5 ส.ค. 2021 เวลา 06:36 • สุขภาพ
ประสบการณ์ สแกนสมองสุดฮา กับเครื่อง MRI
มีใครเป็นไมเกรนบ้าง ยกมือขึ้นนนน
โรคนี้ถ้าใครเป็นเราจะเข้าใจกันเนอะว่ามันทรมานแค่ไหน สำหรับเราอยู่กับมันมาเกินครึ่งชีวิตแล้ว มาเป็นหนักตอนช่วงทำงานสายโหด ยิ่งสิบปีหลังมานี่ชีวิตวนเวียนอยู่กับยา พาราขวด100เม็ดนี่คือหมดใน 6 เดือน กินกันเป็นขนม แถมมาเจออาการบ้านหมุน ความดันอีก จัดชุดใหญ่ไฟกระพริบมาก ชีวิตบัดซบจนต้องร่นแผนเกษียณให้เร็วขึ้นอีกหลายปี ซึ่งกำลังจะทำสำเร็จในเร็วๆนี้ (จะมาเขียนแชร์วิธีวางแผนเกษียณทีหลัง)
ทีนี้เกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงโดนสแกนสมอง?
Photo: Inorbital
สืบเนื่องมาจากความเครียดและอาการไมเกรนที่สะสมมานาน เปลี่ยนหมอมาหลายคน รวมถึงจิตแพทย์ด้วย ประกอบกับช่วงโควิดทำให้ไม่ได้ไปออกกำลังกายอย่างทุกที ซึ่งปกติจะไปซ้อมมวย(เป็นหลานค่ายมวย) กับเรียนขี่ม้าเป็นประจำ(ถ้ามีโอกาสจะมาเล่าประสบการณ์ตกม้าฮาๆให้ฟัง) แต่ก็ต้องงดทั้งหมด เลยทำให้ยิ่งเครียด ปวดหัวหนักขึ้น จนสุดท้ายต้องแบกสังขารไปหาหมอที่รักษากันมานาน หมอสั่งแอดมิทและให้ทำ MRI สมอง ซึ่งจริงๆคุณหมอก็เคยเกริ่นๆแล้วว่าถ้ากินยาไมเกรนไปซักระยะแล้วมีทีท่าว่าไม่ดีขึ้นซักที คงต้องสแกนสมองแล้วนะ เพราะหมอกลัวว่ามันจะไม่ใช่ไมเกรน โอ้โห เจอหมอพูดมาแบบนี้ ยิ่งจิตตกเข้าไปอีก
จากที่เดินได้ปกติถึงแม้จะปวดหัว พอหมอสั่งแอดมิท แข้งขามันพานจะอ่อนแรงขึ้นมากะทันหัน ทำไงดีอ่ะ ชีวิตนี้ไม่เคยนอนโรง'บาลในฐานะคนไข้มาก่อนเลยอ่ะ พยาบาลเหมือนเป็นญาติกับ เจน ญาณทิพย์ แจ้งเจ้าหน้าที่ให้เข็นรถเข็นมารับทันใด อันนี้แอบตื่นเต้น ไม่เคยนั่งรถเข็น สมัยเด็กแม่ชอบห้ามตลอด บอกว่าเป็นลางไม่ดี (จะโทรไปอวดก็กระไร)
หลังจากนั้นเค้าก็เข็นพาไปเจาะเส้นเลือดเพื่อติดเข็มที่หลังมือสำหรับให้น้ำเกลือ คุณพยาบาลบอกว่าถ้ากลัวเข็มให้หันไปมองทางอื่นนะ หารู้ไม่ว่าเราอ่ะซาดิสม์ 555 จ้องซะจนพยาบาลกดดันเลย จริงๆสมัยก่อนกลัวเข็มกลัวเลือดมาก แต่พ่อสอนว่าหนามยอกต้องเอาหนามบ่ง ยิ่งกลัวยิ่งต้องมองมัน เลยกลั้นใจมองตอนไปบริจาคเลือดครั้งแรก ตั้งแต่นั้นมากลายเป็นชอบดูหนังซาดิสม์เลือดสาดแทน (เราใช้วิธีเดียวกันรักษาโรคกลัวความสูงได้ด้วย เชิญไปอ่านประสบการณ์สุดป่วงได้ที่ https://www.blockdit.com/posts/610460dfda7aeb1094041dfa) คุณพยาบาลคงเห็นเราสนอกสนใจ เลยให้ความรู้เพิ่มเติมว่า เข็มสมัยนี้เป็นโลหะเฉพาะเข็มนำเท่านั้น เข็มที่จะเสียบคาผิวหนังเราจะเป็นเข็มพลาสติกที่ดุ๊กดิ๊กได้ เวลาขยับมือจะไม่เจ็บ วิทยาการล้ำไปอีก
