2 ส.ค. 2021 เวลา 05:24 • ประวัติศาสตร์
*** อะไรกำหนดให้สีชมพูเป็นของผู้หญิง ***
ตั้งแต่จำความได้ ประโยค “สีชมพูเป็นของผู้หญิง” ก็คล้ายอยู่ในการรับรู้ของคนทั่วไป ไม่ใช่แค่ในประเทศไทย แต่เป็นเหมือนกันทั้งโลก...
หลายคนจึงแคลงใจ ผู้หญิงชอบสีอื่นแล้วจะทำไม ผู้ชายชอบสีชมพูมันผิดตรงไหน ใครเป็นคนกำหนดนิยามเหล่านี้ขึ้นมา?
วันนี้เราจะไปค้นหาคำตอบด้วยกันว่า ความคิดกล่าวมันมีที่มาจากไหน และตั้งแต่เมื่อไหร่กันแน่ ทั้งในมุมมองของฝั่งตะวันตกและตะวันออกนะครับ
นักประวัติศาสตร์ โจ บี. เปาเลตตี แห่งมหาวิทยาลัยแมรีแลนด์ สหรัฐฯ ได้ให้สัมภาษณ์ว่า ก่อนหน้านี้หลายร้อยปีมาแล้ว ผู้ใหญ่นิยมให้เด็กใส่ชุดยาวสีขาวถึง 6 ขวบเหมือนๆ กันหมด เพราะเชื่อกันว่า ถ้าแต่งตัวผิดแปลก ลูกจะโตขึ้นมาผิดผี และสีขาวก็ทำความสะอาดง่ายดี
ส่วนความเชื่อเรื่องสีชมพูสำหรับเด็กผู้หญิง และสีฟ้าสำหรับเด็กผู้ชาย เพิ่งจะมีในยุคศตวรรษที่ 20 นี่เอง
ที่น่าสนใจไปกว่านั้นคือกระแสการใช้สีพาสเทลสำหรับเด็ก เริ่มตั้งไข่ต้นในยุคศตวรรษที่ 19 ซึ่งคนสมัยนั้นมองสีชมพูแตกต่างจากตอนนี้โดยสิ้นเชิง…
ภาพแนบ: การ์ดวันเกิดสมัยก่อน เด็กผู้หญิงใส่ชุดสีฟ้า เด็กผู้ชายใส่ชุดสีชมพู
อิงจากบทความ “Pink or Blue” ในวารสาร Earnshaw’s Infants’ Department ฉบับมิถุนายน 1918 มีข้อความกล่าวว่า
“โดยทั่วไปคนยอมรับกันว่าสีชมพูเป็นของเด็กผู้ชาย ส่วนสีฟ้าเป็นของเด็กผู้หญิง เหตุผลก็คือสีชมพูดูเด็ดขาดและเข้มแข็งกว่า จึงเหมาะสำหรับเด็กชาย ขณะที่สีฟ้านุ่มนวลและเอียดอ่อนกว่า มันสวยกว่าเลยเหมาะกับผู้หญิง”
ต่อมาในปี 1927 นิตยสาร Times ได้สำรวจและตีพิมพ์สถิติออกมาว่า ห้างร้านชั้นนำในอเมริกาเห็นว่าสีไหนเหมาะกับเพศของเด็ก ผลปรากฏคือผลว่า “สีชมพูเหมาะกับผู้ชาย” เฉือนชนะไปเล็กน้อย
สอดคล้องกับความเห็นของ วาเลอรี สตีล ผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์แห่งสถาบันแฟชั่นเทคโนโลยี นิวยอร์ก เธอมองว่าก่อนหน้านี้คนส่วนมากก็ไม่ได้มาคิดเรื่องสีหรอก แต่เพราะผู้ผลิตเสื้อผ้าหันมาลงโฆษณา โปรโมทว่าสีนั้นดี สีนี้เหมาะสม คนเลยคล้อยตามและเริ่มคิดจริงจัง
แล้วเหตุใดกระแสจึงพลิก โลกกลับนิยามสีชมพูเข้ากับผู้หญิงไปได้
ภาพแนบ: The Blue Boy และ Pinkie
สตีลตั้งทฤษฎีว่า จุดเปลี่ยนคือยุค 20s นี่เอง เมื่อมหาเศรษฐี เฮนรี ฮันทิงตัน ซื้อผลงานภาพวาดสีน้ำมันยุคศตวรรษที่ 18 นาม The Blue Boy (เด็กหนุ่มในชุดสีน้ำเงิน) และ Pinkie (เด็กสาวในชุดสีชมพู) มาจากอังกฤษ
