6 ก.ย. 2021 เวลา 00:00 • นิยาย เรื่องสั้น
อูฮูราผู้เปลี่ยนโลก
Blockdit Originals ซีรีส์บทความพิเศษ
2
หนังซีรีส์โทรทัศน์ที่โด่งดังมากชุดหนึ่งในยุค 1960 เป็นหนังไซไฟ Star Trek ทุกตอนเริ่มด้วยประโยค “Space: the final frontier. These are the voyages of the starship Enterprise. Its five-year mission: to explore strange new worlds, to seek out new life and new civilizations, to boldly go where no man has gone before.”
6
ประโยคสุดท้ายคือ หาญกล้าไปยังสถานที่ที่ไม่มีมนุษย์ไปมาก่อน
เป็นหนังการผจญภัยของเจ้าหน้าที่ยานอวกาศสำรวจ USS Enterprise (NCC-1701) ฉากของเรื่องเกิดขึ้นในดาราจักรทางช้างเผือก ประมาณทศวรรษ 2260s แต่ละตอนเดินทางไปจุดต่าง ๆ ในจักรวาล
เจ้าหน้าที่ส่วนบัญชาการของยานประกอบด้วยกัปตัน เจมส์ เคิร์ก (แสดงโดย วิลเลียม แชตเนอร์) ผู้ช่วยกัปตัน สป็อค (แสดงโดย เลนเนิร์ด นีมอย) หัวหน้าฝ่ายแพทย์ เลนเนิร์ด แมคคอย (แสดงโดย ดีฟอเรสต์ เคลลี) และอูฮูรา (แสดงโดย นิเชลล์ นิคอลส์)
นิเชลล์ นิคอลส์ ในบทอูฮูรา
อูฮูราเป็นสตรีผิวดำ
เป็นครั้งแรกในวงการโทรทัศน์ที่ปรากฏนักแสดงผิวดำในบทเด่น
ในยุค 60s ของสหรัฐฯ การแบ่งแยกสีผิวยังดำเนินไปอย่างเข้มข้น นักแสดงหลักของหนังทุกเรื่องเป็นคนผิวขาวเสมอ นักแสดงในหนังเรื่องเจ็งกิสข่านเป็นฝรั่งทั้งเรื่อง คลีโอพัตราก็เป็นคนผิวขาว
1
แต่ Star Trek แตกต่างออกไป
จีน รอดเดนเบอร์รี ผู้สร้าง Star Trek เคยทำหนังซีรีส์ชุด The Lieutenant มาก่อน เป็นคนหัวทันสมัยเกินกาล ไม่เห็นด้วยกับการเหยียดผิว มีบุคลิกที่แตกต่างจากคนผิวขาวส่วนใหญ่ของประเทศ
1
ในปี 1964 ตอนหนึ่งของซีรีส์ The Lieutenant ชื่อ To Set it Right พูดถึงความแตกต่างทางเชื้อชาติ เมื่อสร้างเสร็จ ผู้บริหารตัดสินใจไม่นำออกอากาศ ทำให้รอดเดนเบอร์รีไม่พอใจ และคิดจะสร้างหนังสักเรื่องที่พูดความหลากหลายของเชื้อชาติ และมีนักแสดงต่างเชื้อชาติ
1
และมีอะไรดีไปกว่าเล่าประเด็นละเอียดอ่อนนี้โดยออกสู่ห้วงอวกาศ ซึ่งมีชีวิตหลากหลายสายพันธุ์?