เนื่องจากเป็นช่วงโควิด การจะแอดมิทต้องผ่านการตรวจโควิดก่อน (ซึ่งเป็นการตรวจแบบ RT PCR โดยการเก็บตัวอย่างสารคัดหลั่งจากจมูกและลำคอ) บริเวณที่ตรวจโควิดจะอยู่นอกอาคารคงเพราะต้องการ isolate เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ ถึงตรงนี้แอบสงสารบุคคลากรที่ทำงานส่วนนี้มาก คงจะเหนื่อยกันน่าดู วิธีการตรวจก็คือเค้าจะให้เราถอดแมสก์ออก (ลืมบอกไปว่าเราต้องสวมแมสก์ตลอดเวลาที่อยู่โรงพยาบาล) แล้วเค้าจะแยงก้านตรวจเข้ามาในรูจมูกลึกมาก ลึกจนถึงลำคอเลย ไม่เจ็บ แค่แสบๆนิดๆ แล้วก็เอาก้านตรวจใส่หลอดปิดฝาส่วนเราก็ใส่หน้ากากคืนตามเดิม ก่อนเค้าจะเดินไปเราก็พูดขอบคุณและให้กำลังใจเค้าไป ไม่เห็นหน้าหรอกเพราะเค้าใส่ชุด PPE ปิดทั้งตัว แต่ฟังจากเสียงตอบคิดว่าเค้าคงยิ้มอยู่ สัญญาว่าจะไม่ทำตัวเป็นภาระเพิ่มนะ สู้ๆ
จากนั้นก็ถึงเวลาขึ้นเขียง บริเวณที่ตรวจคือห้องทำ MRI ซึ่งแลดูน่าเกรงขามมาก ก่อนอื่นเค้าจะให้เราเปลี่ยนชุด ถ้ามีแว่นหรือเครื่องประดับอะไรก็ให้ถอดออกหมด เสร็จแล้วก็จะมีแบบสอบถามให้ตอบ ไม่ต้องกรอกเอง จะมีพยาบาลมาถามแล้วเราก็ตอบ เช่น เคยผ่าตัดมาก่อนมั้ย เป็นโรคประจำตัวอะไรบ้าง มีอยู่คำถามนึงตอนแรกนึกว่าฟังผิด เค้าถามว่ามีกระสุนฝังอยู่ในตัวมั้ย แบบ เผื่อเราเป็นมาเฟียแล้วโดนยิงมาไรเงี้ยเหรอ 555
เท่าที่ไปหาข้อมูลเพิ่มเติมมา จริงๆคือ MRI เนี่ยมันย่อมาจาก Magnetic Resonance Imaging ซึ่งเป็นการใช้คลื่นสนามแม่เหล็กที่มีความเข้มสูงในการถ่ายภาพอวัยวะโดยใช้หลักการกำทอน (resonance) การที่มีโลหะอยู่ในร่างกาย เช่น โลหะดามกระดูก หรือกระสุนฝังใน โลหะเหล่านั้นอาจไปรบกวนการทำงานของเครื่อง หรือยิ่งกว่านั้น ถ้าโลหะพวกนี้เกิดการเคลื่อนที่ระหว่างที่เครื่องทำงานอยู่ก็อาจจะเกิดอันตรายได้
ถึงตรงนี้ญาติต้องรอข้างนอก และเราโดนเข็นเข้าไปหาห้องที่มีประตูหนาๆหนักๆเปิดรออยู่
ห้องนี้จะเป็นห้องโล่งๆ มีเครื่อง MRI ตั้งอยู่กลางห้องลักษณะคล้ายแคปซูลครึ่งฝาขนาดใหญ่ ด้านหนึ่งกั้นด้วยกระจกใส บรรยากาศเหมือนห้องทดลองในหนัง sci-fi แบบที่มีคนใส่ชุดขาวๆยืนอยู่นอกกระจกแล้วพูดใส่ไมค์ เราถูกเข็นมานอนบนถาดยาวๆ ที่เชื่อมอยู่กับเจ้าแคปซูลยักษ์นี่ อุณหภูมิค่อนข้างเย็น โชคยังดีที่เค้ามีผ้าห่มบางๆคลุมให้ แต่ปิดมาไม่ถึงอกเท่าไหร่ แล้วคุณพยาบาลก็เอาโฟมอุดหูมาเสียบในรูหูไว้