...ปกติเวลาฮัททิงตันซื้ออะไร สื่ออเมริกาให้ความสนใจมากเป็นทุนเดิม จนเกิดเทรนด์ใหม่ขึ้นมา
ภาพแนบ: ผลงานของฟาร์โกนาร์ด ศิลปินชื่อดังแห่งฝรั่งเศสยุคศตวรรษที่ 18
ทว่าทางเปาเลตตีมองว่า กระแสสีชมพูสำหรับเด็กผู้หญิง น่าจะเริ่มต้นจากยุโรป เจาะจงคือฝรั่งเศส
แม้สมัยนั้นสีชมพูจะฮิตสำหรับคนฝรั่งเศสทุกเพศทุกวัย แต่ตามธรรมเนียมดั้งเดิมมักนิยมให้เด็กหญิงสวมชุดสีชมพู เด็กชายสวมชุดสีฟ้ามากกว่า ...ซึ่งช่วงศตวรรษที่ 20 แฟชั่นฝรั่งเศสได้รับความนิยมไปทั่ว พ่อแม่ผู้ปกครองจึงจับบุตรหลานมาแต่งกายตามความฮิตยุคนั้น
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ยังเป็นที่ถกเถียงในวงวิชาการว่าจุดเริ่มต้นเป็นอย่างไรแน่ เพราะมักมีผู้เสนอทฤษฎีใหม่ขึ้นมาเรื่อยๆ
ภาพแนบ: เด็กน้อยยุค 40s
อย่างไรก็ตามในยุค 40s หลังการวิเคราะห์ความชอบ (preference) ของประชากรมาได้ระยะหนึ่ง ผู้ประกอบการก็เริ่มผลิตสินค้าเด็กแบบเฉพาะเจาะจง
มันกลายเป็นตัวกำหนดขึ้นมาว่าของสำหรับเด็กผู้หญิงต้องใช้สีชมพูและสวมกระโปรง ส่วนเด็กผู้ชายต้องใช้สีฟ้าและสวมกางเกง ซึ่งบรรทัดฐานแบบนี้ก็ติดตัวเด็กๆ ไปจนโต เกิดเป็นความเข้าใจว่า สีชมพูเหมาะกับผู้หญิง และสีฟ้าเหมาะกับผู้ชาย ไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่
ภาพแนบ: มามีแต่งชุดสีชมพูในวันที่สามีเข้าพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี
ยิ่งไปกว่านั้น สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง แมรี “มามี” ไอเซนฮาวร์ ภริยาของประธานาธิบดี ดไวท์ ไอเซนฮาวร์ ยังชอบสีชมพูมาก
คราวสามีย้ายครอบครัวเข้าอาศัยในทำเนียบขาว ขณะดำรงตำแหน่งช่วงปี 1953 - 1961 มามีก็ตกแต่งบ้านใหม่ด้วยสีชมพู จนมีชื่อเรียกกันเล่นๆ ว่า “วังชมพู”
แน่นอนว่าเวลาออกงาน เธอก็สวมชุดสีชมพูด้วย พอสื่อลงข่าวมาก คนก็ยิ่งมีภาพจำสีชมพูเข้ากับผู้หญิงฝังลึกกว่าเดิม
นอกจากนั้นยังเกิดเทรนด์ตกแต่งบ้านด้วยสีชมพูที่เรียกว่า “สีชมพูมามี” (Mamie Pink) อีกต่างหาก ซึ่งไม่ใช่แค่ในห้องรับแขกหรือห้องนอน แต่รวมถึงห้องครัวและห้องน้ำด้วย (เอ่อ…)
ภาพแนบ: การเดินประท้วงสิทธิเท่าเทียมในยุค 70s
กระนั้นแล้ว กระแสนี้กลับถูกต่อต้านอย่างแรงตั้งแต่ช่วงกลางยุค 60s เป็นต้นมา เมื่อผู้หญิงลุกขึ้นมาเรียกร้องสิทธิเท่าเทียม
