่เราเรียกกันอย่างคุ้นปากว่าอังกฤษ สงครามครั้งนี้จบลงด้วยความพ่ายแพ้ของราชอาณาจักรฝรั่งเศส ซึ่งส่งผลให้อาณานิคมต่างๆ ที่เคยอยู่ภายใต้การปกครองของฝรั่งเศสสูญเสียไปเกือบหมด ทั้งในอินเดีย (ซึ่งต่อมาได้คืนหลังจากสงครามจบไปสักพัก) เเละทวีปอเมริกาเหนือโดยเฉพาะอาณานิคมหลุยส์เซียน่าเเละเเคนาดา ยกเว้นเกาะเเซงปีเเยต์เเละมีเกอลง ซึ่งเเน่นอนว่าดินแดนส่วนใหญ่ที่เคยอยู่ภายใต้การปกครองของฝรั่งเศสตกไปเป็นของอังกฤษเเทน ฝรั่งเศสอับอายขายหน้าเเละเคียดเเค้นอังกฤษเป็นอย่างมาก นอกจากนี้พยายามเล่นงานอังกฤษทุกครั้งเท่าที่เป็นไปได้เเม้ตนเองจะไม่ได้ผลประโยชน์อะไรเลย ส่วนอังกฤษหรือบริเตนใหญ่ก็ไม่ได้ชัยชนะเเบบเด็ดขาด ชัยชนะของอังกฤษนั้นคิดเป็นเงิน ๖๐ ล้านปอนด์ เงินจำนวนเท่านี้เมื่อเกือบ ๓๐๐ ปีก่อนถือเป็นเงินจำนวนเยอะมาก เเละทำเอาอังกฤษเองล้มละลาย ต้องมีการขูดรีดภาษีจากอาณานิคมและมีกลุ่มลับๆ ที่พยายามต่อต้านอำนาจรัฐ ซึ่งในช่วงเเรกๆ อาณานิคมของอังกฤษ (ต่อมาคือสหรัฐอเมริกา) นั้น ต่างฝ่ายเหมือนต้องการทำให้อังกฤษโกรธ อังกฤษก็พยายามปราบปรามเเละออกพระราชบัญญัติที่เข้มงวดกว่าเดิมหรือไม่ก็ถอนพระราชบัญญัติที่เข้มงวดลง ต่างฝ่ายต่างกระทำเเบบนี้จนกระทั่งกลายเป็นการต่อสู้กัน เเละเป็นสงครามปฏิวัติประกาศอิสรภาพในปี ๑๗๗๖ ทางฝรั่งเศสซึ่งเคียดเเค้นอังกฤษมานานพยายามที่จะทำลายอำนาจของอังกฤษลงให้ได้ เลยสนับสนุนอเมริกาให้ปฏิวัติเเยกออกจากอำนาจของอังกฤษ เเละพระนางมารี อ็องตัวเน็ตต์ก็ทรงเป็นส่วนหนึ่งที่คอยยับยั้งไม่ให้จักรวรรดิโรมันอันศักดิสิทธิ์ (เยอรมนีในขณะนั้น หรือก็คือเยอรมนีภายใต้อำนาจของออสเตรีย) ปรัสเซีย (เยอรมนีในเวลาต่อมา) เเละรัสเซียซึ่งเป็นมิตรกับอังกฤษ ยับยั้งเอาไว้ไม่ให้ช่วยอังกฤษในการปราบปรามกบฏที่เกิดขึ้นในทวีปอเมริกา เเละให้สเปนเเละดัตช์ช่วยอเมริกาในสงครามปฏิวัติ ซึ่งเเน่นอนว่าในเวลาต่อมาอเมริกาทำการปฏิวัติเเยกตนเองออกจากการปกครองของอังกฤษได้สำเร็จ เเต่ฝรั่งเศสไม่ได้ผลประโยชน์อะไรเลยจากการปฏิวัติประกาศอิสรภาพครั้งนี้ กลับกันปัญหาท้องพระคลังกลับร่อยหรอลงไปอีก ฝรั่งเศสได้เเต่เพียงเเก้เเค้นอังกฤษเท่านั้น และสิ่งเหล่านี้ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดการปฏิวัติล้มล้างการปกครองในฝรั่งเศสทั้งยังสร้างปัญหาในฝรั่งเศสอีกเป็นจำนวนมาก
