29 ก.ค. 2021 เวลา 16:56 • ปรัชญา
การสวดมนต์ด้วยจิต ..เส้นของแสงสัมผัสเกิดขึ้น แปรสภาพมาเป็นคำพูดต่างๆ
เรื่อง..ไสยศาสตร์ ตะกรุดผ้ายันต์ คาถาอาคม มาจากไหน ใครส่งให้ ทำให้เกิดอะไรขึ้นแก่จิตบ้าง พาให้จิตจมอยู่กับทุกข์ทรมาน เมื่อจิตออกจากร่าง มันพาไปไหน
เตรียมกายให้ตรงๆ แล้วบอกตัวเอง จะไม่ขยับเขยื้อน แล้วดึงลมหายใจลึกๆ บอกกาย นิ่งให้ยาวๆ (เสียงคำว่านิ่งยาวๆ ) แล้วผ่อนลมหายใจ ขึ้นมาที่หน้าอก บอกว่า จิตเฉยจิตไม่คิดอะไร จะต่อเนื่องเรื่องราว เมื่อกี๊ให้ฟัง วันนี้สวดมนต์ คงจะเหนื่อย ตามเสียงไม่ทัน แล้วเสียงที่ ฟังเท่าไหร่ มันเหมือนคำคุ้นหู ก็ไม่เป็นไร ฟังกันไป การที่ให้ทำจิตนิ่ง สวดมนต์ขึ้นมา เพื่อต้องการอะไร ต้องการให้จิตรู้จัก การกระทำ แม้คำพูดก็ดี แม้แต่การมอง การฟัง แล้วก็ลมหายใจเข้าออก แล้วที่สัมผัสรสเปรี้ยว หวาน มันเค็มต่างๆ แล้วมาตรงนี้ก่อน เอาให้กายนิ่ง ดูซิว่าจิต เวลาเราพูดออกไป ใครเป็นคนพูด พูดแล้วเป็นอย่างไร ทำไมต้องพูดแล้ว เรานึกอย่างงั้น ทำไมมีเสียงต่างๆออกไปเช่นนั้น มันมาจากตรงไหน
.. บอกให้เสียเลย มาจากข้างจิตของเรา คือ แม่ทั้งสี่ ดินน้ำลมไฟ ส่องแสงลงไปที่จิต เพราะคำพูดต่างๆ ที่เกิดขึ้น ที่ความนึกคิดนั้น มาจากอารมณ์ อารมณ์ส่งไปให้จิต จิตก็ไป..เค้าเรียกว่า แสงต่อแสง ไปสู่แม่ทั้งสี่ แม่ทั้งสี่ก็เปล่งวาจาปล่อยอณู อันนั้นขึ้นมา ไปสัมผัสกับเส้น เค้าเรียก ว่าเส้นของแสงไปสัมผัสเกิดขึ้น ก็เลยแปรมาเป็นคำพูดต่างๆ
คราวนี้ ..อย่าไปสนใจ เอาไว้ทีหลัง เอาตรงนี้ให้ได้ พอกายนิ่งจนจริงๆ ฝึกให้กายนิ่งอย่างเดียว กายเป็นฤาษีให้ได้ แล้วจิตเราจะขยับเขยื้อนเอง ให้สวดมนต์ โดยใช้จิตของเราเป็นคนพูดออกไป ทางปาก ให้กำหนดขึ้นมาอย่างนี้ ดูไปเรื่อยๆ ต่อไปจะขยับ..