เนื่องจากเราต้องสแกนช่วงหัวเลยต้องป้องกันหัวไม่ให้มีการขยับได้ โดยการเอาโฟมมาประกบหัวลงไปจนถึงช่วงคอและไหล่ทั้งสองข้าง แน่นพอควรแต่ไม่ถึงกับบีบจนเจ็บอะไร หลังจากนั้นก็ปิดที่ครอบหัวลงมา ลักษณะเหมือนหน้ากากอ๊อกเหล็กแต่กว้างกว่า แต่ถ้าจะพูดให้เท่ ต้องบอกว่าเหมือนหน้ากาก Iron Man
คุณพยาบาลเอาที่กดสัญญาณใส่มาในมือพร้อมบอกว่า ถ้ามีอะไรผิดปกติให้กดแล้วพูด เพราะเสียงเครื่องจะดังมากตะโกนเรียกจะไม่ได้ยิน ต้องกดให้สัญญาณเพื่อให้เจ้าหน้าที่ควบคุมเครื่องหยุดเครื่องก่อน ระหว่างทำจะมีเสียงดังไม่ต้องตกใจ ห้ามขยับหัวขยับตัวเพราะถ้าผลสแกนออกมาแล้วคลาดเคลื่อนจะต้องทำใหม่ ให้นอนนิ่งๆแบบนี้ประมาณ 20-30 นาที พยาบาลใจดีมาก คงเห็นว่าเราเริ่มหน้าตาเลิ่กลั่กแล้ว จากนั้นถาดที่เรานอนอยู่ก็ถูกเลื่อนเข้าไปในอุโมงค์ช้าๆ แล้วทุกคนก็ออกจากห้องไป
ตอนนี้สภาพเราเหมือนแฟรงเกนสไตน์ที่นอนอยู่ในห้องทดลองมาก แอบหนาวด้วยเพราะผ้าห่มห่มได้แต่ตัว สักพักได้ยินเสียงจากลำโพงว่าจะเริ่มแล้วนะ และก็มีเสียงเครื่องดังหวึ่งๆ วี้ๆ ตึกๆ วนไปเป็นจังหวะ ทำได้แค่กลอกตาไปมา ไม่กล้าขยับ ถ้าเป็นคนกลัวที่แคบคงอึดอัดพึลึก เพราะเหมือนเราติดอยู่ในถ้ำอะไรซักอย่าง
ด้วยความที่จินตนาการล้ำลึก แอบกังวลว่า ถ้าเครื่องหยุดแล้ว คนข้างนอกกลายเป็นซอมบี้เลือดสาดกันหมด เราจะฝ่าวงล้อมออกไปตามหาครอบครัวยังไง 555 ช่วยสลดบ้างไรบ้าง นี่เช็คเนื้องอกในสมองอยู่นะเฟ้ย
ไอ้เสียงหวึ่งๆวี้ๆ นี่มันวิ่งไปตามโค้งของอุโมงค์นะ ทำให้เราพอจะเห็นภาพเลยว่าหัวสแกนมันคงวิ่งวุ่นวายคอยสแกนไปทางนู้นทีทางนี้ทีอยู่ (จริงๆมันเป็นการปล่อยคลื่นความถี่) เสียงดังเป็นจังหวะ ฟังไปฟังมาก็เพลินจนเริ่มง่วงนิดๆเพราะแสงมันจะสลัวๆอยู่แล้ว แต่ไม่กล้าหลับ กลัวหลับแล้วเผลอขยับตัวล่ะยุ่งเลย หลังจากนอนนิ่งๆไปได้พักใหญ่มากๆ จนขาเริ่มไร้ความรู้สึก ไอ้หัวสแกนนี่มันก็วิ่งไปจนถึงบริเวณคอแล้วเสียงก็เงียบลง หูนี่วิ้งๆเลย
และแล้วคุณพยาบาลก็เข้ามา ในสภาพที่สวยเด้งเหมือนเดิม ไม่ได้กลายเป็นซอมบี้แต่อย่างใด
1
ออกมาจากห้อง MRI ด้วยอาการเหน็บกินไปครึ่งตัวเพราะเกร็งมาก ไม่กล้าขยับตัวเลย กลัวโดนทำใหม่ คราวนี้ได้ขึ้นห้องไปนอนห้องพักผู้ป่วยจริงๆแล้ว ปีนี้นี่ช่างนำพาประสบการณ์อะไรใหม่ๆมาให้ตื่นเต้นเสียจริง
ห้องพักเป็นห้องเดี่ยวซึ่งแยกจากวอร์ดผู้ป่วยโควิด มาถึงก็ต้องเปลี่ยนชุดอีกรอบ หลังจากนั้นมีพยาบาลมาแนะนำการใช้ห้อง แถมยังถามอีกว่าเคยเข้าพักมาก่อนมั้ย อย่างกับโรงแรม และแล้ว น้ำเกลือก็มา ทีนี้เข้าใจเลยว่าทำไมเวลาเราไปเยี่ยมคนป่วย เค้าถึงดูป่วย เพราะมันมีพร็อพน้ำเกลือนี่เอง จะป่วยมากป่วยน้อยแค่ไหน ของมันต้องมี!
