31 ก.ค. 2021 เวลา 12:00 • ธุรกิจ
เทคนิค การเลือกซื้อแฟรนไชส์ สำหรับคนอยากมีธุรกิจ เป็นของตัวเอง
1
หลายคนอยากจะมีธุรกิจเป็นของตัวเอง แต่การเริ่มต้นจากศูนย์ใหม่หมด ทั้งเรื่องการสร้างแบรนด์ การสร้างโมเดลธุรกิจ หรือแม้แต่ระบบหลังบ้าน
คงเป็นสิ่งที่ต้องอาศัยเวลา และทรัพยากรอย่างมาก ในการปลุกปั้นขึ้นมา
ดังนั้น การลงทุนเพื่อซื้อแฟรนไชส์ จากแบรนด์ที่มีชื่อเสียง หรือติดตลาด
อาจเป็นสิ่งที่ตอบโจทย์มากกว่า สำหรับใครบางคน โดยเฉพาะคนที่มีเงินทุนอยู่แล้ว
 
จากการสำรวจของเว็บไซต์ Thai Franchise Center พบว่า จำนวนธุรกิจแฟรนไชส์ไทย ในปี พ.ศ. 2564 ที่ยังดำรงอยู่ในตลาดได้ มีอยู่ทั้งหมด 580 กิจการด้วยกัน
โดยสัดส่วนกลุ่มธุรกิจแฟรนไชส์ ที่เป็นที่นิยมมากที่สุด 3 อันดับแรก คือ
ธุรกิจเครื่องดื่มและไอศกรีม 23.8%
ธุรกิจอาหาร 23.1%
และธุรกิจการศึกษา 17.4% ตามลำดับ
จากตัวเลขกิจการแฟรนไชส์ที่มากขนาดนี้ หลาย ๆ คนอาจอยากรู้ว่า
แล้วถ้าเราอยากเริ่มต้นธุรกิจ ด้วยการเลือกลงทุนในธุรกิจแฟรนไชส์สักหนึ่งแฟรนไชส์
มีปัจจัยอะไรบ้าง ที่เราควรพิจารณา
1) เบื้องหลังของแฟรนไชซอร์
เจ้าของสิทธิ์แฟรนไชส์ เราจะเรียกว่า แฟรนไชซอร์ (Franchisor) ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจในการอนุญาตให้ผู้รับสิทธิ์ หรือที่เรียกว่า แฟรนไชซี (Franchisee) สามารถดำเนินธุรกิจตามรูปแบบและระบบธุรกิจของเจ้าของสิทธิ์ได้ โดยต้องจ่ายค่าตอบแทนแก่เจ้าของสิทธิ์เป็นการตอบแทน
สิ่งแรกที่เราควรตรวจสอบคือ เอกสารการแสดงความเป็นเจ้าของสิทธิ์ที่ถูกต้อง ตามหลักการจดทะเบียนพาณิชย์ การจดลิขสิทธิ์ในเครื่องหมายการค้า และความน่าเชื่อถือของบริษัทและเจ้าของบริษัท
นอกจากนั้น เราอาจสอบถามถึงความเป็นมา แรงจูงใจ และความมุ่งมั่นที่มีต่อธุรกิจ เพื่อให้เห็นแนวคิดและมุมมองในระยะยาว
รวมถึงอายุของการทำธุรกิจ จำนวนสาขาที่เป็นของแฟรนไชซี และของแฟรนไชซอร์เอง เพื่อประเมินความสามารถและโอกาสที่ธุรกิจจะเติบโตไปได้ในอนาคต
1
2) ระบบการบริหารงาน
ระบบการบริหารงาน ถือว่ามีความสำคัญมาก เพราะจะเป็นสิ่งที่ส่งเสริมให้การทำธุรกิจของเราไหลลื่นและไม่ติดขัด
โดยต้องเช็กว่า มีทีมงานรองรับการบริหารงานเพียงพอหรือไม่ และมีความเชี่ยวชาญมากน้อยแค่ไหน
สิ่งสำคัญคือ บริษัทควรมีระบบการอบรม ซึ่งจะช่วยร่นระยะเวลาการเรียนรู้ธุรกิจของเราได้ และควรมีคู่มือการปฏิบัติงาน รวมถึงมีสายด่วนไว้สำหรับขอคำปรึกษา เป็นต้น
3) การเยี่ยมชมบริษัท
การเยี่ยมชมบริษัท ถือเป็นสิทธิ์ที่แฟรนไชซีทุกรายควรจะได้ เพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจ จากการเห็นระบบการทำงานจริงเบื้องหลัง การจัดการภายใน และระบบสนับสนุนต่าง ๆ ที่สามารถรองรับปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้
4) การสอบถามข้อเท็จจริงของธุรกิจ
ในธุรกิจแฟรนไชส์ จะมีทั้งคนที่ประสบความสำเร็จ และคนที่ทำอยู่ได้ไม่นาน ก็ต้องล้มเลิกและออกจากธุรกิจไป
ดังนั้น เราควรตั้งคำถามกับแฟรนไชซอร์และแฟรนไชซีคนอื่นว่า เหตุผลที่ทำให้แฟรนไชซีในอดีต ตัดสินใจออกจากธุรกิจไปคืออะไร