นอกจากสงครามปฏิวัติอเมริกาเเล้วยังมีอีกสงครามหนึ่งคือสงครามสืบราชบัลลังก์บาวาเรีย (Bavaria) หรือบาร์เยิร์น (Bayern) ซึ่งเป็นเเคว้นใหญ่ในจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ราชวงศ์ฮัพส์บวร์คออสเตรียภายใต้การนำของอาร์ชดุ๊คโยเซ็ฟที่ ๒ (Joseph II,หรืออีกตำเเหน่งหนึ่งพระองค์ทรงมีพระราชอิสริยยศเป็นจักรพรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์) อ้างสิทธิ์ในราชสมบัติบาวาเรียกับปรัสเซีย การที่ออสเตรียนั้นทำสงครามกับบาวาเรียเป็นนโยบายหนึ่งของโยเซ็ฟที่ ๒ ในการครอบครองรัฐเยอรมันให้มาก เพื่อสร้างอิทธิพลของออสเตรียให้มีอำนาจมากในยุโรปกลาง (ความจริงในเวลานั้นตั้งเเต่ดินแดนเบลเยียมจรดโรมาเนียนในปัจจุบันล้วนเเล้วเเต่อยู่ภายใต้อำนาจของออสเตรียทั้งสิ้นรวมทั้งดินแดนเยอรมันด้วย เเต่รัฐเยอรมันต่างๆ เพียงแต่ภักดีต่อราชวงศ์ฮัพส์บวร์คออสเตรีย ไม่ได้เป็นดินแดนที่อยู่ภายใต้การปกครองของออสเตรีย เเละนโยบายของโยเซ็ฟที่ ๒ คือ พยายามผนวกรัฐที่พูดภาษาเยอรมันให้มาก เพื่อเป็นการสร้างอิทธิพลให้จักรวรรดิฮัพส์บวร์คออสเตรียต่อไป) ส่วนปรัสเซียเองก็ไม่พอใจกับการกระทำของออสเตรีย ในสงครามครั้งนี้เเน่นอนว่าต้องมีชาติต่างๆ ดึงฝรั่งเศส เเต่ด้วยเหตุผลที่ฝรั่งเศสนั้นเป็นมิตรกับออสเตรียหรือจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ จึงได้หลีกออกจากสงครามครั้งนี้เเละต้องการให้ออสเตรียกับปรัสเซียทะเลาะกันเองจะได้เสื่อมอำนาจทั้งคู่ เเต่ดันกลายเป็นว่าพระนางมารีอ็องตัวเน็ตดันเเทรกเเซงสงครามนี้ โดยการไปสนับสนุนออสเตรีย (เเน่นอนที่พระองค์สนับสนุนออสเตรียเพราะพระองค์เองก็ทรงเป็นชาวออสเตรีย) เเละผลจบของสงครามนี้คืออาร์คดัชชีออสเตรีย (Archduchy of Austria) ได้ดินแดนบางส่วนของบาวาเรียไป เช่นเคยว่าการที่พระองค์เเทรกเเซงครั้งนี้ราชสำนักฝรั่งเศสไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย ผู้ที่ได้ผลประโยชน์มีเพียงราชสำนักเวียนนาเท่านั้น เเน่นอนว่าราษฎรพากันก่นด่ากันมาก กับทั้งยังเหยียดความเป็นหญิงออสเตรียของพระองค์อีกด้วย
: สงครามสืบราชสันตติวงศ์บาวาเรียถูกมองว่าเป็นสงครามระหว่างกษัตริย์ครั้งสุดท้าย คือรบเพื่อกษัตริย์เองโดยที่ประชาชนไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย ซึ่งในเวลาต่อมาในช่วงปฏิวัติฝรั่งเศสหรือสงครามนโปเลียน สงครามช่วงหลังๆ นี้เป็นการรบเพื่อชาติเป็นหลัก ไม่ได้รบเพื่อกษัตริย์หรือรบเพราะผลประโยชน์ของกษัตริย์เพียงอย่างเดียว