เป็นที่มาของ Star Trek
จีน รอดเดนเบอร์รี
ด้วยวิธีคิดแบบนี้ Star Tวงการโทรทัศน์ในยุค 1960 ยังไม่เล่นกับเรื่องไซไฟ มีคนสองคนที่เป็นหัวหอกด้านไซไฟในสหรัฐฯ คือ ไอแซค อสิมอฟ กับ จีน รอดเดนเบอร์รี
มุมมองต่อโลกและชีวิตของสองคนนี้คล้ายกันอยู่มาก
ไอแซค อสิมอฟ เป็นนักมนุษยนิยม (humanist) มีความคิดกว้างขวาง ไม่เห็นด้วยกับการแบ่งแยกชนชาติ
เขาเขียนว่า “โลกกำลังเผชิญหน้ากับปัญหาสิ่งแวดล้อมซึ่งคุกคามอารยธรรมและจุดจบของดาวเคราะห์ในสถานะของโลกที่อยู่อาศัยได้ มนุษยชาติมิอาจละลายเงินทองและสภาพจิตใจไปกับการทะเลาะเบาะแว้งที่ไร้สาระและไม่จบสิ้นภายในกลุ่มและระหว่างกลุ่มทั้งหมด มันควรมีสำนึกของโลกาภิวัตน์ซึ่งทำให้โลกรวมตัวกันแก้ปัญหาที่แท้จริงซึ่งกระทบต่อทุกกลุ่มเหมือน ๆ กัน”
รอดเดนเบอร์รีก็เป็นชาว humanist เช่นกัน
ด้วยวิธีคิดแบบนี้ Star Trek จึงมีนักแสดงหลากหลายเชื้อชาติ รวมทั้งหลากหลายสายพันธุ์ มีมนุษย์ต่างดาว
รอดเดนเบอร์รีสร้างตัวละครคนหนึ่ง เป็นหญิงสาวตำแหน่งเจ้าหน้าที่สื่อสารในศูนย์ควบคุมยาน เขานึกถึงนักแสดงสาวผิวสีคนหนึ่งชื่อ นิเชลล์ นิคอลส์ (Nichelle Nichols) เขาเคยร่วมงานกับเธอมาก่อนใน The Lieutenant ซึ่งเป็นบทแสดงบทแรกของเธอ
รอดเดนเบอร์รีกับทีมนักแสดง Star Trek
นิเชลล์ไปรับการคัดเลือกนักแสดงบทเจ้าหน้าที่สื่อสารดังกล่าว ทั้งที่ผู้เขียนยังไม่มีชื่อตัวละคร
วันหนึ่งนิเชลล์ไปกินข้าวเที่ยงกับรอดเดนเบอร์รี เธอพกหนังสือเล่มหนึ่งไปด้วย ชื่อปกคือ Uhuru
1
รอดเดนเบอร์รีเห็นชื่อหนังสือก็ถามว่า “มันแปลว่าอะไร?”
เธอบอกว่า “Uhuru เป็นภาษาสวาฮีลี แปลว่า อิสรภาพ”
1
ทันใดนั้น รอดเดนเบอร์รีก็รู้สึกกระจ่าง แล้วนิ่งไปครู่หนึ่ง ก็ชี้ที่เธอ บอกว่า “ใช่เลย นี่เป็นชื่อของคุณ”
คำคำนี้บอกทุกอย่าง มันบอกที่มาของคนผิวดำในสหรัฐฯก็จริง แต่ก็มีนัยของเชื้อชาติอื่น ๆ ด้วย มันสะท้อนให้เห็นความแตกต่างทางเผ่าพันธุ์ อิสรภาพ ทุกอย่างในชื่อนี้
1
นิเชลล์บอกว่าเสียง อูฮูรู ค่อนข้างแข็งไปนิดสำหรับชื่อผู้หญิง แปลงให้ออกเสียงง่ายขึ้นหน่อยดีกว่า เป็น อูฮูรา (Uhura)
2
Uhura ถือกำเนิดในวันนั้น
1
รอดเดนเบอร์รีมองเห็นว่า หนังเรื่องนี้อาจเป็นสะพานเชื่อมเชื้อชาติ
1
เขาบอกนักเขียนบท Star Trek ทั้งหลายว่า ต้องไม่ใส่ประเด็นศาสนา ความเชื่ออำนาจเหนือธรรมชาติ และเรื่องอาถรรพ์ลี้ลับใด ๆ
เพราะมันเป็นหนังเชื่อมมนุษยชาติ ไม่ใช่สร้างความแตกแยก
Star Trek ในช่วงแรกหนังไม่ฮิต แต่ต่อมากระแสเปลี่ยน คนดูชอบมาก Star Trek โด่งดังไปทั่วโลก