ทีนี้ไอ้น้ำเกลือเนี่ย ที่เคยเห็นๆมามันก็เป็นแค่สายๆมาจิ้มกับมือไง แต่น้ำเกลือระบบใหม่อ่ะ มันต้องวิ่งผ่านอุปกรณ์ชนิดหนึ่ง เข้าใจว่าเป็นเครื่องเตือนเวลาน้ำเกลือหมดหรือมีปัญหา แล้วทีนี้ไม่รู้เป็นเพราะเค้าใส่ไว้ไม่ดีหรือเราเผลอไปกดโดนอะไรรึเปล่า อยู่ๆมันก็ส่งเสียงร้องขึ้นมา ทีนี้ภาพในหัวคือ คุณพยาบาลคงจะรีบเข้ามาดูว่าเราเป็นอะไร ชักตาตั้งไปรึยัง
ปรากฏ... เงียบสนิทกันทั้งวอร์ด เอาน่า เค้าคงยุ่งแหละ เกรงใจไง เผื่อเค้าคนไม่พอต้องไปช่วยวอร์ดโควิด เราเลยพยายามทำตัวไม่เป็นภาระ จนสุดท้ายด้วยความที่เห็นมันขึ้นคำว่า bubble แบบอ่านหนังสือฆาตกรรมมากไปไง ที่คนร้ายมันเอาน้ำเกลือทิ้งแล้วบีบอากาศใส่สายเพื่อฆ่าคนไข้อ่ะ ชักใจไม่ดี เลยตัดสินใจกดเรียกพยาบาล 5 นาทีผ่านไป จนนึกว่าออดเสีย คุณพยาบาลเดินมาดู ไม่ว่าอะไร แล้วเสียบสายให้ใหม่ 555
เรื่องป่วนๆของการเป็นผู้ป่วยมือใหม่ยังไม่จบ เคยงงมาตลอดว่าทำไมอาหารโรง'บาลต้องจืด อยากกินต้มยำบ้างไรบ้างได้มั้ย ที่นี่มีให้สั่งนะ แต่ต้องเสียตังค์ต่างหาก แถมแพงงงง แล้วมาบอกให้เรากินข้าวเยอะๆนะ จะได้หายเร็วๆ
บ่ายๆหมอมาเยี่ยม เรากำลังหลับๆอยู่เพราะฤทธิ์ยา พยาบาลเคาะห้องเข้ามาก่อนพร้อมประกาศการมาของหมอ เลิศอลังประหนึ่งการมาถึงของซังกุงสูงสุด จากที่สลึมสลืออยู่ เกือบเด้งขึ้นมาถวายบังคมแล้วเชียว หมอเดินเข้ามาหน้าตาซีเรียส ใจแป้วไปถึงตาตุ่ม นึกถึงพินัยกรรมอันน้อยนิดที่ทำไว้ว่าอัพเดทรึยัง
แล้วหมอก็พูดว่า...