พวกเธอต่อต้านแฟชั่น ต่อต้านความเป็นหญิง จึงให้ความนิยมลุคที่เข้ากับเพศไหนก็ได้ ซึ่งลามไปถึงของใช้เด็กด้วย เปาเลตตีพบข้อมูลจากแคตาล็อกช่วงปี 70s ของห้างใหญ่แห่งหนึ่ง ปรากฏว่าไม่มีชุดเด็กสีชมพูขายเลยสองปีเต็มๆ
ภาพแนบ: แคตาล็อกชุดของห้าง Sears ห้างค้าปลีกเชนใหญ่ที่สุดในอเมริกายุคนั้น
เปาเลตตีเสริมด้วยว่า ช่วงนั้นเฟมินิสต์จำนวนหนึ่งมองว่าเหตุที่เด็กๆ โตขึ้นเป็นหญิงสาวที่ทำอาชีพด้อยกว่าชายเพราะ "พวกเธอสวมเสื้อผ้าหวานเกินไป"
ถ้าแต่งตัวเด็กหญิงให้เหมือนเด็กชายไซร้ พวกเขาก็จะรู้สึกว่าตัวเองเป็นอิสระ เลือกทำอะไรได้มากขึ้น
กระแสเสื้อผ้าไม่ระบุเพศฮิตมาจนกระทั่งช่วงปี 1985 ขณะนั้นเทคโนโลยีก้าวหน้าไปมาก ทำให้สามารถตรวจทราบเพศเด็กตั้งแต่อยู่ในครรภ์ได้
พอพ่อแม่รู้แล้วว่าลูกเป็นหญิงหรือชายก็อยากซื้อของมาเตรียมไว้ให้เข้ากับลูก ...เมื่อเป็นเช่นนี้กระแสการผลิตของสีชมพูสำหรับเด็กหญิงเลยกลับมา ตั้งแต่ชุด ผ้าอ้อม รถเข็น คาร์ซีต ของเล่น ฯลฯ
ส่วนเฟมินิสต์ยุค 80s ก็ไม่ได้เหยียดเสื้อผ้าฟรุ้งฟริ้งแบบนักเคลื่อนไหวยุคก่อน และนิยมซื้อของสีชมพูให้ลูกด้วย พวกเธอคิดประมาณว่า ถ้าอยากให้ลูกเป็นหมอ จะเป็นหมอแบบหวานๆ ก็ไม่เห็นจะผิดอะไร
ภาพแนบ: พระอังคาร เป็นภาพให้ใช้ฟรีในลิขสิทธิ์ของสำนักพยากรณ์ศาสตร์ (หมอลักษณ์ เรขานิเทศ)
สำหรับฝั่งเอเชีย เริ่มแรกเราก็ไม่ได้กำหนดนิยามสีอะไรเข้ากับเพศไหน วัฒนธรรมจีนมองว่าสีชมพูเป็นแค่เฉดหนึ่งของสีแดง กระทั่งฝรั่งเข้ามาค้าขาย แล้วขอให้ช่างทำเครื่องดินเผาลายสีชมพู คนจีนถึงแยกออกมาเป็นสี “หยางไฉ่” (洋彩) ซึ่งแปลว่า “สีต่างชาติ” ส่วนทางศาสนาพราหมณ์-ฮินดูของอินเดีย คนไม่ว่าเพศใดก็สวมผ้าชมพูได้ อีกเทพเจ้าที่มีวรกายสีชมพู ก็มีปรากฏทั้งชายหญิง เช่นพระพิฆเนศ พระลักษมี เป็นต้น
แต่มีเทพเจ้ากายชมพูองค์หนึ่งอาจทำให้คนไทยผูกความเชื่อเรื่องสีชมพูเข้ากับผู้ชาย... นั่นคือพระอังคาร
ตามความเชื่อเรื่อง “เทวดานพเคราะห์” ของฮินดู มีเทวดา 9 องค์คอยคุ้มครองมนุษย์ ได้แก่สุริยเทพ (พระอาทิตย์) และเทพบริวาร 8 องค์ ได้แก่พระจันทร์ พระอังคาร พระพุธ พระพฤหัสบดี พระศุกร์ พระเสาร์ พระราหู และพระเกตุ
...เทพแต่ละองค์ก็มีสีกายต่างกันไป ตามสีประจำวันที่เราคุ้นเคยกันนี่เอง เพราะเมื่อคนไทยโบราณรับเอาความเชื่อฮินดูเข้ามาผสมในวัฒนธรรม ก็ตั้งชื่อวันและกำหนดสีตามเทพที่ปกป้องคุ้มครองวันนั้นๆ
ภาพแนบ: รูปปั้น เอรีส หรือ มาร์ส ที่กรุงโรม