นับตั้งแต่เหตุการณ์เหล่านี้เป็นต้นมาพระนางมารีเสื่อมความนิยมจากประชาชนเป็นอย่างมาก การกระทำหลายๆ อย่างสร้างความไม่พอใจให้กับประชาชน เพราะเห็นเเก่ชาติอื่นมากกว่าตนเอง เเต่ในยามที่เศรษฐกิจดิ่งลงเหวกลับมีคนเเอบอ้างชื่อพระนางหลอกขายเพชรให้กับข้าราชสำนักในราคาเเพงยับ นอกจากนี้ผู้ไม่หวังดียังนำสตรีที่มีพระรูปคล้ายพระนางมารีมาพัวพันกับขุนนางหลายต่อหลายคน อันเเสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ทางชู้สาว เเละต่อมาได้มีการกวาดล้างผู้ที่เเอบอ้างชื่อพระองค์ สิ่งดังกล่าวสร้างความไม่พอใจให้กับบรรดาประชาชนอย่างมากเเม้ต่อมาจะได้รับการพิสูจน์เเล้วว่าพระนางไม่ผิดก็ตาม
ความนิยมของพระนางเลวร้ายมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อมีข่าวลือว่าเคานต์แห่งพรอว็องส์ (Count of Provence) หรือพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๘ (Louis XVIII) ในอนาคต ทรงขอพิสูจน์สายพระโลหิตของพระนางมารีเเละพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๖ ยิ่งทำให้ลือหนักขึ้นไปอีกว่าพระนางมารีทรงคบกับชายอื่น นอกจากนี้เมื่อมีการประชุมปรึกษาของกษัตริย์ขึ้น พระนางได้รับการโจมตีอย่างหนักถึงพระจริยวัตรอันฟุ่มเฟือยและไม่สร้างประโยชน์ใดๆ ทั้งสิ้น เเละประกอบกับเหตุการณ์ต่างๆ ที่ทำให้ราชสำนักไม่สามารถใช้พระราชทรัพย์ได้อย่างฟุ่มเฟือยอีกทำให้พระนางมารีทรงมีเเนวคิดต่อต้านการปฏิวัติ นอกจากนี้ในช่วงที่ประชาชนขาดเเคลนอาหารเเละขนมปัง พระองค์กลับรับเลี้ยงทหารที่กลับมาจากเเคว้นแฟลนเดอร์ส (Flanders) มีการโห่ร้องถวายพระพรพระนางมารี อ็องตัวเน็ตต์ มีการประดับตกเเต่งในงานอย่างหรูหราเเละมีเเขกชั้นสูงอยู่ร่วมหลายต่อหลายคน เเน่นอนว่าชาวปารีสพากันวิพากษ์วิจารณ์การกระทำครั้งนี้อย่างหนัก ว่าในขณะที่ราษฎรขาดเเคลนขนมปังราชสำนักกลับจัดงานเลี้ยงอย่างมีความสุข จนทำให้เกิดขบวนประท้วงของเหล่าสตรีขึ้น บรรดาประชาชนได้บุกไปยังพระราชวังเเวร์ซายส์ (Palace of Versailles) เเละเชิญพระราชวงศ์มาประทับที่นครปารีสอันเป็นเมืองใหญ่ในฝรั่งเศสในขณะนั้น (เมืองหลวงของฝรั่งเศสในตอนนั้นคือกรุงเเวร์ซายส์) เมื่อฝรั่งเศสเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข พระนางมารี อ็องตัวเน็ตต์ทรงร้องขอจากมหาอำนาจชาติต่างๆ เพื่อฟื้นฟูพระราชอำนาจกลับมาดังเดิม เเต่กษัตริย์สเปนก็ทรงตอบพระราชสาส์นกลับมาอย่างคลุมเครือ เเละโยเซ็ฟที่ ๒ จักรพรรดิออสเตรียก็ดันมาสวรรคตในเวลาไม่นาน เเต่ในเวลาต่อมาจักรพรรดิเลโอพ็อลด์ที่ ๒ (Leopold II) ขึ้นเป็นจักรพรรดิออสเตรีย ซึ่งทาฝเป็นพระเชษฐาในพระนางมารีพระองค์หนึ่งปฏิเสธที่จะช่วยพระนาง เเละเเน่นอนว่ามีผู้จับได้เกี่ยวกับการกระทำครั้งนี้ จนประชาชนพากันวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่าพระนางเป็นคนขายชาติให้กับพวกออสเตรีย เเละต่อมาพระนางมารีกับพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๖ ทรงพยายามหนีไปเเต่ถูกจับได้ที่เมืองวาเรนน์ เพราะมีผู้จดจำพระองค์ได้ ซึ่งต่อมาพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๖ ทรงถูกไต่สวน เเต่คำตอบของพระองค์นั้นคลุมเครืออย่างมาก เมื่อมีการนำมาตีพิมพ์ทั่วกรุงปารีสบรรดาประชาชนพากันวิพากษ์วิจารณ์พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๖ อย่างหนักเเละเรียกร้องให้ถอดพระอิสริยยศพระมหากษัตริย์เเห่งฝรั่งเศสและนาวาร์ออก เเถมยังมีข่าวเกี่ยวกับสงครามของพระราชวงศ์ในประเทศเพื่อนบ้านอย่างหนัก ราชวงศ์ของรัฐต่างๆ ในยุโรปพากันหวาดกลัวว่าหากฝรั่งเศสล้มล้างระบอบกษัตริย์ เดี๋ยวราษฎรของตนจะปฏิวัติเเบบฝรั่งเศส หลายๆ ราชวงศ์พยายามต่อต้านการปฏิวัติอย่างหนัก เเละฝรั่งเศสกลัวอำนาจของราชวงศ์ออสเตรียมาก เหตุการณ์ระหว่างพระนางเเละบรรดาประชาชนรุนเเรงขึ้นเรื่อยๆ เเละเมื่อพระองค์ทรงถูกพิจารณาพระองค์ก็ทรงโดนใส่ร้ายต่างๆ นานา เป็นต้นว่าทรงสอนพระโอรสให้ช่วยตัวเองหรือสอนให้เล่มเกมสวาท บรรดาประชาชนเกือบรุมประชาทัณฑ์พระนาง เเละในสำนวนฟ้องยังกล่าวว่าพระองค์ไม่ต่างอะไรจากทรราช "จากการพิจารณาเอกสารทั้งหมดที่ยื่นโดยพนักงานอัยการ เป็นที่ชัดเจนว่า ในบรรดาราชินีทั้งหลาย เป็นต้นว่า เมสซาลีน, บรูเนอโอ, เฟรเดก็องด์ และเมดีซี ที่เมื่อก่อนเรายอมรับว่าเป็นราชินีของฝรั่งเศส ผู้ซึ่งมีชื่อเสื่อมเสียไม่อาจลบล้างได้จากประวัติศาสตร์ นับได้ว่ามารี อ็องตัวแน็ต หญิงหม้ายของหลุยส์ กาเป เป็นผู้มีความละโมบเป็นที่สุด และเป็นหายนะอันใหญ่หลวงของชาวฝรั่งเศส"
มารี อ็องตัวเน็ตต์ซึ่งถูกถอดพระอิสริยยศไปทั้งหมดเเล้ว ทรงได้รับคำพิพากษาให้สำเร็จโทษโดยการบั่นพระเศียรในข้อหาทรราชย์ขั้นร้ายแรง เมื่อวันที่ ๑๖ ตุลาคม คริสตศักราช ๑๗๙๓ พระดำรัสครั้งสุดท้ายก่อนที่จะโดนสำเร็จโทษทรงตรัสว่า "อภัยให้เราด้วย เมอซีเยอ เราไม่ได้ตั้งใจ" (เมอซีเยอคือเพชฌฆาตที่ประหารพระองค์) เพราะทรงเผลอไปเหยียบเท้าของเมอซีเยอ
รายการอ้างอิง
The French Revolution ปฏิวัติฝรั่งเศส. -- กรุงเทพฯ : ยิปซี กรุ๊ป, 2562.
Diplomatic Revolution | European history ,https://www.britannica.com/topic/Diplomatic-Revolution
อวสานกุหลาบแวร์ซาย มองมีดกิโยคินตัดพระศอพระนางเอง! - https://www.komchadluek.net/news/today-in-history/34815
โฆษณา