..ที่อธิบาย เมื่อกี๊ให้ฟังว่า แม่ทั้งสี่ส่งเป็นอณู หรือ เส้นสายของแสง เข้าไปที่จิต เลยแปรสภาพมาเป็นคำพูดต่างๆ ที่เกิดขึ้น คำพูดนั้น เกิดขึ้นมาจากอารมณ์ อารมณ์ส่งไปให้จิต จิตก็ไปสัมผัสกับแม่ทั้งสี่ แม่ทั้งสี่ก็ส่งความจำนั้น มาเป็นเหตุเป็นผลให้ สื่อให้ผู้ฟัง แล้วเราพูดเอง เราก็รู้จักว่าเราพูดอะไร เช่น พูดว่า คุณบิดามารดา เราก็ได้ยิน เราก็รู้จัก พอพูด พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ก็รู้ มันมาอย่างไร พูดอย่างไร ถึงเป็นเช่นนั้น เราก็รู้ ถ้าชื่อนี้ ที่เราเอ่ยขึ้น แสงมันเป็นอย่างไร แสงที่ออกมาจากแม่ทั้งสี่ เป็นสีอะไร มันต่อเนื่องเรื่องราวของเค้าเป็นอย่างงั้น
อย่าเพิ่งไปสัมผัส เล่าให้ฟังเท่านั้น ต่อไปก็ต้องศึกษา เรื่องเหล่านี้ให้เกิดขึ้น เดี๋ยวก็สนุกกันใหญ่ ถ้าติดต่อได้ ถ้าทำได้ วันคืน ก็มีแต่อยากจะทิ้งกรรมๆ ไม่เอาแล้วทรัพย์สินเงินทอง ญาติพี่น้องไม่เอาแล้ว เพราะว่าเค้าไม่ได้ช่วยเรา ทรัพย์สินเงินทองไม่ได้ช่วยเรา ยศฐานบรรดาศักดิ์ก็ไม่ได้ช่วยเรา จิตของเราเท่านั้น ที่จะแก้ไข
เพราะเดี๋ยว..ไอ้ของสิ่งเหล่านี้ มันอุปโลกน์ขึ้นมา เป็นมายาเท่านั้น เอาไปก็ไม่ได้ เพราะเป็นของมายาที่เค้าสมมุติขึ้นมา ให้อารมณ์พาจิตไปหลงใหล ให้มีความโกรธมีความยึดความหลงอยู่ในนั้น แล้วสร้างความยิ่งใหญ่ คือ ทิฐิให้ตัวเอง เพื่อให้จิตไปติดมายา แล้วมายานั้น ก็พาจิตนั้นลงอเวจีไป หลงกลเค้า เค้าหลอกให้ เหมือนกับเกจิอาจารย์ ทั้งหลายหลง หลงทรัพย์สินเงินทองปรนเปรอด้วยลาภยศสรรเสริญ เอาใหญ่เลย ได้เงินได้ทอง คนนิยมชมชอบเกิดขึ้น
เค้ารู้องค์นี้ เกจิองค์นี้ จะไปหาธรรมได้ เค้าส่งมา พญามารก็ส่งมาเลย ส่งให้เห็นนะ นี่นะคาถาอาคมนะ มันศักดิ์สิทธิ์นะ ท่องแล้วจะมีโชคมีลาภ จะเป็นเครื่องรางของขลังอย่างดี เอาไปเลย เอาอย่างนี้เอาไปเลย ท่องเข้า พญามารก็ส่งทรัพย์สิน ยกย่องสรรเสริญเข้าไปอีก มายาทั้งหลาย ก็กดจิตของเกจิอาจารย์องค์นั้น จมลงไปสู่ใต้พื้นดิน ทรมานต่อไป หลงใหลในมายา เห็นมั้ยไอ้ตัวโลภมันเป็นอย่างไร มันพาจิตไปไหน ไปหาพระเทวทัต ไปหานรกอเวจี ไม่ใช่นรกธรรมดา ไม่เป็นโกฎเป็นกัปป์ กับใคร ไม่เอาฉันไม่ชอบเป็นโกฎเป็นกัปป์ ฉันไม่เอา ฉันไม่ชอบ เป็นนรกอเวจีไป ไอ้แค่หมื่นปี แสนปีไม่เอา มันเล็กไป ไปโน่นดีกว่า เอาเป็นล้านๆปี ไปทุกข์ทรมานเกิดขึ้น กับมายา ที่เค้าหลอกหลงอยู่ตรงนั้น