เหตุที่พระอังคารมีวรกายสีชมพูนั้น มีเรื่องเล่าการกำเนิดมากมายหลายเวอร์ชั่น แต่เรื่องที่นิยมที่สุดคือ พระอิศวรสร้างพระอังคารขึ้นจากกระบือ 8 ตัวบดป่นเป็นผง ห่อด้วยผ้าสีชมพู พรมด้วยน้ำอมฤต ปรากฏขึ้นเป็นบุรุษผิวชมพู ทรงมหิงสาหรือกระบือเป็นพาหนะ ประจำอยู่ทิศอาคเนย์ (ตะวันออกเฉียงใต้)
พระอังคารเป็นเทพเจ้าแห่งสงคราม อารมณ์มุทะลุ ใจร้อน ชอบใช้กำลัง แต่ก็มีด้านดีคือขยัน อดทน และกล้าหาญ
ตรงจุดนี้มีเรื่องน่าสนใจว่า ตามโหราศาสตร์เฮเลนิสติกของกรีก-โรมัน ก็มองว่าเทพสงคราม เอรีส หรือ มาร์ส ก็ประจำอยู่วันอังคารเช่นกัน
ดังนั้นตามความเชื่อไทยเดิมแต่โบราณ แม้สีชมพูจะเกี่ยวพันกับวันมากกว่าบุคคล แต่ก็ถือว่าเอียงไปทางสีผู้ชาย
ชุดมหาดเล็กรักษาพระองค์ก็มีกองพันที่เครื่องแต่งกายสีบานเย็น หรือพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า (ร.5) ซึ่งพระราชสมภพในวันอังคาร ก็มีพระปรมาภิไธยใช้สีชมพูเป็นสีประจำพระองค์
...นี่เป็นเหตุผลที่เวลาต่อมา คณะกรรมการสโมสรนิสิตฯ ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจึงให้สีชมพูเป็นสีประจำสถาบันด้วย
ภาพแนบ: สาวญี่ปุ่นชุดชมพูและแมว... かわいい
ส่วนเหตุที่ไทยเราและเอเชียโดยรอบหันมามองว่าสีชมพูเหมาะสมกับผู้หญิง ก็มีปัจจัยมาจากอิทธิพลตะวันตกนั่นเอง
ปัจจุบันภาษาจีนเรียกสีชมพูว่า “เฝิ่นหง” (粉红) หรือ “เฝิ่นเซ่อ” (粉色) หมายถึงแป้งผัดหน้าซึ่งมีสีชมพู ข้าวของเครื่องใช้หรืออะไรก็ตามในมุมมอง “คาวาอี้” ของญี่ปุ่น ก็มักจะเป็นสีชมพู
ภาพแนบ: แฮร์รี สไตลส์ นักร้องดัง ใส่ชุดสูทสีชมพูเล่นคอนเสิร์ตกลางกรุงนิวยอร์ก
เวลาผันผ่านจนยุคปัจจุบัน มุมมองความเท่าเทียมทางเพศขยายออกไป ไม่ได้จำกัดเพียงหญิงชาย สีเองก็เช่นกัน ...ผู้หญิงอยากใส่ชุดสีอะไรก็ได้ ผู้ชายเองก็ใส่สีชมพูกันมากขึ้น แบรนด์ต่างๆ หันมาทำเสื้อเชิ้ตเสื้อโปโลสำหรับผู้ชายเป็นสีชมพูก็มักขายดี แสดงให้เห็นพลวัตทางสังคมก็เปลี่ยนแปลงไป
แม้เรายังมีชุดความคิดเรื่องสีชมพูเป็นของผู้หญิงอยู่ แต่มุมมองต่อสีของสังคมก็เปลี่ยนไปอยู่เสมอ เหมือนความเชื่อเรื่องความสวยงาม, อาหารอร่อย, หรือรสนิยมทางเพศ เช่นที่ผู้ชายจีนเคยเชื่อว่าผู้หญิงเท้าเล็กแปลว่าสวย หรือผู้ชายกรีกเคยชอบร่วมเพศกับเด็กหนุ่ม
เมื่อเราศึกษาประวัติศาสตร์แล้ว จะพบว่าเรื่องเหล่านี้เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ตามสถานที่และกาลเวลา
1
...ไม่มีอะไรเป็นจริงจังสักสิ่งเดียว...