เท่าที่ดูไม่พบก้อนเนื้ออะไร มีหูอักเสบนิดหน่อย กับไซนัส หมอว่าเรามาถูกทางแล้วที่มุ่งรักษาไมเกรนมาตลอด
วินาทีนั้นเหมือนยกภูเขาออกจากอก แต่แอบคิดในใจแล้วตอนแรกหมอจะทำหน้าซีเรียสเพื่ออออ หมอเอาผลสแกนมาโชว์ให้ดู ลักษณะเหมือนเอาหัวเรามาหั่นเป็นแว่นๆ เห็นหมดเลยว่าข้างในเป็นยังไง โชคดีที่ยังเห็นสมองอยู่บ้าง 555 หลังจากพูดคุยปรึกษาแนวทางการรักษากันสักพัก หมอก็ขอตัว พร้อมกำชับว่าให้นอนเยอะๆ แล้วก็ออกจากห้องไป
แต่ไม่ มันยังไม่จบแค่นั้น
ด้วยความที่เราตั้งใจจะปฏิบัติตัวเป็นคนไข้ที่ดี ทำตามคำสั่งหมออย่างเคร่งครัดด้วยการนอนเยอะๆ พอผ่านไปซักพัก ก๊อกๆ วัดความดันค่าาาา พอจะนอนๆต่อ ซักพัก ก๊อกๆ ขออนุญาตเก็บจานค่าาาา ซักพัก ก๊อกๆ ฉีดยาค่าาาา (ไม่มาพร้อมวัดความดันฟะ) แล้ววัดความดันเนี่ย มาบ่อยมากกกก ทั้งคืนอ่ะ แถมตอนเช้ายังไม่ทันตื่น มีพนักงานมาทำความสะอาดห้องอีก พอเจอหน้าหมออีกทีขอกลับบ้านเลย บอกว่าถ้าหมออยากให้นอน ขอไปนอนต่อที่บ้านดีกว่า
ท้ายนี้ก็ต้องขอขอบคุณทั้งคุณหมอ พยาบาล เจ้าหน้าที่ และพนักงานทุกคนที่ดูแลเราอย่างดีตั้งแต่เดินเข้าประตูจนออกประตูโรงพยาบาลมา ที่สำคัญที่สุดคือคุณสามีที่คอยเอาใจใส่ตลอด แถมแอบลงไปซื้อจอลลี่แบร์มาให้ บริการยิ่งกว่า room service อีก
ประสบการณ์ในครั้งนี้สอนเราให้รู้ว่า ต่อให้เราทุ่มเททำงานเต็มที่จนตัวเราพังไป ที่ทำงานเราเค้าก็แค่หาคนใหม่มาแทน แต่คนที่บ้านเรา เค้ามีเราแค่คนเดียว หาใครมาแทนเราไม่ได้แล้วนะเออ
ถ้าเราไม่ดูแลตัวเอง แล้วเราจะไปดูแลคนอื่นได้ยังไง
Tips การเตรียมตัวไปทำ MRI จากประสบการณ์ตัวเองและการพูดคุยกับบุคคลที่เกี่ยวข้อง
1. ใส่เสื้อผ้าหลวมๆสบายๆ ไม่ควรมีส่วนประกอบของโลหะ เช่น กระดุม ตะขอ เข็มกลัด ฯลฯ แต่ปกติจะมีชุดให้เปลี่ยน
2. ไม่ต้องใส่เครื่องประดับไปเลยจะสะดวกกว่า ถ้าใส่ฟันปลอม คอนแท็คเลนส์ ต้องถอดออกก่อน
3. คุณผู้หญิงถ้าไม่แต่งหน้าไปจะดีกว่า เพราะเครื่องสำอางบางประเภทอาจมีส่วนประกอบของโลหะ โดยที่เราไม่รู้ (อันนี้คุณพยาบาลบอกมา)
4. เตรียมถุงเท้าไปด้วย เผื่อนอนนานๆแล้วหนาวเท้า
5. ถ้าอุดฟันด้วยโลหะ เลี่ยมฟัน ใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจ ดามกระดูกด้วยโลหะ หรือคิดว่ามีโลหะใดๆอยู่ในร่างกาย รวมถึงคนเล่นของ ฝังตะกรุด ลูกนิมิตอะไรก็ตามลองปรึกษาคุณหมอก่อน เพราะบางกรณีถ้าเข้าใช้ MRI ไม่ได้ คุณหมอจะได้แนะนำวิธีอื่นได้
6. ก่อนทำ เข้าห้องน้ำให้เรียบร้อย อย่าดื่มน้ำเยอะเดี๋ยวเกิดอยากเข้าห้องน้ำระหว่างทำขึ้นมาจะลำบาก ตรวจอวัยวะบางส่วนอาจจะต้องงดน้ำงดอาหารล่วงหน้า บางทีอาจมีการขอให้กลั้นหายใจ
7. ถ้ากลัวที่แคบให้หลับตาแล้วทำใจให้สบาย แต่ถ้าอาการหนักมากถึงขั้นเป็นโรคกลัวที่แคบ หรือ Claustrophobia ควรปรึกษาแพทย์ (อันนี้ถามหมอมาเพราะสงสัย)
หวังว่าคงจะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านบ้าง และขอให้ผู้เข้ารับการตรวจทุกท่าน ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี
โฆษณา