เราจะเอา ก็ไม่มีใครว่า เพียงนี่บอกให้ฟัง ว่าเครื่องรางของขลัง ตะกรุด ผ้ายันต์ เกจิอาจารย์ให้มา คาถาอาคมให้มา เป็นอันตรายกับจิตของเราทั่งนั้น นึกหรือว่าตะกรุดผ้ายันต์ จะไม่มีผีอยู่ จิตวิญญาณที่เค้า เคยใช้เรื่องราวเหล่านี้ เมื่อตายไปแล้ว เค้าก็เสาะแสวงหา ตรงไหนล่ะ ที่จะมีกินอยู่ อ๋อ..ตรงนี้หรือ มีผ้ายันต์ผืนนี้ วิ่งเข้าไปเกาะ ผ้ายันต์ผืนนี้ ก็ทำหากิน รู้สึกว่ามันดีนะ ไปๆมาๆอิ่มหนำสำราญแล้ว ทิ้งเลย บีบให้ล่มจม ไอ้คนนั่นอาจจะเป็นวิกลจริตก็ได้ หรือร่างกายเปลี่ยนแปลงไป หรือว่า ทรัพย์สินเงินทองหมดไป โดยที่ไม่น่าจะหมดก็หมด มันไม่ได้เกิดจากน้ำพักน้ำแรงที่แท้จริงของตัวเอง เกิดมาโดยการอุปโลกน์ของผู้อื่น เอาใส่ให้แก่เรา เราก็ไปใช้ของเค้า เป็นกรรมมั้ย เป็นกรรม
เนี่ยนะ ฉันไปหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์มา ฉันได้เงินได้ทองมา ติดต่อไอ้โน่นไอ้นี่ได้ ได้เงินได้ทอง นั้นของๆเค้า เค้าอุปโลกน์ ให้เราไปยึด ไม่ใช่ของเรา เราทำบุญก็ไม่ได้บุญอะไร ก็เป็นของเค้า
นำ้พักน้ำแรงของเราเอามาสร้างเป็นบุญ กายของพ่อแม่ที่เราอาศัยอยู่ เราเอากายพ่อแม่ไปทำบุญ ไปทำการทำงาน ได้เงิน เป็นค่าแรงของเรา เราเงินตรงนั้น เมื่อกายพ่อแม่ที่เราได้ อาศัยอยู่ ก็ได้อนุโมทนาได้บุญเกิดขึ้น พ่อแม่เราก็มีบุญ เราก็มีความกตัญญูรู้คุณของกายเกิดขึ้น มากเข้าๆ จิตของเราก็จะรู้จักเรื่องราวของกรรมที่เกิดขึ้น เมื่อจิตออกจากร่างนี้ไปแล้ว ก็จะไปในทางที่มีกายที่ดีเกิดขึ้น คือ มีกายของบุญ ไอ้นี่ ไปเอากายของอะไร กายสิ่งศักดิ์สิทธิ์มารกรุงรังไปด้วยกรรม พอจิตออกจากร่างก็ไปเอาตัวกระทำนั้นไป ไปอยู่ในตัวกระทำที่เป็นกรรม ก็ไปหลงใหลกันเรื่อยเปื่อย
..ไม่นึกถึงว่า เรามีศาสนาขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านทำอะไร ท่านมีอะไรบ้าง ที่ท่านยึดเหนี่ยวอยู่ในโลกนี้ ทำไมพระอัครสาวกขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอรหันต์ก็มีจริง เค้าเดินตามรอยองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เค้าก็สำเร็จเข้าพระนิพพาน เค้าเดินตามรอย..