::: อ้างอิง :::
- When Did Girls Start Wearing Pink? smithsonianmag (ดอต) com/arts-culture/when-did-girls-start-wearing-pink-1370097/
- The complicated gender history of pink edition (ดอต) cnn (ดอต) com/2018/01/12/health/colorscope-pink-boy-girl-gender/index
- How Pink Became a Color for Girls racked (ดอต) com/2015/3/20/8260341/pink-color-history
- Sexism in Colors info (ดอต) umkc (ดอต) edu/womenc/2018/06/25/8369/
- Pink for girls: Does toy marketing affect girls' career choices? reuters
(ดอต) com/article/us-britain-children-marketing-idUSKCN1S52AD
- The ‘pink vs blue’ gender myth bbc (ดอต) com/future/article/20141117-the-pink-vs-blue-gender-myth
- Why Is Pink for Girls and Blue for Boys? livescience (ดอต) com/22037-pink-girls-blue-boys
- How Blue Became 'Boy' And Pink Became 'Girl' wpr (ดอต) org/how-blue-became-boy-and-pink-became-girl
- 9 เทวดา ผู้ครองชะตามนุษย์ siamrath (ดอต) co (ดอต) th/n/74265
- สีชมพู - จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย chula (ดอต) ac (ดอต) th/about/symbols/the-colour-pink/
ข่าวด่วน ตอนนี้ผมเขียนหนังสือเล่มใหม่เสร็จแล้วนะครับ!
หนังสือ “สุริยันพันธุ์เคิร์ด” มีรายละเอียดดังนี้...
- เรื่องนี้เป็นหนังสือประวัติศาสตร์ชาวเคิร์ด ผลงานเล่มล่าสุดในชุด The Wild Chronicles
- พิมพ์เป็นสี่สี!
- ยาวที่สุดเท่าที่พิมพ์มา ยาวกว่าพยัคฆ์ทมิฬสิ้นชาติราว 2 เท่า
- รูปโหดๆ ที่ทำให้เข้าใจสถานการณ์ดีขึ้น จะไม่เซนเซอร์ แต่จะรวมอยู่ท้ายเล่ม และมีคำเตือนก่อน
- มีลายเซ็นทุกเล่ม!