ตอนหนึ่งของหนังชื่อ Plato’s Stepchildren ออกอากาศเมื่อ 22 พฤศจิกยน 1968 อูฮูราจูบกัปตันเคิร์ก มันกลายเป็นที่พูดกันทั่วประเทศ เพราะเป็นครั้งแรกที่มีการจูบข้ามเชื้อชาติในจอโทรทัศน์ มีทั้งเสียงต่อต้านและชื่นชม
ชาวอเมริกันยังไม่ค่อยพร้อมยอมรับให้คนผิวสีเท่าเทียมกับคนผิวขาว และไม่ใช่ชาวอเมริกันทุกคนเห็นด้วยกับการใช้นักแสดงหลายหลายสีผิว
อย่างไรก็ตาม บทบาทของนิเชลล์เริ่มจำเจ ทำให้เธอคิดลาออก ไปเล่นละครบรอดเวย์
เธอยื่นจดหมายลาออก
รอดเดนเบอร์รีพยายามเปลี่ยนใจเธอ แต่ไม่สำเร็จ เขาบอกให้เธอไปพักผ่อนในวันหยุดสุดสัปดาห์เพื่อคิดดู และหากเธอยังเชื่อว่าต้องการออกจากรายการ เขาก็จะไม่รั้งเธอไว้
สุดสัปดาห์นั้นนิเชลล์ไปงานเลี้ยง และในงานนั้นเธอพบแฟน Star Trek คนหนึ่ง ที่เรียกว่า ‘Trekkie’
Trekkie คนนี้คือ ดร. มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ นักต่อสู้เพื่อสิทธิพลเมืองคนผิวสีอเมริกัน ผู้มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วประเทศ
1
ดูจากงานที่เขาทำ เขาไม่น่าจะใช่คนที่เป็น Trekkie
ดร. คิงเดินมาหาเธอพร้อมรอยยิ้ม บอกว่า “มิสนิคอลส์ ผมเป็นแฟนตัวยงของคุณ”
เขาบอกว่า Star Trek เป็นหนังโทรทัศน์เรื่องเดียวที่เขาและภรรยา คอเร็ตตา อนุญาตให้ลูก ๆ ดู
เธอบอกว่าเธอกำลังจะออกจากรายการ
เขาบอกว่า “คุณลาออกไม่ได้ เพราะนี่เป็นครั้งแรกในวงการโทรทัศน์ที่ทุกวันพวกเราจะถูกมองเห็นว่าเราเป็นคนมีสติปัญญา มีคุณภาพ สวย ร้องเพลงได้ เต้นรำได้ และสามารถเดินทางไปในอวกาศได้ เป็นศาสตราจารย์ เป็นทนายความ...”
1
ภาพยนตร์ชุด Star Trek
‘Trekkie’ ดร. มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์
ดร. คิงบอก “ถ้าคุณลาออก ประตูบานนั้นจะปิด เพราะบทของคุณไม่ใช่คนผิวดำ ไม่ใช่ผู้หญิง พวกเขาสามารถเสียบมันแทนที่ด้วยใครก็ได้ แม้แต่มนุษย์ต่างดาว...
3
“คุณยังไม่เข้าใจกระทบที่คุณสร้าง ไม่เพียงต่อคนผิวดำเท่านั้น ไม่เพียงแต่หญิงสาวทั้งหลาย แต่ต่อทุกคน ความคิดและทัศนคติของทุกคนเปลี่ยนไปมากเพียงเพราะคุณอยู่ที่นั่น”
2
คิงบอก “คุณจะยอมแพ้ไม่ได้”
1
เพราะบทบาทของเธอหมายถึงความเท่าเทียมของคนต่างสีผิว เพราะมันเป็นโอกาสพิเศษที่ไม่เกิดขึ้นง่าย ๆ ที่ผู้หญิงผิวสีได้รับบทบาทเด่นในโทรทัศน์เป็นครั้งแรก
1
คำพูดของ ดร. มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ ทำให้เธอตระหนักว่าบทบาทนี้สำคัญอย่างไรต่อความเคลื่อนไหวสิทธิมนุษย์ชน
วันรุ่งขึ้นเธอไปหา จีน รอดเดนเบอร์รี บอกว่าจะขออยู่ต่อ รอดเดนเบอร์รีร้องไห้เมื่อได้ยินคำของ ดร. คิง แล้วฉีกจดหมายลาออกของเธอเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
