31 ก.ค. 2021 เวลา 14:54 • หุ้น & เศรษฐกิจ
QUOTES : “Gold is money. Everything Else is credit And once you realize this you will never be poor again”
นั่นคือคำกล่าวของ J.P. Morgan ผู้ร่วมก่อตั้งธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในโลกในทุกวันนี้ โดยเขาได้กล่าวไว้ตั้งแต่ปี 1912 ซึ่งแปลเป็นภาษาไทยได้ว่า
"ทองคำคือเงิน และสิ่งอื่น ๆ เป็นเพียงแค่สินเชื่อ(หรือเครดิต)เท่านั้น และเมื่อคุณตระหนักได้เช่นนี้ คุณจะไม่มีวันจนอีกเลย”
ทุกวันนี้ JPMorgan Chase มีขนาดใหญ่กว่า SCB ซึ่งเป็นธนาคารที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทยถึง 36 เท่าเลยทีเดียว โดยมีรายได้ต่อปีประมาณ 3.6 ล้านล้านบาท ซึ่งพอ ๆ กับงบบริหารของประเทศไทยตลอดทั้งปี
J.P. Morgan มีชื่อเต็ม ๆ ว่า John Pierpont Morgan ซึ่งเกิดเมื่อปี 1837 โดยเขาถือเป็นเศรษฐีที่ทรงอิทธิพลที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ชาติอเมริกา ไม่ว่าจะด้วยการช่วยประเทศจากการล้มละลาย รวมถึงการมีส่วนร่วมในการก่อตั้งธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ที่มีอิทธิพลต่อระบบการเงินโลกมาจนถึงทุกวันนี้
เขาเริ่มจากการทำงานเป็นนักบัญชีในธนาคารของพ่อตัวเอง ก่อนที่จะเลื่อนตำแหน่งสู่ 1 ในผู้บริหารและรับช่วงต่อหลังจากที่พ่อของเขาเสียชีวิต โดยจุดเด่นของ J.P. Morgan ในตอนนั้นก็คือ เขาเป็นคนที่มองการณ์ไกล และคาดเดากระแสการตลาดได้ดีเยี่ยมจนหาตัวจับได้ยาก
9
ทั้งนี้ เขาเคยเป็นเจ้าของกิจการรถไฟถึงประมาณ 20% ของทั้งประเทศเลยทีเดียว แต่ที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งก็คือการช่วยให้สหรัฐฯ รอดพ้นจากการล้มละลายในวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่เมื่อช่วงปี 1895
ตอนนั้นรัฐบาลสหรัฐฯ ได้ขายทองคำออกไปจนหมดเกลี้ยง และเมื่อไม่มีทองคำมาค้ำประกันจึงไม่มีใครเชื่อมั่นในสกุลเงินของประเทศอีกต่อไป หรือพูดง่าย ๆ ก็คือรัฐบาลสหรัฐฯ ถังแตกและกำลังจะล้มละลาย
ขณะนั้น J.P. Morgan เสนอให้สหรัฐฯ ซื้อทองคำจากเขาและยุโรปเข้าไปเป็นทุนสำรอง แต่รัฐบาลก็ปฎิเสธและยืนยันที่จะขายพันธบัตร (ที่ไม่มีทองคำมาค้ำประกัน) ให้ประชาชน เพื่อนำเงินไปหมุนแทน
แน่นอนว่า J.P. Morgan นั้นมองว่าการขายพันธบัตรรัฐบาลไม่ใช่วิธีแก้ปัญหา เขาเลยพยายามทำทุกวิถีทางให้เกิดการซื้อทองคำ
ข้อเสนอก็คือ รัฐบาลจะต้องซื้อทองคำจาก J.P. Morgan รวมถึงทองคำจากตระกูล Rothschild แลกกับการซื้อพันธบัตรรัฐบาล 30 ปี หรือพูดอีกนัยหนึ่งก็คือ เขายอมซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ 30 ปี โดยการจ่ายเป็นทองคำแทนเงินสดนั่นเอง