เพื่อให้มีข้อมูลไว้พิจารณาว่า การออกจากธุรกิจของแฟรนไชซีนั้น เกิดจากเหตุผลส่วนตัว ตัวผลิตภัณฑ์ หรือเกิดจากระบบการบริหารของเจ้าของเอง (แฟรนไชซอร์)
5) ตรวจสอบสถานะทางการเงินย้อนหลัง
สถานะทางการเงินของแฟรนไชซอร์ คือตัวการันตีว่า ธุรกิจและเจ้าของธุรกิจดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่
โดยเราควรตรวจสอบงบกำไรขาดทุนและงบดุลย้อนหลัง 3 ปีด้วยกัน
เพื่อให้เห็นภาพรวมของการบริหารจัดการสินทรัพย์และหนี้สิน รวมถึงผลกำไรและการขาดทุนที่เกิดขึ้น
หากงบดุลของบริษัท มียอดหนี้สินมากกว่ายอดสินทรัพย์ แสดงว่าบริษัทอาจประสบปัญหาเรื่องเงินทุนและขาดสภาพคล่องทางการเงิน
หรือบริษัทประสบกับภาวะขาดทุนติดต่อกัน แสดงว่าบริษัทอาจมีปัญหาเรื่องการบริหารต้นทุนสินค้า หรือมีโมเดลธุรกิจ ที่ไม่สามารถทำกำไรได้จริง
ซึ่งถ้าเราขาดความรู้ความเข้าใจ เรื่องการอ่านงบกำไรขาดทุนและงบดุลของบริษัท เราก็ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ
6) ส่วนต่างค่าสินค้าและบริการที่ต้องจ่าย
เราควรรู้ข้อมูลที่ชัดเจน เกี่ยวกับค่าส่วนต่างของสินค้าและบริการ ที่จะต้องจ่ายให้กับแฟรนไชซอร์ ในฐานะผู้ป้อนวัตถุดิบให้กับเรา
โดยควรเปรียบเทียบกลุ่มธุรกิจแฟรนไชส์ที่มีลักษณะใกล้เคียงกัน ซึ่งการรับรู้ข้อมูลในส่วนนี้ จะมีประโยชน์ทำให้เราเตรียมตัวสำหรับการสำรองกระแสเงินสด ในระหว่างที่ประกอบกิจการ รวมถึงคำนวณผลตอบแทนจากการลงทุนคร่าว ๆ ในอนาคตได้
7) เงื่อนไขข้อตกลงบางประการ
ควรขอรายละเอียด เกี่ยวกับข้อตกลงในสัญญาแฟรนไชซอร์ และอาจขอให้มีการชี้แจงรายละเอียดสำคัญ ๆ เช่น ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ, มีการหักเปอร์เซ็นต์จากยอดขายหรือไม่, จำนวนการสั่งซื้อขั้นต่ำ, ระยะเวลาของสัญญา หรือเงินรายงวด
ทั้งนี้ ควรเปรียบเทียบกับกลุ่มธุรกิจแฟรนไชส์ ที่มีลักษณะคล้ายกัน เช่น หากเราอยากเปิดแฟรนไชส์ร้านชานมไข่มุก เราก็ควรเทียบหลาย ๆ แบรนด์ เพื่อให้รู้ข้อมูลที่หลากหลาย และสามารถเลือกได้ว่า แฟรนไชซอร์เจ้าไหน เมื่อลงทุนแล้วจะคุ้มค่าที่สุด
ซึ่งนอกจากปัจจัยทั้งหมดแล้ว สิ่งที่เราควรพิจารณาคือ ทำเล กลุ่มลูกค้า ความต้องการ และความหนาแน่นของธุรกิจ ในพื้นที่ทำเลที่เราสนใจ เพื่อให้มั่นใจได้ว่า เราจะสามารถแข่งขันได้
ในประเทศไทย ธุรกิจแฟรนไชส์ที่ได้รับความนิยม เช่น ร้านซูชิ, ร้านกาแฟ, ร้านชานมไข่มุก, ร้านหมูปิ้ง ซึ่งขนาดของธุรกิจก็มีความหลากหลาย ขึ้นอยู่กับเงินทุนและระยะเวลาคืนทุน ที่ผู้ประกอบการต้องการ
สรุปแล้ว การทำธุรกิจแฟรนไชส์ ก็เป็นอีกช่องทางในการลงทุนที่น่าสนใจ ที่ช่วยร่นระยะเวลาในการลองผิดลองถูก ของการทำธุรกิจได้
1
แต่ทุกธุรกิจ ก็มีข้อดี ข้อเสียแตกต่างกันไป
ไม่ว่าจะเป็นการสร้างธุรกิจจากศูนย์ หรือการลงทุนในแฟรนไชส์
ซึ่งเราต้องศึกษาหาข้อมูลจากหลาย ๆ ด้าน
เพื่อพิจารณาว่า สำหรับเราแล้ว การเริ่มต้นสร้างธุรกิจด้วยตัวเอง หรือการซื้อแฟรนไชส์
อะไรคุ้มค่า และตอบโจทย์แนวคิดการทำธุรกิจ ของเรามากกว่ากัน..
โฆษณา