เค้าไม่มีทรัพย์สินเงินทอง ไม่มียศฐานบรรดาศักดิ์ เมื่อก่อนนี้เค้า อยู่ในโลก อยู่เป็นเค้าเรียกอะไร เค้าเรียกอะไรนะ อุบาสกอุบาสิกา เป็นมนุษย์หญิงชายอยู่ มีความร่ำรวย มียศใหญ่ เป็นขุนนาง เป็นเจ้าเป็นมหากษัตริย์ก็มี เอ๊ะ..พระพุทธเจ้าท่านเป็นกษัตริย์มา ท่านทิ้งหมดเลย ก็ศึกษาเรื่องราวขององค์พระสิทธัตถะ เอ้า..ทิ้งบ้าง พอทิ้งได้ เป็นยังไง ปฏิบัติตามรอยองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เค้าไปไหน เค้าไปพระนิพพาน ตามรอยองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าดิ่วไปเลย ไม่แหงะซ้ายแหงะขวาล่ะ มองอยู่ข้างหน้าอย่างเดียว เดินตามรอย
แต่มนุษย์สมัยนี้ไม่เอา เอาที่สิ่งที่หลอกลวงเค้า จะอย่างไรนะ จะพูดให้ ใครเค้านิยมชมชอบ พูดแล้วถึงจะได้เงินได้ทอง แล้วก็ยกย่องสรรเสริญ คิดใหญ่เลย คิดได้ที่..คำพูดองค์นี้ ดีจัง สรรเสริญเยินยอ เป็นไง คนพูดเป็นยังไง จิตแช่แป้งอยู่กับโลภโกรธหลง อยู่กับสรรเสริญเยินยอ จิตดวงนี้ไปไหน ผิดจากองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วไปไหน องค์พระเทวทัตกวักมืเรียกมาทางนี้ มาทางนี้ เจ้าเก่งมาก เก่งเหนือชั้นมาทางนี้ อย่าไปเก่งตามรอยองค์พระสิทธัตถะเลย มาทางนี้ ก็ไปอยู่กับพระเทวทัตไป จมด้วยความทุกข์ทรมาน
คนที่จะเดินตามรอยองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะไปไหน ถึงแม้ว่าเราจะเป็นฆราวาส ยังไม่มีบุญมีบารมี ไม่มีปัญญาพอ เราสะสมไม่เพียงพอ ยังทิ้งไม่ได้ เราก็สะสมเอาทีละเล็กทีละน้อย ได้ทำงานด้วยความเหนื่อยยากลำบาก ก็แบ่งเอาความเหนื่อยยากลำบาก มาเป็นบุญกุศล เพื่อเก็บไว้ในชาติต่อๆไป จะได้มีกายครบสามสิบสองอย่างนี้ นี่พอทำบุญแล้วอธิษฐาน เป็นกายกรรมไปเลย ขอให้ข้าพเจ้าร่ำรวยอย่างโน่นอย่างนี้ กายของใคร กายของเกิดแก่เจ็บตาย จมอยู่กับความทุกข์ทรมาน
เกิดมากเท่าไหร่ ทุกข์มากเท่านั้น เกิดน้อย ทุกข์น้อย ไม่ต้องเกิดเลย ไม่ต้องทุกข์ ง่ายๆ อย่างนี้ ทำไม ไม่ทำกัน แนะนำกันไป แนะนำกันมา ที่จริงคำแนะนำ เรื่องราวของตัดโลกดี ไม่ใช่ไม่ดี มันเตือนตนของตนด้วย อย่างนี้เป็นกรรมนะ ไปบอกคนแล้ว อย่าไปนับถือ ตะกรุดผ้ายันต์อะไรต่างๆ ไปบอกเค้า