หลังจากที่ประเทศเกือบล้มละลาย J.P. Morgan ก็สนับสนุนให้มีการจัดตั้งธนาคารกลางมาตลอด อย่างที่บางประเทศในยุโรปทำ แต่รัฐบาลอเมริกาก็ยังไม่ค่อยเห็นด้วยกับความคิดนั้นมากนัก
จนกระทั่งเกิดวิกฤตตลาดหุ้นอีกครั้งในปี 1907 ทำให้ในตอนนั้นนักลงทุนแห่หนีตาย ออกจากตลาดหุ้นจนแทบไม่มีสภาพคล่อง จนกลายเป็นว่ารัฐบาลจำเป็นต้องทุ่มเงินกว่า 1,000 ล้านบาท (ในยุคนั้น ซึ่งถือว่าเยอะมาก) มาอัดฉีดกระตุ้นเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ ทั้ง J.P Morgan, John D. Rockefeller และเศรษฐีคนอื่นๆ ยังต้องจัดประชุมพิเศษเพื่อเอาเงินไปทุ่มลงไปในตลาดหุ้น ช่วยพยุงตลาดและเสริมสภาพคล่อง จนนักลงทุนกลับมาอีกครั้ง
1
และจากบทเรียนในครั้งนั้น J.P. Morgan จึงบีบบังคับให้รัฐบาลตัดสินใจที่จะจัดตั้งธนาคารกลางสหรัฐฯ ขึ้นอย่างจริงจัง ส่วนธนาคาร JPMorgan ของเขา นอกจากจะอยู่มาจนถึงปัจจุบันแล้ว ยังกลายเป็นสถาบันการเงินที่มูลค่าสูงสุดของโลกอีกด้วย
ยิ่งไปกว่านั้น J.P. Morgan ยังอยู่เบื้องหลังธุรกิจสำคัญ ๆ ของยุคสมัยนั้น ที่สืบทอดมาจนทุกวันนี้อย่างเช่น GE (General Electric) หรือ U.S. Steel อีกด้วย
และ Morgan Stanley ก็เป็นบริษัทที่แยกตัวออกมาจาก JP Morgan ในปี 1935 ด้วยเหตุผลทางกฏหมาย
สหรัฐอเมริกาออกกฎหมาย Glass–Steagall ในปี 1933 ห้ามไม่ให้ธนาคารเดียวกันมีธุรกิจธนาคารพาณิชย์ (commercial banking) และวาณิชธนกิจ (investment banking) ที่อาจมีผลประโยชน์ทับซ้อนกัน (ปัจจุบันกฎหมายนี้ไม่ได้บังคับใช้แล้ว และกลับมาอนุญาตเหมือนเดิม)
1
บริษัท J.P. Morgan & Co. จึงเลือกเก็บธุรกิจธนาคารพาณิชย์ไว้ (ภายหลังในปี 2000 ควบรวมกิจการกับ Chase Bank กลายเป็น JPMorgan Chase ซึ่งเป็นธนาคารที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐอเมริกา)
นั้นจึงทำให้ชัดเจนว่าจริง ๆ แล้วความยิ่งใหญ่ของ J.P. Morgan ไม่ได้มีเพียงแค่ในธนาคารของเขาเองเท่านั้น
อ่านจบแล้ว ทุกคนคิดว่าไงกันบ้างครับ J.P. Morgan เป็นแค่ Gold Bug (ผู้หลงใหลหรือบ้าในทองคำโดยไม่สนสภาพการณ์ที่แท้จริง) หรือเป็นเศรษฐีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งของสหรัฐฯ กันแน่ ?
ทันโลก ทันเหตุการณ์ ทันข่าวสาร ที่แท้จริงไปกับ World Maker
หากข้อมูลนี้เป็นประโยชน์ต่อท่านผู้อ่าน ทางเราฝากกด Like 👍 กด Share เพื่อไม่ให้พลาดข้อมูลจาก World Maker ด้วยนะครับ
โฆษณา