- น่าจะได้หนังสือในเดือนสิงหาคม
- ราคา 389 บาท ฟรีค่าส่ง (ในประเทศ) ในช่วงนี้เท่านั้น! (ถ้าบางท่านอยู่ต่างประเทศมีค่าส่งพิเศษจะแจ้งอีกที)
ท่านที่ต้องการพรีออเดอร์สามารถชำระ และใส่ที่อยู่ทาง link แนบได้เลย
(ถ้าเป็นสมาชิกกลุ่ม illumicorgi ระดับ Corgi Master ขึ้นไป จะมีหนังสือส่งให้อยู่แล้วนะครับ)
ท่านที่สนใจอ่านงานเขียนอื่นๆ ของผมมากกว่าเพียงในเพจนี้ สามารถสมัครเข้ากลุ่ม illumicorgi ได้นะครับ
กลุ่ม illumicorgi เป็นกลุ่มสำหรับลง content พิเศษ สมัครสมาชิกตอนนี้ ท่านจะได้รับหนังสือ "สุริยันพันธุ์เคิร์ด" ผลงานเล่มล่าสุดของผมด้วย
1. ผู้สมัครสมาชิกระดับ Corgi Master จะได้:
• ได้เข้าถึงเนื้อหากลุ่ม illumicorgi ที่มีบทความย่อยลงอยู่เสมอ และบทความใหญ่ลงอย่างน้อยอาทิตย์ละตอน
• ส่วนลดในสินค้าของกลุ่ม The Wild Chronicles
• Priority ในการรับข่าวสารและกิจกรรมของ The Wild Chronicles
• ทุกๆ รอบหกเดือนจะได้รับหนังสือเล่มหนึ่ง ส่งให้ถึงบ้านพร้อมลายเซ็นของผม
แบ่งเป็น:
1.1 แบบครึ่งปี "600 บาท" ได้หนังสือสุริยันพันธุ์เคิร์ด 1 เล่ม และเข้ากลุ่มเป็นเวลา 6 เดือน
1.2 แบบหนึ่งปี "1,100 บาท" ได้หนังสือ 2 เล่ม (คือสุริยันพันธุ์เคิร์ด และอีกเล่มที่จะพิมพ์ปลายปี ตั้งใจจะว่าให้เป็นเรื่องชาวเคิร์ดในตุรกีซีเรีย) และเข้ากลุ่มเป็นเวลา 1 ปี
2. ผู้สมัครสมาชิกระดับ illuminated corgi จะได้:
ทุกอย่างที่สมาชิกระดับ Corgi Master แบบ 1 ปี ได้ และได้ของที่ระลึกจากเคอร์ดิสถานอิรัก เป็น artifact ที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ของแท้ ได้แก่:
"ธนบัตร 25 ดินาร์ สมัยซัดดัมฮุสเซน" เป็นธนบัตรแพงเคยมีค่าราว 2,630 บาท หลังซัดดัมถูกโค่นก็ไม่มีใหม่อีกแล้ว หรือ,
"อินทรธนูของหน่วยเพชเมอร์กา" ซึ่งเป็นหน่วยรบเคิร์ดที่มีชื่อเสียงเรื่องไม่กลัวตาย คำว่า เพชเมอร์กา แปลว่า "ผู้เผชิญความตาย"
สมาชิกระดับ illuminated corgi นี้มีค่าสมัคร 3,000 บาท
ผู้ที่ต้องการสมัครสมาชิก ให้ชำระทาง link นี้:
Corgi Master 6 เดือน (หนังสือ 1 เล่ม) 600 บาท
Corgi Master 1 ปี (หนังสือ 2 เล่ม) 1,100 บาท
illuminated corgi 1 ปี (หนังสือ 2 เล่ม ได้ของที่ระลึก) 3,000 บาท
หรือชำระที่:
บัญชี บริษัท เดอะไวลด์โครนิเคิลส์ จำกัด ธนาคารกสิกร 078 3 768 666 สาขาบิ๊กซี อ่อนนุช
เมื่อสมัครแล้วให้ส่งสลิปทาง Line OA ด้วยวิธีนี้
(1) กดสมัคร Line OA ของ The Wild Chronicles มาทาง link https://lin.ee/fNEO1jr
(2) กด add เป็นเพื่อน
(3) กด chat
(4) จากนั้น พิมพ์ชื่อที่ท่านใช้ใน Facebook มาทางช่องแชทของ Line OA เพื่อให้ทีมงานบ่งชี้ได้ว่าบัญชีของท่านสมัครมาแล้ว
(5) ให้ส่งสลิปในช่องแชทไว้ด้วย จะมีแอดมินมาคุยกับท่านเพื่อพาเข้ากลุ่ม
*** อนึ่งท่านที่เป็นสมาชิกอยู่แล้ว สามารถติดต่อทาง Line OA หรือ Inbox เพจ เพื่อชำระเงินเพิ่ม เป็นการอัพเกรดสมาชิกได้นะครับ ***
ภาพแนบ: หนุ่มชาวเคิร์ดแต่งกายแฟชั่น
อนึ่งชาวเคิร์ดเป็นชนกลุ่มน้อยในตะวันออกกลาง มีราว 30 ล้านคน หากไม่มีประเทศของตนเอง พวกเขาแตกเป็นหลายส่วนและถูกกดขี่อย่างหนัก แต่การถูกกดขี่เคี่ยวกรำนั้นทำให้พวกเขากลายเป็นนักรบที่เก่งกาจ
หนังสือเล่มนี้เขียนเรื่องราวของชาวเคิร์ดตั้งแต่ยุคตำนานจนถึงประวัติศาสตร์สมัยใหม่ ซึ่งมีความพีคแล้วพีคอีก ผ่านสงครามใหญ่ๆ มากมาย เช่นสงครามอิรัก - อิหร่าน, สงครามอ่าวเปอร์เซีย, สงครามปราบซัดดัม, สงครามกลางเมืองอิรัก, สงครามปราบกลุ่มก่อการร้าย แต่ละสงครามที่ว่ามานี้มีสเกลใหญ่เป็นรองแค่สงครามโลก
ชาวเคิร์ดมีส่วนร่วมในสงครามเหล่านี้ทั้งหมดในฐานะชนกลุ่มน้อยที่ไม่รวยแต่รบเก่ง พอมีคนมาติดอาวุธให้เลยมักกลายเป็นไพ่โจ๊กเกอร์ที่เปลี่ยนผลชี้ขาดของสงคราม
อย่างไรก็ตามศัตรูอันดับหนึ่งของชาวเคิร์ดคือเผด็จการซัดดัม ฮุสเซนนั้นก็โหดมาก โหดโคตรๆ ใครเคยอ่านพยัคฆ์ทมิฬสิ้นชาติ หรือเชือดเช็ดเชเชน ผมบอกได้ว่าไอ้นี่ก็โหดไม่แพ้กัน หรือเผลอๆ โหดกว่า ดังนั้นการต่อสู้ของชาวเคิร์ดมันจึงเป็นเรื่องที่หลอนและดุเดือดมากๆ
หนังสือเล่มนี้เขียนขึ้นจากประสบการณ์ที่ผมได้ไปเยือนดินแดนเคอร์ดิสถานอิรัก (และหนีมิสไซล์มา) เมื่อต้นปี 2020 เพื่อนชาวเคิร์ดที่ผมสัมภาษณ์ทุกคนเป็นผู้รอดชีวิตจากทุกสงครามข้างต้น ทำให้มีข้อมูล ความเห็น และมุมมองของคนต่างๆ ที่ลึกกว่าในตำรา แน่นอนว่าประสบการณ์ของพวกเขาดาร์คมาก แต่เขาหลายคนไม่ได้มองโลกในแง่ร้ายขนาดนั้น พวกเขาตีความสิ่งที่พบเจออย่างไร ลองตามอ่านดูนะครับ
"สุริยันพันธุ์เคิร์ด" ตั้งใจพิมพ์เป็นสี่สี เป็นหนังสือที่ยาวที่สุดตั้งแต่ผมเขียนสารคดีชุด The Wild Chronicles มา
อีกครั้งนะครับ ท่านที่ต้องการพรีออเดอร์หนังสืออย่างเดียว สามารถชำระ และใส่ที่อยู่ทาง link นี้ได้เลย ราคา 389 บาท ฟรีค่าส่ง (ในประเทศ) ในช่วงนี้เท่านั้น! (ถ้าบางท่านอยู่ต่างประเทศมีค่าส่งพิเศษจะแจ้งอีกที)
::: ::: :::
สนใจอ่านเรื่องประวัติศาสตร์ สงคราม เรื่องต่างประเทศ กดติดตาม เพจ The Wild Chronicles ได้เลยนะครับ https://facebook.com/pongsorn.bhumiwat
โฆษณา