คราวนี้ สมมุติว่า ตัวเองมีขึ้นมา เราก็ไม่เอาแล้ว บอกเค้าไม่ให้ทำ เราก็เอาของเราไปทิ้งบ้าง เพราะมันเป็นทุกข์ เพราะทำให้เรานี่ มีสติปัญญาอยู่กับโลภโกรธหลง มีสติปัญญาอยู่กับเห็นตัวเองดีแล้ว อวดเก่ง อวดดี อยู่อย่างงั้น ที่จริงเป็นคน อ่อนน้อมถ่อมตน พอได้ตะกรุดผ้ายันต์มา นิสัยเปลี่ยนเลย ความทิฐิเห็นตัวเองก็เกิดขึ้นทันที มันเป็นกรรมมั้ย ไปไหนกรรมน่ะ มันก็ต้องไปทุกข์ทรมาน
เค้าให้เกิดมาแก้ไข เค้าไม่ได้ให้เกิดมาสะสมกรรม เค้าให้เกิดมา ทิ้งกรรม เมื่อทิ้งไม่ได้ เค้าก็ค่อยๆขยับขยาย อ๋อ..ไอ้ที่หาเงินหาทองมาได้ มันเป็นกรรม เอ้า..ก็ดึงกรรม ออกมาฝากไว้กับดินฟ้าอากาศ ให้บิดามารดาบ้าง ให้ญาติพี่น้อง บุตรธิดา ให้สามีภรรยา ทำทานเกิดขึ้น เกิดขึ้นที่ไม่ยึดอยู่ในทรัพย์นั้น เราได้มาเพื่อประทังสังขาร ไม่ใช่ได้มาเพื่อสร้างความอวดดี ให้แก่ตัวเอง แล้วไอ้อวดเก่งอวดดี มันพาไปไหนล่ะ เหมือนกับเทวทัตแหละเหมือนกัน
อยากจะเรียนศึกษา ดูศึกษาเสียก่อนว่า เค้าจะพาไปไหน เราอยู่ของเรา หากินหาอยู่เนี่ย ปกตินี่เราก็พอมีกินมีใช้ แต่ไอ้ความทะเยอทะยานเหมือนเปรตอสุรกายเนี่ย อยากได้ ไปเลย ไปหาได้โน่นไอ้นี่เกิดขึ้น ไปหาอาจารย์ เสร็จแล้วก็ ไปตกหลุมมายาเกิดขึ้น ก็เป็นหวงเป็นใย ก็ไม่อยากให้ใครไป เราก็ดู เราฟัง เรามีปัญญานี่ เมื่อก่อนนี้ เคยบอกใครต่อใครว่า มาหาตรงนี้ มาหาทุกครั้งบอกตัวเองว่า ข้าพเจ้าไม่ใช่คนโง่ ข้าพเจ้ามีปัญญา เมื่อมีปัญญาก็ต้องรับฟัง ฟังแล้วก็ไปพิจารณา ว่าเราฟังเนี่ย เค้าหลอกเราให้ไปอยู่ในความทุกข์ หรือ เค้าให้ออกจากทุกข์ เค้าให้ออกจากทุกข์ เราก็รีบแก้ปัญหานั่น ทำขึ้นมาให้ประจักษ์แก่จิตเกิดขึ้น เมื่อทำได้ จิตมันเป็นยังไง จิตก็อยู่ในเรือนกายที่มีสุข
ดูซิ คนที่ไปหาเกจิอาจารย์ หน้าเป็นยังไง มีตะกรุด ผ้ายันต์ หน้าตาเป็นยังไง ตอนแรกมันก็ดี เดี๋ยว..มันก็ ..เค้าเรียกอะไร ราศีหม่นหมองลงๆ ในที่สุด ก็เหมือนกับตัวอะไร ก็ไม่รู้ น่าเกลียด
ศึกษาเนี่ย เรื่องอารมณ์ เรื่องจิตศึกษาให้ได้ สมมุติว่าเราไปมองแก้ว อารมณ์สั่งให้จิตไปมองแก้ว จิตก็ตามอารมณ์ไป มองปุ๊บไอ้แก้วมีความสำคัญ แก่จิตของเรา นั้นแหละ จิตคือแก้ว คราวนี้ เห็นแก้วมีความสำคัญเกิดขึ้น จิตเราไปจับแก้วขึ้นมา เพื่อจะดื่มน้ำ นั้นแหละ จิตจับแก้วขึ้นมา มาจากไหน มาจากอารมณ์ เราก็ดูซิอารมณ์มาจากไหน มันทำไมถึงไปมองแก้ว มองที่อื่น ไม่ได้หรือ อ๋อ..เราอยากกิน ใครอยากกิน เราอยากกิน อะไรอยากกิน กายหรืออารมณ์ ต้องแปรสภาพให้ได้ ต้องรู้จักเค้า
หมั่นฝึกหมั่นปฏิบัติ ทำอย่างนี้ ต่อไปจะรู้จักเอง ทำไมถึงไปมองแก้ว ทำไมถึงต้องจับแก้ว อะไรมันอยู่ในแก้ว อ้อ..น้ำ มีความสำคัญอย่างไร จิตต้องการดื่มน้ำหรือ อ๋อ..ไม่ใช่ จิตก็จิต จิตอาศัยสังขาร อารมณ์มันปรุงแต่งเข้าไป เป็นมายาว่าน้ำนี้ น้ำที่อันบริสุทธิ์เกิดขึ้น บางทีไม่รู้ว่า น้ำอะไรก็ไม่รู้ อารมณ์สั่งไป จิตก็เห็นมีความสำคัญ กลายเป็นจิตที่เมามายเกิดขึ้น เห็นมายา มันหลอกได้ทุกอย่าง มันเกิดจากอารมณ์ทั้งนั้น
ศึกษาธรรมมะเพื่อจะหนีกรรม ให้ศึกษาให้จริงจัง ถ้าไม่จริงจัง เอาล่ะ เอาแค่ทำบุญให้เป็น รู้จักกรรมบ้างเล็กๆน้อยๆ รู้ว่าเราไปสร้างกรรม ก็เอากรรมมาสร้างเป็นบุญบารมี ให้แก่จิตของซิ..ไม่ทำ หวงแหนเกิดขึ้น ดูโน้น..จะมีความรู้สึกปากพะงาบๆแล้ว จะมีความรู้สึก ยังไม่ถึงเส้นตาย ลมหายใจจะหมดแล้ว ถ้าฉันหายไป ฉันจะทำประโยชน์ เอาไอ้นั้นทำบุญ เอาไอ้นี่ทำบุญ เกิดหายจริงๆขึ้นมา เอาไอ้โน้นไปทำบุญ เอาไอ้นี่ไปทำบุญ โอ้ว..สละใหญ่เลย เสร็จแล้วเป็นยังไง จิตไม่เคยทำ ไม่รู้จักอารมณ์ มันก็ปรุงแต่ง ก็มีคนสรรเสริญเยินยอ ไปตกตัวสรรเสริญเยินยอ อวดเก่งขึ้นมาอีกแล้ว
เห็นมั้ยว่า สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ สิ่งที่เราตามไม่ทัน ไม่รู้จักศึกษา เราต้องรู้ว่า องค์พระสิทธัตถะ ทำไมต้องหนีจากเวียงวัง หนีไปบวช จิตท่านแข็ง ท่านรักพระราชบิดา รักพระราชโอรส ทำไมท่านต้องหนี ต้องไปพิจารณา ไม่อธิบายให้ฟังหรอก มันละเอียดเกินไป ให้ไปทำ ให้ไปทำจิตทำใจก่อน ทำให้ได้ แล้วจะถ้อยแถลงความเป็นตอนๆไป ไปฝึกกันให้ได้จุดนี้
วันนี้.. ให้ฝึกอย่างนี้ไปทำมา จะมาหลอกลวงก็ไม่ได้ ทำไม่ได้ คือ..ไม่ได้ ทำได้แล้วก็เดินทางต่อไป ไปจุดหมายปลายทางของเรา ที่เราต้องเกิดแก่เจ็บตายอีกก็ดี เราจะได้หยุดสักที หยุดให้น้อยลงๆ หรือ ถึงที่สุด ให้ทำแค่นี้ จงรู้ว่าการสวดมนต์ สวดมนต์นะ เอาจิตมาอยู่ที่ สมมุติอยู่ที่หน้าอกก็แล้วกัน สวดไปเราก็จะกำหนดสติลงไป ที่จิตว่า เหมือนกับมองเห็นว่า ออกมาเป็นอะไร เป็นลมปากขึ้นมา เป็นเสียงเข้าที่ลำคอ แล้วออกไป ต่อไปทำได้ มากเข้าๆ จะเห็นเป็นอณู อณูที่มันเสียดสีกันเป็นแสง แล้วตัดออกมาเป็นเสียงขึ้นมา นี่บอกไว้เฉยๆ ยังไม่ต้องเคร่งครัดอะไร เพียงแต่ฝึกไปก่อน บอกเยอะแยะแล้ว แค่นี้แล้วกัน สาธุ สาธุ สาธุ
โฆษณา