นิเชลล์รับบทใน Star Trek ต่อจนสิ้นรายการ
1
นอกจากนี้ยังปรากฏตัวใน Star Trek ฉบับจอเงินถึงหกเรื่อง
อูฮูราในบทบาททางวิทยาศาสตร์
ซีรีส์ Star Trek จบลงในปี 1969 ปีเดียวกับที่ยานอพอลโล 11 ลงดวงจันทร์ แต่จิตวิญญาณของมันยังอยู่ อูฮูรายังมีบทบาททางวิทยาศาสตร์ ดาราศาสตร์จนตลอดชีวิต
2
Star Trek มีที่ปรึกษาภาพยนตร์เป็นคนจากองค์การนาซา ทำให้นิเชลล์มีโอกาสสนทนาเรื่องอวกาศและโครงการต่าง ๆ ของนาซา หลังจากจบซีรีส์ Star Trek และสหรัฐฯเอาชนะโซเวียตในการนำคนไปลงดวงจันทร์ นิเชลล์ก็เริ่มทำงานด้านอวกาศโดยเขียนลงคอลัมน์ในนิตยสารต่าง ๆ จุดหนึ่งที่เธอพูดถึงบ่อย ๆ คือโครงการอวกาศยังขาดนักบินอวกาศผิวดำและสตรี
ปี 1977 เธอเข้าร่วมในบอร์ดของ The National Space Institute ต่อมาก็ช่วยนาซาขยายขอบเขตของการหาผู้สมัคร และหลากหลายขึ้นกว่าเดิม เธอมีบทบาทช่วยหาผู้สมัครเข้าร่วมโครงการอวกาศ คนผิวสีและผู้หญิง
เธอหาคนเข้ามาเพิ่มมากมาย ในสี่เดือนแรก มีผู้สมัครที่เป็นสตรีถึง 1,600 คน และคนผิวสีกว่าพันคน
1
หนึ่งในผู้สมัครคือ ดร. แซลลี ไรด์ (Dr. Sally Ride) ผู้หญิงคนแรกในอวกาศ
กีออน สจวร์ต บลูฟอร์ด จูเนียร์ (Guion Stewart Bluford Jr.) นักบินอวกาศผิวสีคนแรก ตามมาด้วย จูดี เรสนิก (Judy Resnik) นักบินอวกาศหญิงคนที่สอง รอนัลด์ แม็คแนร์ (Ronald McNair) นักบินอวกาศผิวสีคนที่สอง
ช่วงปี 1977-2015 เธอช่วยองค์การนาซาในโครงการต่าง ๆ
นักแสดงสตรีผิวสี Whoopi Goldberg ก็แลเห็นความสำคัญของการเพิ่มบทบาทสตรีและคนต่างสีในโครงการอวกาศ จึงขอรับบทใน Star Trek: The Next Generation นักบินอวกาศหญิงผิวสีคนแรก เม เจมิสัน (Mae Jemison) ก็ร่วมรับบทในซีรีส์ Star Trek ด้วย
เม เจมิสัน บอกว่าบทบาทร้อยโทอูฮูราคือแรงบันดาลใจให้เธอต้องการเป็นนักบินอวกาศ
Star Trek เป็นมากกว่าหนังโทรทัศน์ เป็นมากกว่าหนังผจญภัยในอวกาศ มันเปิดโลกใหม่ในโลกเก่า
4
‘To boldly go where no man has gone before’ มีความหมายเช่นกันว่า มนุษยชาติต้องร่วมทางในยานอวกาศพิเศษ เดินหน้าไปสู่โลกที่ปลอดความแตกแยกของเชื้อชาติ อคติและความเกลียดชังจากสีผิว
6
หมายเหตุ
รอดเดนเบอร์รีเป็นนักเขียนบทคนแรกในสหรัฐฯที่ได้รับดาวบน Hollywood Walk of Fame ในปี 1985 และเป็นคนแรก ๆ ที่เถ้าอังคารของเขานำขึ้นไปในห้วงอวกาศ โคจรรอบโลก และกลับลงมา
แอ่ง The Roddenberry Crater บนดาวอังคาร และดาวเคราะห์น้อย 4659 Roddenberry ตั้งตามชื่อเขา
1
[ติดตามข้อเขียนของ วินทร์ เลียววาริณ ได้ทุกวันที่เพจ https://bit.ly/3amiAvG และ blockdit.com]

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา